บทที่ 596 ช่างโอ้อวด
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรินน้ำอุ่นลงในแก้วของตัวเอง
นี่มันใช่ความรู้สึกจริงที่ไหนกัน เพียงแค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดบวกกับผลประโยชน์อีกมากหน่อย ท่านซูพบว่าความทะเยอทะยานของอ้ายจื่อกับองค์หญิงเอ่อตานนั้นมีความเกี่ยวพันกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้มาเสี่ยงถึงที่นี่ อีกอย่าง ที่เขากล้าเชื่ออ้ายจือเช่นนี้ เกรงว่าเพียงเพราะอ้ายจื่อเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของเขาก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ดูเหมือนว่าเขาจะรักหลานสาวคนนั้นมากจริง ๆ
“อ้ายหยินอาศัยอยู่ที่เจียงเยี่ยนอยู่นาน ฟ้าดินต่างรับรู้ว่าตระกูลของข้าทำการใด ๆ เพื่อกษัตริย์มาไม่น้อย เฉกเช่นวันนี้ อ้ายจื่อยินยอมออกตัวมารับลูกธนูที่คนอื่นยิงใส่ข้า วันนี้ข้าจึงมั่นหมายว่าจะมาถามคำถามเจ้าสักหน่อย” ท่านซูกล่าวพลางนำหยกที่อ้ายจื่อเคยพกติดตัววางลงบนโต๊ะและดันมันไปข้างหน้าอ้ายจื่ออย่างเชื่องช้า “เจ้าคิดว่าการล่มสลายของเจียงเยี่ยนของข้าถูกผู้คนกลืนกิน หรือว่ามันถูกสร้างซ้ำขึ้นมา”
“เจียงเยี่ยนในวันนี้ยังมีทางเลือกอื่นอีกกระนั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยยิ้มเยาะ “จะว่าไปแล้วระหว่างข้ากับอ้ายจื่อนั้นมียังความแค้นต่อกัน ข้าไม่อยากจะพูดสัญญิงสัญญาไปวัน ๆ ว่าจะปกป้องพวกเจ้า อันที่จริงแล้ว แม้ว่าตระกูลของพวกเจ้าหลายต่อหลายคนจะถูกอ้ายหยินทำให้กลายเป็นหุ่นไม้ซ้อมมวย ก็ไม่ทำให้คิ้วข้าขมวดพันกันสักนิด”
“อากัปกริยาของเจ้ากับอ้ายจื่อต่างกันมาก”
ในระหว่างที่ท่านซูกำลังเก็บสองมือกลับเข้าไปในปลายแขนเสื้อ สีหน้ากลับแสดงรอยยิ้มลวง ๆ ออกมา
“โดยธรรมชาติแล้วไม่เหมือนกัน ตอนที่นางมีประโยชน์ ข้ามักจะปั้นหน้ายิ้มต้อนรับ ให้สัญญานั่นนี่ แม้ว่าทุกวันนี้นางเหมือนอยู่ในกรงขัง ที่แม้ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด เช่นนี้แล้วทำไมข้ายังต้องทำอะไรอีกเพื่อให้นางฆ่าคนของนางเอง” กู้อ้าวเวยกระแอมเบา ๆ น้ำอุ่นนั้นทำให้เขาโล่งคอขึ้นเยอะ
ความเงียบเข้าครอบงำอยู่พอสมควร ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็กัดขนมอบคำเล็กๆเข้าปาก
ท่านซูเริ่มชักสีหน้าหลังจากที่พวกเขายืนประจันหน้ากันอยู่นาน “เด็กน้อยเอ๋ย ก่อนนั้นไม่ว่าเจ้าจะเคยสัญญาอะไรไว้กับอ้ายจื่อ มาถึงวันนี้คำพูดนั้นเหมือนไม่เคยมีอยู่จริงเสียแล้ว……”
“ข้าเคยรับปากว่าจะช่วยนาง แต่ว่าตอนนี้ท่านต้องการใช้ให้หลานสาวพลักดันให้ตัวเองเป็นใหญ่ เช่นนี้ยังไม่เหมือนสิ่งที่ข้าสัญญาไว้กับนางอีกหรือ” กู้อ้าวเวยวางขนมอบลง เผยรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมสาดน้ำอุ่นที่เหลืออยู่ลงพื้น “สิ่งที่ข้ากล่าวออกไปก็เป็นเฉกเช่นน้ำที่สาดออกไป ข้าผิดสัจจะตั้งแต่เมื่อใด? ”
“แล้วสุดท้ายเมื่อใดกันเล่าที่ท่านจะยอมยื่นมือมาช่วย?” ท่านซูขมวดคิ้ว
“พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตนเอง” กู้อ้าวเวยตบจอกน้ำชาลงบนโต๊ะหินดังกึกแล้วมองด้วยสายตาคมกริบ “หากรู้สึกว่าอ้ายหยินไม่เหมาะสม ก็จงฉวยโอกาสชุลมุนนี้ทำให้มันพินาศเสีย แต่ถ้ารู้สึกว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปละก็ ไม่สู้เจ้าลงมือพลักดันมันเกิดขึ้นด้วยตนเองเล่า ไม่จำเป็นต้องให้ข้าที่เป็นคนนอกมาแทรกแซงด้วยซ้ำ”
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวล
แต่ท่านซูกลับมองนางยกตัวลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เทียบกับชายที่เขาเคยพบเห็นมาทั้งหมดแล้วล้วนแต่ต้องเข้มแข็งบึกบึนและกล้าหาญชาญชัย นัยน์ตากลมโตราวกับลูกท้อส่องประกายคมกล้า ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเสียงยังทรงพลัง “ถ้าหากท่านมัวแต่รอคนอื่นมาช่วยท่านตอนที่ท่านไม่อยู่กับร่องกับลอยแบบนี้ละก็ แม้แต่ท่อนไม้ที่ลอยเหนือผิวน้ำก็คว้ามาไม่ได้”
ท่อนไม้เหนือผิวน้ำงั้นรึ?
ท่านซูกำมือแน่น หลายทศวรรษแล้วที่ต้องเป็นเหมือนคนที่จมอยู่ใต้อำนาจ ราวกับถูกเคี่ยวกรำด้วยของมีคม แต่ความกลียุคในตอนนี้บีบบังคับให้เขาต้องยืนหยัดขึ้นเพื่อวงศ์ตระกูล การหยิบยืมคำพูดของกู้อ้าวเวยในตอนนี้ทำให้ดวงตาของเขาส่องประกายแวววับขึ้นเล็กน้อย แต่ยังพึงระมัดระวังอยู่บ้าง “วงศ์ตระกูลของข้าไม่เพียงแต่มีหลายพันคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นรวมไปถึงอ้ายหยินด้วย….”
“หากท่านอยากทำ แม้นสวรรค์ชั้นฟ้าก็ล้วนแต่เป็นของท่าน หากท่านหวั่นกลัว แม้กลางวันแสก ๆ ก็กลัวจนฉี่ราดกางเกงได้ เช่นนี้แล้วจึงมัวแต่ลังเลไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาบรรพบุรุษของท่านล้วนแต่มีจิตวิญญาณไร้ความกลัวและกล้าหาญเช่นเดียวกับข้าที่ต้องการคำมั่นจากหญิงสาวสักคนมิใช่หรือ?” กู้อ้าวเวยเหยียดยิ้มเย็นและทอดนัยน์ตาลงมาอย่างเหยียดหยาม ชายเสื้อตวัดผ่านหน้าท่านซูไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงมู่ลี่ที่กั้นพรางตาที่ถูกเปิดไว้
“กำลังของมนุษย์คนหนึ่งอาจจะยากที่จะสั่นคลอนสวรรค์ได้ แต่อย่าลืมเสีย สิ่งที่เจ้าต้องการสั่นคลอนนั้น เป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง”
เพียงแค่พูดประโยคทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง ทำเอากู้อ้าวเวยไม่แม้แต่หันหลังกลับไปเยื้องย่างบนทางกรวดหิน รีบจ้ำอ้าวไปยังตำหนักกู่เซิง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แถมยังไม่ขอแสดงอาการต่อต้านอีก
เยว่ปลายตามองคนในชุดชาวฮั่นตรงหน้า กำลังปล่อยผมที่มวยขึ้นสูงและใช้น้ำเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนดังน้ำ แต่กลับทำให้ใจของคนเต้นตุบตับได้ ทำให้ศิโรราบได้ หัวใจราวกับว่าหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง รอจนกระทั่งเดินจากจากสวนดอกไม้นี้ไปแล้ว นางจึงสามารถกล่าวเสียงแผ่วเบาออกมาได้ “แม้ว่าจะต้องร่วมมือกัน แต่ทำไมถึงเป็นคนที่ช่างยกตนข่มท่านขนาดนี้นะ?”
“ข้าเองไม่รู้จักคำว่าร่วมมือกันหรอกนะ รู้ก็แต่เรื่องผลประโยชน์กับการทำลายเท่านั้น” กู้อ้าวเวยมองด้วยสายตาน่าสะพรึงกลัว “ถ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตคนเป็นหมื่นคนเพื่อช่วยตระกูลเขาเพียงตระกูลเดียวละก็ มันไม่ต่างอะไรจากพวกไม่รู้สึกชั่งน้ำหนักความสำคัญ แต่ถ้าเขาลุกขึ้นก่อกบฏด้วยตัวของเขาเอง นั่นก็นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกจังหวะเลยทีเดียว นับเป็นวัฏจักรแห่งสวรรค์ แม้ว่าคนเป็นพันคนจะตายลงด้วยคมดาบของอ้ายหยิน มันก็เป็นเพียงแค่ผลกรรมของเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่มีใครพูดถึงก็เท่านั้นเอง ”
“งั้นตอนนี้เจ้าอยากไปที่ใดกันละ?” เยว่ลูบคอตัวเองอย่างไม่รู้ตัว รู้เพียงแต่ความรู้สึกหนาวสะท้านเหล่านั้นแม้แต่นักฆ่าอย่างนางก็ยังหวาดกลัว
“ไปสวนกู่เซิง ข้าอยากกลับไปดูสักหน่อยว่าตระกูลที่ขี้ขลาดเยี่ยงท่านซูยังมีอยู่มากน้อยเพียงใด ข้าต้องล่ารายชื่อนั้นและลงมือกำจัดด้วยมือของตนเองเสีย ไม่เช่นนั้นอีกร้อยปีให้หลังพวกแกะดำเหล่านี้ก็คงกระทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก” กู้อ้าวเวยปล่อยหัวเราะเหยียดเยาะขึ้นและสาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว
เยว่เดินตามกู้อ้าวเวยไปอย่างระแวดระวังและกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก
หลายปีมานี้ นางรวบรวมเบาะแสและเรื่องราวต่าง ๆ ของกู้อ้าวเวยให้ซ่านเซิ่งหานไปไม่น้อย นับตั้งแต่ถูกความอิจฉากลืนกิน ถึงตอนนี้เมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉานั้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว นางยิ่งทวีความรู้สึกที่ว่ากู้อ้าวเวยไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อื่นเชื่อมั่นในตัวนางได้ แต่ทว่านางยังสามารถจี้จุดอ่อนของพวกเขาได้หลายครั้งหลายครา แถมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเวลาไหนควรระมัดระวัง เวลาไหนควรปล่อย
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันถึงสวนกู่เซิง กู้อ้าวเวยก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมองนาง “เยว่”
“เพคะ” นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกกู้อ้าวเวยเรียกชื่อ เยว่ยังคงเก็บใบหน้าที่งดงามและเย็นชาเอาไว้
“ก่อนนี้เจ้าเคยคิดจะฆ่าข้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่าสองปีมานี้เจ้ากลับเงียบสงบมากขึ้น” กู้อ้าวเวยยืนประจันหน้าและทอดสายตาไปที่นาง “อีกอย่างตอนนี้ข้ากับเขาก็หมั้นหมายจะแต่งงานกันแล้วด้วย เจ้าเองไม่อยากฆ่าข้าแล้วรึ?”
“พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ กระหม่อมไม่กล้าแม้แต่จะโกรธองค์ชายสามสักนิดเลยเพคะ” เยว่แสดงสีหน้าเคอะเขิน
“หวังว่าเจ้าจะปฏิบัติกับเขาเหมือนเมื่อก่อนนะ” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างจนใจและพยายามไม่ใส่ใจกับประโยคที่ไม่รู้ว่าเยว่จะเข้าใจความหมายแฝงในนั้นหรือเปล่า ก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก็พลันเห็นเรือนร่างอันคุ้นเคยกำลังโบกมือให้เยว่ “เจ้าไปเก็บสัมภาระให้ข้าก่อนเถอะ”
เยว่พยักหน้านิ่ง ๆ แล้วมองซ่านจินจื๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางเหลือบมองกู้อ้าวเวยปราดนึงแล้วจึงปลีกตัวออกมา
หลังจากที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสา ซ่านจินจื๋อไม่เพียงยืนอยู่ใต้ระเบียงยาวช้อนตามองอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เขาก้าวเดินไปข้างหน้าพลันโอบกอดหญิงสาวในสถานที่ที่ผู้คนอาจพบเห็นได้ตลอดเวลา พร้อมก้มลงมองเข้าไปในดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความเย็นชา “คำพูดเหล่านั้นของเจ้าเมื่อกี้ ช่างน่าตื่นเต้นนัก”
“ข้ากล่าวกับท่านซูเพียงไม่กี่คำ ท่านกลับได้ยินหมดเสียแล้ว” เดิมทีกู้อ้าวเวยว่าจะทักท่านอาเสียหน่อย แต่พอคิดอีกที ซ่านจินจื๋อจอมรั้นผู้นี้ ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำร้ายตนเอง ก็ทำได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรน่าอายไปมากกว่าการถูกผู้ชายไร้ยางอายมาสั่งสอนแล้วละ เมื่อถึงเวลานั้นถ้ามันจะต้องขายหน้าขอขายหน้าเพราะตัวเองดีกว่า”
“หากไม่ใช่เพราะกำลังฟังอยู่ละก็ ข้าจะชอบเจ้าให้มากขึ้นไปอีกได้อย่างไรกัน?” ปลายนิ้วทั้งสิบของซ่านจินจื๋อวางทาบแนบแน่นบนหลังของนาง “ก่อนที่จะฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่คุกรุนไปด้วยความโกรธ จงบอกข้าทีว่าเจ้าคิดจะทำอะไร?”