บทที่ 611 บุพเพสันนิวาส
ข่าวลือจากทั่วสารทิศ ต่างก็พูดลือกันว่าองค์หญิงแคว้นเอ่อตานนั้นมีนิสัยที่ซุกซน มักชอบทำให้ฮ่องเต้วุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนต่างพูดกันว่าองค์หญิงเอ่อตานนั้นเหมือนหยุนหว่านฮูหยินในตอนนั้น ราวกับว่าสวรรค์ส่งลงมาให้ก่อปัญหา เหมือนตอนนั้นที่หยุนหว่านฮูหยินก่อปัญหาขึ้นใหญ่โต ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง องค์หญิงเอ่อตานก็มาถึงเมืองชางหลาน ทำให้แคว้นเอ่อตานได้เปรียบ
คำพูดนินทาเหล่านี้ถูกพูดออกมาเกินจริงกว่าคนเล่านิทานให้ฟังเสียอีก
แต่ที่แปลก ปกติแล้วอ๋องจิ้งผู้สูงส่งจะไม่ยุ่งกับเรื่องเหล่านี้ องค์ชายสามผู้อ่อนโยนและสง่างามที่มีอำนาจบาตรใหญ่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็มาถึงเช่นกัน
ในขณะเดียวกันตำหนักอ๋องจิ้งก็กำลังเตรียมของสำหรับฤดูหนาว ทาสรับใช้ในตำหนักต่างวิ่งวุ่นไม่น้อย
และซ่านจินจื๋อไม่ได้รู้สึกมีสาวงามอยู่ใกล้แบบนี้มานานแล้ว แต่ ท ว่าเพียงแค่นั่งในห้องตำราและจัดการเอกสารด้วยตนเอง และชำเหลือบมองไปทางกู้อ้าวเวย แค่เห็นกู้อ้าวเวยอยู่ในสายตาก็ทำให้เขาวางใจลงได้ “
“ท่านอ๋อง องค์ชายเก้าได้เสด็จมาถึงแล้วพะยะค่ะ” พ่อบ้านเดินเข้ามาคำนับอย่างระมัดระวัง และไม่รู้ว่าเฉิงซานหายไปไหน
“ให้เขาเข้ามา และนำของว่างมาเพิ่ม”
ซ่านจินจื๋อใส่จดหมายที่อยู่ในมือลงใต้ลิ้นชักโดยไม่เงยหน้าขึ้น และเอาตำราขึ้นมาเปิดไปมา
ในขณะที่ซ่านต้วนเฟิงเข้ามา เห็นซ่านจินจื๋อที่กำลังตั้งใจอ่านตำรา ก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ที่มาวันนี้ มีเรื่องอันใด?” ซ่านจินจื๋อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคน แต่ก็ไม่เงยหัวขึ้นเหมือนเดิม
ซ่านต้วนเฟิงแต่งตัวสง่างามทั้งตัว มีกลิ่นแป้งหอมทำให้ซ่านจินจื๋อที่ได้กลิ่น ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง
ถึงได้เห็นว่า ด้านหลังของซ่านต้วนเฟิงมีหญิงสาวอยู่สองคน แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมเล็กน้อย ดูเหมือนไร้เดียงสา เหมือนจะเป็นหญิงสาวที่ซ่านต้วนเฟิงเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง
“ท่านอา ข้าเห็นว่าท่านน้าไม่มาตั้งนานแล้ว คงไม่ใช่ว่าป่วยเรื้อรัง จนต้องนอนรักษาตัวกระมัง วันนี้เลยข้าเลยเรียกพวกนางมาปรนนิบัติท่าน” ซ่านต้วนเฟิงยิ้มและคำนับ
“ชื่อนี้ ข้าไม่ชอบทั้งนั้น” ซ่านจินจื๋อก้มหน้าลงไปใหม่: “หากเจ้ามาเพราะเรื่องที่เขาพูดลือกัน ข้าเห็นว่าไม่จำเป็น”
“ท่านอารู้เรื่องข่าวลือเสียๆหายๆพวกนี้ แต่กลับไม่สนใจ?”
ซ่านต้วนเฟิงหัวเราะชอบใจใหญ่ พวกนางจึงค่อยๆเดินออกไปด้านนอกรับลมอย่างเงียบๆ และไม่มีความปราณีใดๆต่อพวกนาง
ประตูถูกปิดลง ซ่านจินจื๋อถึงได้วางตำราที่อยู่บนมือลง: “เวยเอ๋อไม่ได้อยู่เมืองเทียนเหยียน ข่าวลือคำนินทาเหล่านี้ทำร้ายอะไรนางไม่ได้ แล้วข้าใยต้องสนใจ?”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ซ่านต้วนเฟิงเริ่มรู้สึกว่ายากที่จะรับมือแล้ว
หากซ่านจินจื๋ออยากแย่งชิงบัลลังก์จริงๆก็คงดี แต่ดูๆแล้ว ท่านอากลับโง่เง่าเต่าตุ่นเสียจริง และกู้อ้าวเวยก็อยู่ที่ที่ห่างไกลจากฮ่องเต้……
พอคิดได้ ซ่านต้วนเฟิงยังคงค่อยๆพูดขึ้นมา: “หากนางกลับมาได้ยิน……“
”นางมีวิธีปิดปากคนพวกนั้นอยู่แล้ว คงไม่ต้องถึงมือข้า” พออยู่นอกวัง ภาพลักษณ์ท่านอาของซ่านจินจื๋อก็ไม่ต้องแสดงอีก สายตาที่เย็นชามองไปทางเขา: “ซ่านต้วนเฟิง เจ้าแย่งบัลลังก์ของเจ้าไป แต่อย่ามายุ่งกับของของข้า” เหมือนกับว่าไม่มีใครจำเขาแบบเดิมได้
ซ่านต้วนเฟิงตรงไปทั้งตัว ซ่านจินจื๋อพูดด้วยน้ำเสียงขู่ฆ่าเขาเล็กน้อย ทำเอาหายใจแทบไม่ทัน
“ เวยเอ๋ออยู่ ข้าคงฆ่าใครตามใจชอบไม่ได้ “ ซ่านจินจื่อค่อยๆลุกขึ้นมา ด้านหลังเหมือนมีเสียงอะไรดังขึ้นเล็กน้อย เอาคำพูดของซ่านต้วนเฟิงที่พูดมาก็เก็บเอาไว้ในใจหมด
ขณะเดียวกันกู้อ้าวเวยก็ไม่รู้ว่าตอนไหน ภายใต้รูปภาพลูกพลัมในฤดูหนาวบนผนังก็มีธนูสามดอกถูกปักไว้
และซ่านต้วนเฟิงรับรู้ถึงพรมด้านล่างอย่างชัดเจน ตำแหน่งบนพื้นไม้นั้น กลับมีพรมบังอยู่ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไร
“ท่านอา……”เขาหัวเราะ ก็แค่คิดที่จะลองทดสอบดูเฉยๆ
“หากข้าฆ่าเจ้า คงไม่มีใครโทษข้าได้” ซ่านจินจื๋อดันโต๊ะไปข้างๆ และยืนด้วยมือเปล่า: “เมื่อใดกัน เมืองชางหลานเทียนเหยียนก็กลายเป็นเมืองของคนอย่างพวกเจ้า?”
มีใบมีดเรียวยาวเล็กๆปักอยู่ที่พรม และยังปักไปยังบนรองเท้าของซ่านต้วนเฟิง ไม่ใช่แค่เพียงเล่มเดียว
“ในครานี้ การปฏิรูปกฎหมายท่านพี่เป็นคนกำหนด พื้นที่ชายแดนข้าก็เป็นคนรับผิดชอบ”
ในสายตาของซ่านจินจื๋อที่อยากฆ่าเขาได้ค่อยๆจางลง เหลือเพียงแต่ความนิ่งสงบที่มองไปทางเขา อยากที่จะกลืนกินเขาภายในครั้งเดียว: “อยากได้แผ่นดินนี้ แค่ความอดทนขั้นพื้นฐานเจ้ายังทำไม่ได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?” พูดถึงตรงนี้ ประตูก็ถูกพ่อบ้านเปิดออก เฉิงซานที่ไม่รู้ว่ากลับมาตอนไหน อยู่ตรงประตูด้านนอกโค้งคำนับ: “องค์ชายเก้า นี่ก็ใกล้พบค่ำแล้ว ข้าน้อยไปส่งท่านเองพะยะค่ะ”
ทางด้านประตูนอก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
ซ่านต้วนเฟิงไม่รู้ว่าจะเดินออกไปยังไง เพราะบนรองเท้าที่ถูกใบมีดปักและรูด่างล่างพรมทำให้รู้สึกไม่ดี หญิงสาวสองคนก็นั่งอยู่บนพื้นข้างๆเขาอย่างระมัดระวัง
เฉิงซานมายังตรงหน้าของซ่านจินจื่อถาม: “หากเขารู้ความลับในห้องหนังสือนี้ ท่านอ๋องไม่กลัวว่าครั้งหน้าเขาจะเตรียมการมาหรืออย่างไรพะยะค่ะ?”
“ข้าแค่กลัวว่ามันจะรู้จุดอ่อนของข้า” ซ่านจินจื๋อกลับไปนั่งที่โต๊ะอีกครั้ง: “ซู๋ฮองเฮาก็ทนมาแบบนี้มานานเช่นกัน แต่นางก็เทียบกับองค์ชายสามไม่ได้ แต่ถ้าหากนางรู้จุดอ่อนของข้าและองค์ชายสามคือสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายเข้าไป”
“ถึงแม้ว่าซู๋ฮองเฮงจะตัดขาดกับท่านแต่ท่านเองก็เต็มใจ แต่กับองค์ชายสาม……”
“เรื่องของความรัก ในแววตาของชายหญิงก็ชัดเจนกันอยู่แล้ว เพียงแค่เวยเอ๋อมองยังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร” เขายังคงเหม่อนึกว่าเรื่องความรักที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้น ในสายตาขององค์ชายสามเริ่มลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เฉิงซานเข้าใจทันที ซ่านจินจื๋อแค่อยากข่มขู่ซ่านต้วนเฟิง
พอได้พบเจอกู้อ้าวเวย ท่านอ๋องเพื่อคนส่วนรวมคงไม่ไว้ชีวิตเขาหรอก
“เจ้าเชื่อขนาดนั้นเลย ว่าอ๋องจิ้งจะทำเพื่อเจ้าด้วยการจัดการซ่านต้วนเฟิง?” เจิ้งฉิงคุนที่ได้ยินกู้อ้าวเวยพูดแบบนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไมจะไม่เชื่อละ?” กู้อ้าวเวยกลับยิ้มขึ้นมา: “พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเอาข้ามากดดันองค์ชายสามไว้ และก็คงรู้ว่าซ่านจินจื๋อครั้งนี้ต้องไม่ปล่อยพวกเขาแน่”
“เพียงเพราะเจ้ารู้สึกว่าเขารักเจ้า?” ตอนที่เจิ่งฉิงคุนพูดถึงคำว่ารักขึ้นมีความลังเลอยู่
กู้อ้าวเวยคิดแล้วคิดอีก ก็ลุกเป็นไฟ พูดเสียงต่ำ: “ไม่ใช่ข้ารู้สึก แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
มองดูใบหน้าที่ยิ้มของกู้อ้าวเวย
กุ่ยเม่ยทำได้เพียงแต่ส่ายหัวไปมา
และไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดว่าหลงใหลในอำนาจบาตรใหญ่ กู้อ้าวเวยมองทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว นางรู้ว่าซ่านจินจื๋อรักตนเองมาก ดังนั้นเลยเลือกที่จะหนี และก็รู้ว่าตัวเองไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเตรียมใจ ตั้งครรภ์แล้วยากที่จะได้พบซ่านจินจื๋อ เพราะอย่างนั้นเลือกที่จะหนี และให้กำเนิดลูกด้วยตัวเอง “อย่างน้อยข้าก็รู้สึกว่า คนที่รู้จุดอ่อนของตัวเองเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด” กุ่ยเม่ยเดินขึ้นไป และนั่งข้างๆนาง
สายตาที่แดงๆของกู้อ้าวเวยที่สะท้อนจะแสงเทียนค่อยๆจ้องมองเขา: “เพราะงั้นเจ้ารอดู ข้ากับเขาคือเรื่องของบุพเพสันนิวาส”