บทที่ 617 เรื่องความเป็นอมตะ
“ข้าและหยินเชี่ยวต่างก็เป็นผู้หญิง จะทำอะไรกันได้ล่ะ?”
กู้อ้าวเวยตักบัวลอยขึ้นมา มองดูฉีหลินที่ท่าทางที่ปกป้องและพูดไม่ออกแบบนั้น
“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดเถอะ ตอนนี้หยินเชี่ยวโตเป็นสาวแล้ว ยังใช้กำลังอีก” ฉีหลินจับหน้าแดงๆของหยินเชี่ยวอย่างเป็นห่วงเป็นใย: “ถึงจะชอบแค่ไหนก็ไม่ควรจับนานขนาดนั้นซะหน่อย”
กู้อ้าวเวยกลอกตาขึ้นทำอะไรไม่ได้: “หากข้าไม่ลองจับจับดู คงไม่รู้ว่าสาวบ้านข้าที่เคยผอมสวยนั้นตอนนี้เลี้ยงจนเป็นหมูแล้ว”
“คุณหนู!” หยินเชี่ยวอายจนโมโหจับมือของฉีหลินลง พูดงอนๆ: “ข้าบอกแล้วว่าควรออกกำลังทุกวันหน่อย ที่ผ่านมากินดีมาตลอด”
พูดจบ นางก็วิ่งไปอยู่ข้างกู้อ้าวเวย ฉีหลินทั้งเครียดทั้งปวดหัว แต่กลับทำไรไม่ได้
กู้อ้าวเวยพูดไปยังป้อนบัวลอยให้หยินเชี่ยวคำหนึ่งอีก
คนในห้องต่างพากันหัวเราะ ด้านนอกก็มีเสียงเบาๆของหิมะตกลงมา กุ่ยเม่ยและฉูห้าวกำลังอุ้มตำราหลายเล่มเข้ามาพอดี มองดูฝนเล็กๆที่กลายเป็นหิมะ พูดขึ้น: “หิมะน่าจะตก”
“เหมือนว่าฤดูหนาวนี้อากาศหนาวไปหน่อย” ฉูห้าวพยักหน้า มองดูกุ่ยเม่ย: “ข้าเหมือนมีหญิงไม่น้อยยกให้ให้เจ้า”
กุ่ยเม่ยตกใจจนสำลัก รู้อยู่แก่ใจว่าหญิงเอ่อตานนั้นตื้อขนาดไหน รีบส่ายหัวทันที: “ไม่จำเป็นนะ”
“หากเจ้ามีครอบครัวแล้ว ท่านพี่คงดีใจมิใช่น้อยเลยล่ะ” ฉูห้าวพูดเสียงต่ำ
กุ่ยเม่ยนิ่งไปทั้งตัว ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เพียงแค่มองไปทางฉูห้าวด้วยความสงสัย
ฟังความหมายของประโยคนี้แล้ว ก็พอรู้ว่าต้องการจะสื่ออะไร
ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องกินบัวลอยร้อนๆเหมือนกัน กู้อ้าวเวยเปิดหนังสือไปมา แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีทางน้ำที่เชื่อมต่อกัน มีแค่เล่าเรื่องของคนที่ไปค้นหาแหล่งต้นน้ำในตอนนั้น แปลกใจ: “ลำธารตรงชางหลานไม่มีอันไหนที่เชื่อมมาทางเอ่อตานเลยหรอ?”
“มีแค่ของเอ่อตานที่สามารถใช้ได้ และเมืองเล่อยิ่งอยู่ไกลลงไป มักจะขาดแคลนน้ำบ่อยๆ ในตอนนั้นยังไม่มีมาตรการที่ดีเท่าไหร่ในการเปิดน้ำให้” ฉูห้าวพูดอธิบาย: “แต่ตรงบ่อ ข้าส่งคนให้ไปเฝ้าแล้ว บวกกับที่ชายแดนด้วย”
กู้อ้าวเวยปิดหนังสือลง: “ถ้าหากคิดที่จะใช้น้ำในการทำศึกรบละก็ งั้นก็ต้องพิจารณาต้นน้ำของตัวเอง”
ฉูห้าวขมวดคิ้ว พูดขึ้นว่า: “ข้าเข้าใจความหมายของท่านพี่แล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะไปลองตรวจสอบดู แต่เพียงแค่น้ำใต้ดินมืดมิดยากที่จะหาทิศทาง แต่ก็ยังมีแผนที่ของเมื่อก่อนและไม่กล้าให้ใครลงไปสำรวจ”
“หลังจากมีเรื่องของยาพิษเข้ามา ขอแค่รู้ว่าที่ไหนมีคนวางยา ก็สามารถรู้ได้ว่าทิศของบ่อน้ำใต้ดิน” กู้อ้าวเวยเปิดหนังสือขึ้นมาใหม่: “เหมือนกัน หากมีใครต้องการที่จะเตรียมการเพื่อสู้ในอนาคต นี้เป็นเพียงแค่การทดลองเล็กๆ
หยินเชี่ยวซบตรงหลังของฉีหลิน
“อย่าพูดให้มันน่ากลัวแบบนี้สิ” กุ่ยเม่ยตบๆฝุ่นบนลำตัวตัวเองนั่งลง: “พิษแบบนี้จะเทียบกับการรบศึกได้อย่างไรกัน”
“ก็แค่อาจจะ แต่ว่าเป็นความเป็นได้ในรูปแบบหนึ่ง” กู้อ้าวเวยลุกขึ้น ไปยังชั้นวางหนังสือหยิบหนังสือเบ่มหนึ่งลงมา โยนไปให้กุ่ยเม่ย: “เสียเลือดของคนเป็นแสนเพื่อและกับความอมตะ”
กุ่ยเม่ยรีบเปิดหนังสือดู กำลังดูอย่างมึนงง กู้อ้าวเวยก็พูดขึ้นทันที: “นี้คือตำราที่ร้านค้าให้ข้ามา ที่ตั้งวัดทางทิศเหนือของเอ่อตานสร้างโดยฮ่องเต้ที่สิบเอ็ดในปีนั้น และยังมีหลุมลึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ แต่ผู้คนกลับตายนับพันคน เป็นเวลาเจ็ดปี ผู้คนถูกดึงลงไปยังหลุมลึก บางคนก็ถูกโยนลงไป น้ำในบ่อกลายเป็นสีแดงข้นเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี จนถึงสองร้อยปีน้ำแห้งเหือด และวัดก็จมอยู่ใต้พื้นทราย แปดสิบปีก่อน มีโจรไปขุดพบเจอตำราเล่มหนึ่ง ในนั้นมีคาถาเล่นกล และยังมีวิธีเป็นอมตะซ่อนไว้ด้วย”
นางค่อยนั่งลง แววตาที่ใส มองไปทางฉูห้าว พร้อมยิ้มขึ้นมา: “จะว่าไป ถ้าไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษของตระกูลฉูที่ไปดึงบนแท่นอย่างบ้าคลั่งลงมา ตำแหน่งทุกวันนี้ก็คงไม่มาถึงเจ้าหรือเป็นแน่”
“ว่าไปแล้ว เจ้าคงคิดว่ามีคนที่จะทำแบบในเรื่องตอนนั้น? รู้สึกว่ามันจะไกลเกินตัวไปแล้ว” ฉีหลินกอดหยินเชี่ยวไว้ในอ้อมแขน มีความไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
หากเป็นรบศึก จะไม่เชื่อเรื่องภูตผี แต่ถ้าเป็นใจคนไม่แน่ใครจะไปรู้ละ?” กู้อ้าวเวยยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเทชาให้ตัวเอง เพียงแค่เหลือบเห็นข้อมือมีสีจางๆอยู่ใต้แขนเสื้อ และรอยจางๆนั้นทำให้นางรีบหยิบถ้วยมาใช้ฝาปิด รีบใช้แขนเสื้อปิดอย่างรวดเร็ว
กลับไม่มีใครสังเกตเห็น
แล้วทำไมถึงไม่อยากได้วิธีที่จะเป็นอมตะกันล่ะ
“หยุนหว่านไม่หวังให้ยุ่งเรื่องพวกนี้” ฉูห้าวถอนหายใจ: “เจ้านี่รู้เยอะเดินไปจริงๆ”
ไม่ใช่เพียงแค่นางรู้เรื่องแบบนี้เพียงคนเดียว เกรงว่าน่าจะมีหลายคนที่คิดได้ อีกอย่างถ้าคิดดีๆแล้ว ในตอนนั้นอ้ายจือที่ถูกขังไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของที่บ้านแน่ๆต้องมีเรื่องอื่นอีก ไม่งั้นอ้ายหยินคงไม่รีบมาหา และถึงเกิดศึกขึ้นไม่สนอะไรอีกแล้ว
จะว่าไป แคว้นซินและแคว้นเจียงเยี่ยนรีบร้อนเกินไป
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว พรุ่งนี้ในค่ายจะมีการหุงข้าวครั้งใหญ่ และจะรับชาวต่างชาติที่ไม่มีที่ไปอยู่ด้านนอกด้วย ที่เสียดายก็คือเมืองเล่อนี้มีหมอไม่ค่อยเยอะ” ฉูห้าวกระแฮ่มเสียงหลายรอบ รีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
ให้ท่านพี่ไปดูแลคนป่วย ยังไงก็ดีกว่าให้นางไปเข้าร่วมเรื่องทางการ
กู้อ้าวเวยตอบตกลง ถอนหายใจ: “คนอื่นๆเขาคอยหวังว่าลูกชายจะเป็นดั่งมังกร ส่วนลูกจะเป็นดั่งหงส์ พวกเจ้าก็แค่อยากให้ไม่ต้องทำอะไรเลย”
“ใครใช้ให้เจ้าไม่มีจิตสำนึก” กุ่ยเม่ยเอาหนังสือที่อยู่ในมือกลับไปที่เดิม เห็นในห้องนี้คนก็ไม่น้อย จึงพูดขึ้นว่า: “ฉีหลิน คืนนี้ให้พวกนางนอนด้วยกันดีกว่า ช่วงนี้ห้องก็ไม่ค่อยเยอะด้วย พรุ่งนี้ยังมีทหารใหม่เข้ามาพักอีก”
“พอดีเลยพรุ่งนี้ข้ายังต้องไปสนามฝึกซ้อมกับเจ้าด้วย” ฉีหลินพยักหน้า
กู้อ้าวเวยแข็งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองถอดชุด จะมีใครเห็นรอยแผลหรือเปล่า
ไม่กี่คนพูดคุยกันอยู่ชั่วครู่ ก็จากไป เหลือเพียงแต่หยินเชี่ยวและกู้อ้าวเวยสองคน นางทำได้เพียงให้หยินเชี่ยวไปอาบน้ำเร็วๆแล้วเข้านอน
นี่ก็เป็นสาวอายุยี่สิบกว่าแล้วยังทำตัวเหมือนเด็ก ทำตาใสมองดูนาง: “คุณหนู ข้ายังไม่เคยร่วมเตียงกับหญิงใดมาก่อนเลยนะเจ้าคะ”
“วันนี้เจ้าก็จะได้ร่วม แต่เพียงข้าขี้หนาวเกินไป ข้าไปเอาผ้าห่มมาเพิ่ม เจ้านอนก่อนเลย” กู้อ้าวเวยล้างหน้า และยังดับไฟอีกด้วย ในความมืดจับผ้าห่มหนาไว้พร้อมอุ้มขึ้นเตียงไป
แบบนี้ หยินเชี่ยวก็ไม่เห็นแล้ว
เช้าตรู่วันที่สอง ฝนออยที่ตกเมื่อคืนตอนนี้กลายเป็นหิมะที่ตกลงมา
หยินเชี่ยวที่นอนสะลืมสะลือลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุด กู้อ้าวเวยที่อยู่ข้างๆหดตัว และยังไม่ตื่น
“คุณหนูนอนติดเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ?” หยินเชี่ยวพึมพำ เห็นประตูถูกผลักเข้ามาช่องเล็กๆฉีหลินที่อยู่ด้านนอก เรียกนาง: “เดี๋ยวฮูหยินจะไปสนามฝึกซ้อมกับพวกข้า เจ้าไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะหาท่านพอดีหรือไง ไปด้วยกันไหม?”
“ข้ารีบตามไป” หยินเชี่ยวเปลี่ยนชุดเบามือ เดินตามฉีหลินออกไป
คนที่อยู่บนเตียงกำลังนอนหลับอย่างสบาย