บทที่ 627 แตกต่างกัน
ผ้าคลุมเตียงที่อ่อนนุ่มหนา ถูกความร้อนจากเตาผิงสองเตาทำให้ห้องอบอุ่น
กู้อ้าวเวยหลับลงทันทีในขณะที่เอนตัวลงไป หลายวันนี้นางนอนเยอะ กินเยอะ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีความเศร้าที่เกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน เงาที่อยู่ในความฝันยังคงตามหลอกหลอนไม่หยุด มีรอยยิ้มของชิงจือที่พุ่งเข้ามาจูบ แล้วก็มีฝ่ามือของซ่านจินจื๋อสัมผัสมาที่เส้นผมของนาง พอเงยหน้าขึ้นมายังเห็นรอยยิ้มของท่านปู่อีกด้วย
ตอนที่ตื่นมากลับเป็นเพียงความมืดมิดไปหมด ด้านนอกม่านมีเพียงเทียนริบหรี่ที่หลงเหลือไว้ให้นาง
และเฟิงเยว่ก็ตกใจตื่นขึ้นมาจากบนโต๊ะ ขณะที่นางลุกขึ้นมานั่งก็พูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาททรงหิวหรือ”
กู้อ้าวเวยตกใจกับคำพูดของนางประโยคนี้ แหวกม่านออกอย่างประหลาดใจ “ดึกดื่นค่ำมืด เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลข้าตลอดหรอก”
“คนที่ฝึกวรยุทธ์นั้นต่างล้วนหลับนอนได้ทุกเวลา ตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลา ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องสนใจข้า” เฟิงเยว่เดินขึ้นมาด้านหน้า คุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้น พิงขอบเตียงนำเสื้อคลุมที่พับไว้อย่างเรียบร้อยมาวางบนโต๊ะด้านข้าง มือทั้งสองข้างยกขึ้น ก้มหน้าลงต่ำ มือทั้งสองข้างยกสูงขึ้น ยกไปที่ด้านหน้าของกู้อ้าวเวย “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทต้องให้เฟิงเยว่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่”
“ข้าทำด้วยตัวเองก็พอแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่กู้อ้าวเวยถูกคนให้การเคารพปรนนิบัติดูแลเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะใจสั่น
เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวหิมะทั้งชุดเสร็จแล้ว ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยกรีดลงไปที่เนื้อผ้าตรงแขนเสื้อ แต่เสื้อผ้าชุดนี้ดูค่อนข้างรัดรูป จึงเกิดความแปลกใจขึ้น “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เสื้อผ้าที่ข้าพกมา”
“นี่เป็นของที่องค์ชายสามเตรียมไว้เพื่อฝ่าบาท” เฟิงเยว่ก้มหน้า พูดต่อว่า “อีกทั้งท่านยังนอนยาวนานมาก เฟิงเยว่จะส่งคนไปจัดเตรียมอาหารและยาบำรุงครรภ์มาให้ท่าน”
กู้อ้าวเวยนั่งลงทันใด ปลายนิ้วถูไปที่เหนือท้องน้อยของตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องเตรียมยาบำรุงครรภ์ ส่งคนไปหยิบที่บ้านของจางเหยียงซานโดยตรงมาเถอะ กุ่ยเม่ยน่าจะเตรียมไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”
เฟิงเยว่ไม่ได้มีท่าทีที่จะต่อต้านแม้แต่นิดเลย รีบส่งคนไปเอาทันที
รอจนหลังจากดื่มซุปยาเสร็จแล้ว กู้อ้าวเวยกำลังมองลมหนาวที่กำลังพัดอยู่ด้านนอกหน้าต่างอยู่ แต่นางกลับไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากนอน ได้แค่พูดว่า “เฟิงเยว่ เจ้าเล่นหมากเป็นหรือไม่ สอนข้าหน่อยได้ไหม”
กู้อ้าวเวยก็รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ต่อการเดินหมาก หมากดำขาวนางก็รู้เพียงหมากรุกห้าเม็ด แต่พูดถึงหมากล้อมก็ยิ่งสับสนไปอีก คืนนี้ก็แค่เป็นเพียงความตั้งใจที่อยากจะเรียนรู้
ตลอดทั้งคืน จวบจนรุ่งสางที่ขอบฟ้า หมากสีขาวของเฟิงเยว่ถูกกำจัดทิ้งเกือนหมด
แต่กู้อ้าวเวยกลับหาวออกมาอย่างขี้เกียจ มือข้างหนึ่งค่อยๆ เก็บกระดานหมากอย่างสะอาดสะอ้าน “ข้าไปห้องครัวดูหน่อยสักรอบ อีกประเดี๋ยวฟ้าสางเจ้าก็กลับไปเอาเสื้อผ้าเล็กน้อยกับข้ามา ดีที่สุดก็ขอโทษกุ่ยเม่ยสักหน่อย เมื่อวานต้องโทษที่ข้าใจร้อนไปหน่อย”
ในเมื่อรู้สึกว่าซ่านเซิ่งหานแปลกประหลาดไปเล็กน้อย นางก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งใจจริงๆ
เฟิงเยว่เก็บข้าวของเรียบร้อย ตามติดด้านหลังกู้อ้าวเวยไป
มีบางคนเกิดมาก็เพื่อจะกุมอำนาจไว้
โดยเนื้อแท้ของเฟิงเยว่ก็ไม่ได้โง่เขลา แต่ก็คงจะไม่ถูกหลอกในท่าทางที่ไร้เดียงสาของกู้อ้าวเวยเช่นนี้ แต่ในการเดินหมากนั้น ที่จริงแล้วกู้อ้าวเวยนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง
“ฝ่าบาท ทำไมท่านถึงศึกษาเรียนรู้วิชาแพทย์อย่างลึกซึ้งกัน หากความสามารถของท่านใช้ในทางอื่นได้ ก็จะเป็นมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนทั้งปวงมาก” เฟิงเยว่อดไม่ได้ที่จะถาม
“เพราะว่าข้ามีความทะเยอทะยานเกินไป ไม่รู้ว่าขอบเขตคืออะไร เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงและไม่ได้มีจิตใจเพื่อผู้คน งั้นข้าก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปทั้งตัวแล้ว มีดหมอเหมาะสมกับข้ามากกว่า” กู้อ้าวเวยเดินต่อไปด้านหน้า แต่กลับมองไม่เห็นเงาของซ่านเซิ่งหาน มาถึงที่ด้านข้างประตู แต่กลับมองเห็นเงาของกุ่ยเม่ย
วันนี้กุ่ยเม่ยสวมชุดดำทั้งชุด ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าพันคอสีดำ
“ทำตามอำเภอใจมาตลอดทั้งคืนก็พอได้แล้วเถอะ” กุ่ยเม่ยเดินขึ้นมาด้านหน้า แววตามองไปที่ร่างของเฟิงเยว่ “ลำดับต่อไปนางก็มองให้ข้าดูแล รอจนตอนที่ต้องการความช่วยเหลือจากฝ่าบาทของเจ้าค่อยมา”
“คำพูดนี้ของเจ้าช่างดูหยิ่งยโสจองหองนัก” เฟิงเยว่เบะปาก สีหน้าเคร่งขรึม
“อยู่ด้วยกันกับผู้หญิงเช่นนี้ ก็ได้เรียนรู้ที่จะเย่อหยิ่งดังเช่นท่านอ๋องเช่นนั้น มิเช่นนั้น ก็จะกลายเป็นว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกคนจูงจมูกเอาได้” มือข้างหนึ่งของกุ่ยเม่ยวางลงบนด้านหลังเอวของกู้อ้าวเวย ท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ แต่กลับไม่มีรสชาติความอบอุ่นนุ่มนวลแม้แต่นิด การปฏิบัติต่อกู้อ้าวเวยก็มีเพียงฐานะที่อดทนอดกลั้นเท่านั้น “ไม่อาจจะจากไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวไม่ได้ ข้าจึงเป็นคนที่ควรค่าที่ได้รับการเชื่อใจจากเจ้า”
“เจ้าเป็นพี่ชายให้ลูกชายข้าเถอะ” กู้อ้าวเวยเหลือบตาขาวมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“อย่าพูดจาส่งเดช ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดทั้งคืนเชียวนะ” กุ่ยเม่ยลูบไปที่หลังศีรษะของนาง ไม่รอให้กู้อ้าวเวยสั่งเสียอะไรแก่เฟิงเยว่ ก็อุ้มคนขึ้นรถม้าไปเลย จากไปอย่างไม่หันหน้ากลับมาอีก
เฟิงเยว่เบะปากขึ้นไปมา ได้แคกลับไปรายงาน หลังจากเอาเรื่องทุกอย่างรายงานไปแล้วก็ไม่ลืมที่จะพูดว่า “ในเมื่อนางไม่เชื่อฝ่าบาทท่าน เหตุใดจึงยังจะต้องมาอยู่อีกหนึ่งวัน”
“นางก็คงมีเรื่องบางอย่างที่ยังไม่แน่ใจก็แค่นั้น อาจจะพบว่าข้ามีบางอย่างที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แต่จริงๆ ก็มักมีคนพูด ผู้หญิงที่มีครรภ์มักจะมีความรู้สึกไวต่อบางอย่าง” มือสองข้างของซ่านเซิ่งหานวางไว้อยู่บนรายงาน “อีกทั้งหากนางอยู่ด้วยกันกับข้าทุกวัน อาจจะกลายเป็นอันตรายจริงๆ ก็ได้”
เฟิงเยว่ก้มหน้าลงมา “เฟิงเยว่ขอพูดอย่างใจกล้าสักหนึ่งประโยค ครั้งนี้ที่จริงแล้วท่านรีบร้อนเกินไปแล้ว แต่ฝ่าบาทผู้นั้นกลับไม่ได้สนใจกับเสื้อผ้าอาหารการกินเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พบว่า แต่หากมีวันหนึ่งหวนกลับไปคิดอย่างละเอียด แน่นอนว่าจะต้องรู้ว่าท่านหลงใหลยึดติดต่อนาง
ปลายนิ้วที่เย็นเยือกรูดผ่านแก้มไป ซ่านเซิ่งหานก็ไม่รู้ว่าบนหน้าของตนเองถูกเปิดเผยไปแล้วครึ่งหนึ่ง
และตอนนี้บนรถม้า กู้อ้าวเวยและกุ่ยเม่ยต่างนั่งอยู่ในรถม้า ได้แต่แหวกผ้าม่านหน้าต่างออกมองไปที่จวนเซ่ที่อยู่ด้านนั้น
ม้าตัวนั้นที่อยู่ด้านล่างร่างกายของซ่านต้วนเฟิงกลับมีความเหมือนกับเหย่เฟิงหลายเท่า แต่ตามความคิดของกู้อ้าวเวยที่ได้เห็น ท่าทางการเดินของซ่านต้วนเฟิงไม่ค่อยเป็นปกติไปเล็กน้อย กุ่ยเม่ยจึงพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “เมื่อคืนข้าตามติดพวกเขาไป ดูเหมือนว่าระหว่างทางซ่านต้วนเฟิงจะถูกคนลอบทำร้าย แต่กลับปิดบังเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
คิดไม่ถึงว่ากุ่ยเม่ยจะไปสืบข่าวด้วยตัวเอง กู้อ้าวเวยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ได้แค่ปล่อยม่านหน้าต่างลง “จะว่าไปแล้ว เมื่อวานเดิมทีข้าไม่ได้เตรียมการที่จะกลับมา แต่อยู่ข้างกายองค์ชายสาม ข้ามักจะรู้สึกว่าไปเป็นอิสระ”
“ตรงไหนไม่สบาย” หรือว่าได้กลิ่นอะไร” กุ่ยเม่ยมองดูเสื้อผ้าบนตัวของนาง สีหน้าเปลี่ยนไป “ใครให้เจ้าไปหาเขา”
“แล้วใครให้เจ้าหักหลังข้าคาบข่าวไปบอกซ่านจินจื๋อ” กู้อ้าวเวยกระแอมออกมาหนึ่งคำ ให้คนบังคับม้าเปลี่ยนเส้นทางกลับตำหนัก
เมื่อวานก็แค่ใจร้อนไปชั่ววูบ แต่กุ่ยเม่ยกลับรู้สึกว่าความรู้สึกของกู้อ้าวเวยมักจะถูกต้องไม่ผิดแปลกแน่นอน
แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะไม่รู้จักเนื้อผ้าพวกนี้ แต่สำหรับคนอย่างกุ่ยเม่ยแล้ว แน่นอนว่ารู้ว่าเสื้อผ้าทั้งตัวของนางนี้ต้องใช้เงินไปเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าซ่านเซิ่งหานแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยฟุ่มเฟือยกับผู้หญิงคนหนึ่งคนใดมากเช่นนี้
เป็นความจริงใจ หรือเพื่อหลอกใช้กันแน่
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลข้อใด กุ่ยเม่ยล้วนไม่ยอมให้องค์ชายสามมีความเกี่ยวข้องพยายามใดๆ ต่อนาง
“ทำไมหรือ” กู้อ้าวเวยกุมมือของเขาไว้แน่น “เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน จะไม่ป่วยหรือ”
มองดูคนที่อยู่ตรงหน้าโน้มตัวไปด้านหน้าแตะหน้าผากของเขา กุ่ยเม่ยพลิกมือคว้าข้อมือของนางไว้
สำหรับเขาแล้วกู้อ้าวเวยมีความสำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้