บทที่ 634 ความหวังกลางสายชล
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
กิ่งก้านไม้ในฤดูใบไม้ผลิผุดหน่ออ่อนขึ้นมา กลิ่นดินโคลนถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายแห้งชื้นในวสัตฤดู
ภายใต้อิฐกระเบื้องคร่ำคร่า กู้อ้าวเวยได้ผลัดอาภรณ์มาสวมชุดสีดำเรียบง่าย เสื้อคลุมปกปิดรูปร่างของนางเอาไว้ และสะดวกในการที่นางจะไม่ต้องหยัดกายเหยียดตรงตลอดเวลาอีกด้วย กิ๊บไม้ที่ติดเรือนผมยาวด้านหลังนั้นเป็นไม้แกะสลักชิ้นหนึ่ง และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขัดเงาจากช่างฝีมือ
“ท่านไม่สามารถปล่อยผมสยายในสนามศึกได้” เนื่องจากกุ่ยเม่ยกล่าวเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงละทิ้งมวยผมที่หลวมยิ่งกว่านี้ไป
แม้จะเป็นเช่นนี้ เส้นด้ายถักทอบนเสื้อคลุมสีดำนี้ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี
นับแต่วันนั้นที่ล่ายเสวียนเข้ามา เป็นเวลาห้าวันพอดี
ล่ายเสวียนนำทัพออกไปตั้งนานแล้ว กองทัพทหารรักษาการณ์จะปิดประตูเมืองทุกบานเวลาเที่ยงตรง และใช้พื้นที่เพาะปลูกก่อนหน้านี้ขุดดินทำเกษตร ส่วนครึ่งเดือนนี้ พวกเขาเองก็จวนเจียนจะฆ่าหมูป่าในลำเนาไพรละแวกใกล้เคียงจนเกลี้ยงป่าอย่างรวดเร็วแล้ว ทั้งห้องครั้งต่างยุ่งกันจ้าละหวั่น เหล่าเด็กน้อยล้วนไม่ออกไปเดินเตร่ตามท้องถนนอีกต่อไป หากแต่มารวมตัวเป็นจุดเดียวช่วยกันสานเชือก และเป็นลูกมือให้กับช่างฝีมือ
ไม่มีใครว่างงานเลย
ตอนที่กู้อ้าวเวยออกไปนั้นพลันมองเห็นฉากเช่นนั้นทั่วทั้งแถบ นี่เป็นสิ่งที่นางแทบไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ล่ายเสวียนดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว กุ่ยเม่ยประคองนางปีนขึ้นรถม้า “ระวังตัวด้วย ตลอดทางสัญจรไปนี้คงจะไม่สะดวกสบายนัก ข้าจะอยู่คอยปรนนิบัติเคียงข้างท่านตลอดเวลา”
กู้อ้าวเวยพยักหน้า ก่อนถอยตัวกลับเข้าไปในรถม้า เห็นชัดว่ารู้สึกถึงการโคลงเคลงที่มากกว่าเก่า
เด็กในครรภ์ยังไม่อาจก่อปัญหาได้ มีแต่อาการวิงเวียนศีรษะน้อยๆ เท่านั้นที่ทำให้นางสูญเสียการควบคุม แต่ยังพอทนได้อยู่
ระหว่างทางประสบกับการโจมตีปุบปับถึงสองหน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อล่ายเสวียนเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว กองทัพทั้งขบวนเดินเรียงแถวมุ่งสู่คูเมืองอันเป็นหมาย ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่นกพิราบส่งสารแสดงความเป็นพันธมิตรของกู้เฉิงยังถูกฟ่านเฟิงยิงสอยลงมาจนหมด
ล่ายเสวียนทำเพียงหัวเราะเย้ยหยันให้กับเรื่องดังกล่าว “อ้ายหยินกับกู้เฉิงต่างกันตรงไหน”
“พูดได้ดี” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางโผล่หน้าออกมาจากรถม้า ก่อนจะยันบนบ่าของกุ่ยเม่ยด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“ไสตัวกลับไปในพื้นที่อ่อนนุ่มของท่านนู่นไป” คิดว่ามาเที่ยวเล่นจริงๆ เชียวหรือ!
ไม่เพียงครั้งนี้เท่านั้นที่ล่ายเสวียนต้องขมวดคิ้วให้กับอุปนิสัยผิดแผกเกินเหตุของกู้อ้าวเวย
แต่พลทหารที่อยู่ใกล้ๆ ต่างหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา คล้ายกับเห็นเรื่องพวกนี้จนคุ้นชินไปแล้ว ความชิงชังที่มีต่อกู้อ้าวเวยตั้งแต่เริ่มต้น จนป่านนี้กลับไม่มีแม้แต่ครึ่งเสี้ยว อย่างไรเสียในรถม้าคันนี้ก็มีผู้บาดเจ็บเพิ่มมาอีกสองคน ต่างได้รับบาดเจ็บจากตอนถูกบุกโจมตีก่อนหน้าทั้งสิ้น นอกจากแพทย์ทหารในกองทัพแล้ว กู้อ้าวเวยก็นับว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งได้ การเคลื่อนไหวเกลี้ยงเกลาเฉียบคม เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติแห่งความภาคภูมิใจของนาง
กู้อ้าวเวยทำได้เพียงกลับเข้าไปในรถม้า และเอนพิงแผ่นหลังของกุ่ยเม่ยโดยมีม่านรถกั้นเอาไว้
“ทหารสองนายที่ได้รับบาดเจ็บยังไม่ทันได้สติสมบูรณ์ เหงื่อกาฬเต็มหน้า กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้รีบร้อน ทำเพียงกล่าวว่า “ล่ายเสวียนมักจะหน้าตายเสมอ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีเพื่อน”
“ดังนั้นท่านถึงได้ให้เขาพูดถ้อยคำพวกนั้นโดยไม่มีธุระจำเป็นอะไร เพื่อจะให้เขาครองใจประชาชนได้ง่ายขึ้น” กุ่ยเม่ยรู้สึกว่าแผ่นหลังถูกกระแทกเบาๆ เล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
เรื่องแบบนี้ทำความคุ้นเคยมาตั้งนานแล้ว ตอนที่กู้อ้าวเวยคิดจะลองใจผู้คนยิ่งเพิ่มระดับขึ้นไปอีก
กองทัพมหึมาเปิดแนวศึก บนกำแพงเมืองเบื้องหน้ามีหัวหน้ากองทหารและพลธนูหลายร้อยนายยืนอยู่แต่แรก
ส่วนกู้อ้าวเวยกลับพาคนไปกบดานในป่าลึก หยุดอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ฟ่านเฟิงรวมถึงพลทหารหนึ่งพันนายที่มาส่งอยู่ด้านหลังต่างเปลี่ยนอาภรณ์และพกถุงน้ำเรียบร้อยกันหมดแล้ว
“น่าจะต้องเข้าไปจากตรงนี้ ถ้าหากด้านในต้องแบ่งทัพ ก็ให้แบ่งเป็นครึ่งส่วน เวลาที่กลั้นหายใจในน้ำต้องไม่เกินเวลาชั่วธูป มีปัญหาอะไรสามารถล่าถอยได้ ทุกทัพที่แบ่งออกไปต้องมีเชือกหนึ่งเส้น ครั้นเกิดข้อผิดพลาด ให้ล่าถอยทุกเมื่อ” กู้อ้าวเวยเน้นย้ำสามรอบ “พวกเจ้าต้องจำเอาไว้ ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งจำเป็น ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แม้ประสบอันตรายก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตไว้ใต้น้ำ ข้าจะนำคนห้าสิบคนรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่”
กู้อ้าวเวยมองดูคนทางฝั่งนั้นที่มัดเชือกหลายเส้นเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนหยัดตัวลุกขึ้นยืน “แต่ละทัพมีห้าสิบคน ครึ่งชั่วยามเคลื่อนหนึ่งขบวน หากถึงฝั่งแล้วให้คิดหาวิธีรวมพลโดยใช้สัญญาณลับ การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอจนถึงตอนเย็น”
“รับทราบ” ฟ่านเฟิงพยักหน้าก่อนเป็นคนแรก พลทหารที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยพยักหน้าบ่งบอกว่ารับรู้กันหมด
แต่ท้ายที่สุดแล้วตรงนี้ก็ไม่ควรมีการเคลื่อนไหวที่มากเกินควร กู้อ้าวเวยนับจำนวนคนที่ลงไปทีละคน และให้ผู้คนสังเกตสภาพของเชือกเสมอ
เนื่องจากไม่รู้ว่าน้ำใต้ดินมีความคดเคี้ยวมากแค่ไหน แต่เชือกพวกนี้คงจะยาวไม่พอแน่ๆ ทว่าก็พอจะกลายเป็นสัญญาณของการเรียกกลับมาได้อยู่ ไม่มีเวลาพอจะไปทดสอบทิศทางไหลของน้ำ จึงทำได้เพียงคำนวณตามคนรุ่นก่อนก็เท่านั้น
อย่างไรเสียถ้าหากทางน้ำสามารถเดินจรไปได้ละก็ การบาดเจ็บล้มตายของแนวหน้าก็จะลดน้อยลง ทำนองเดียวกัน ถึงแม้คูเมืองนี้จะบุกง่ายป้องกันกันจริงๆ แต่อย่างไรเสียเมื่อเปรียบเทียบกำลังทหารของสองฝั่งเห็นความแตกต่างชัดเจน แพ้ชนะยากจะระบุได้
ศึกหนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาชนะให้ได้
จากเช้าตรู่จนถึงพลบค่ำ กลองศึกแนวหน้าไม่ได้ดังขึ้นมาเลย ทุกๆ หนึ่งชั่วยามผ่านไปคนของล่ายเสวียนก็จะเข้ามาส่งจดหมาย ส่วนคนที่ลงน้ำตั้งแต่เช้าตรู่นั้นย้อนกลับมาแล้วหลายสิบคน พวกเขาแทบจะหลงทางอยู่ในนั้น กระทั่งมีคนได้รับบาดเจ็บในความมืด กู้อ้าวเวยย่อมต้องช่วยดูแลอาการเป็นธรรมดา
“เจ้าเมืองของพวกเขาร้องขอการเจรจา แม่ทัพล่ายเสวียนได้ส่งคนเข้าไปเจรจาข้างในแล้ว” คนที่มาส่งจดหมายกล่าวเช่นนี้ เวลานี้ท้องฟ้ามองไม่เห็นแม้แต่เมฆที่แต่งแต้มด้วยสียามสนธยาแล้ว
กู้อ้าวเวยพันน่องขาที่ถูกเฉือนให้กับพลทหาร ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมา “ดูเหมือนว่าจะถ่วงเวลา”
“ดังนั้นแม่ทัพล่ายเสวียนให้ข้ามารายงานท่าน ครั้งนี้ควรจะเป็นศึกรัตติกาลฉากหนึ่ง มิเช่นนั้นรอจนกำลังเสริมของอีกฝ่ายโจมตีเข้ามา ทุกอย่างก็จวนเจียนสิ้นสุดลงแล้ว” คนผู้นั้นหยัดตัวยืนขึ้น ปาดเหงื่อบนหน้าผากออก “ท่านมีคำพูดอะไรอยากให้ข้านำไปแจ้งแม่ทัพหรือไม่”
“คำพูดของข้าไม่มีประโยชน์ใดๆ สำหรับเขา แต่ข้าจำเป็นต้องรู้ความเคลื่อนไหวของท่านซูและกู่เซิง ไม่ว่าเรื่องศึกแนวหน้าจะยุ่งง่วนเพียงใด เขาก็ต้องมาดูสถานการณ์บ้าง” กู้อ้าวเวยพยุงลำต้นไม้หยัดตัวลุกขึ้นยืน กล่าวประโยคนี้จบก็ทำเพียงใช้เรียวแขนปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองไปทางพลทหารที่วิตกกังวลด้านข้าง “พาเขาเข้าไปในโพรงถ้ำ ก่อไฟไว้ด้านข้าง และป้อนอาหารให้เขาทาน ให้เขาพักผ่อนเยอะๆ ด้วย”
“หากแม่ทัพใกล้จะเปิดศึกแล้ว พวกเราเองก็สามารถ…” มีพลทหารบางคนลุกขึ้นยืน เสื้อผ้าบนร่างกายยังไม่ทันแห้งสนิท
“อยู่ใต้น้ำหนึ่งชั่วยาม เหนื่อยเสียยิ่งกว่าอยู่บนบกสามชั่วยามอีก พวกเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องไปตายเลย พักผ่อนเสียก่อน รอจนโอกาสสุกงอม ข้าจะให้พวกเจ้าไปช่วยเอง แต่ไม่ใช่ตอนนี้” กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าน่องขาเรียวเริ่มปวดตุบขึ้นมา ได้แต่หย่อนตัวนั่งลงช้าๆ บีบน่องขาอย่างแผ่วเบา เบื้องหน้าก็เริ่มรู้สึกว่าตาลายอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน
ผู้ส่งจดหมายจากไปโดยไม่มีสุ้มเสียง พลทหารเหล่านั้นครุ่นคิดสักพัก ต่างก็หลับตาลงหมายจะนอนหลับอย่างว่าง่าย ภายในป่ายังคงเงียบกริบทั่วทั้งผืน
กุ่ยเม่ยเดินออกมาจากโพรงถ้ำ มองเห็นว่าบนมือของกู้อ้าวเวยยังมีสมุนไพรและเลือดสดอยู่บางส่วน จึงเดินตรงดิ่งเข้าไปอุ้มนางไปที่ริมแม่น้ำ พลางล้างมือของนางจนสะอาดสะอ้าน “กลิ่นคาวเลือดตรงนี้ยังคงอบอวลอยู่”
“ค่อยยังชั่ว ขอเพียงไม่คิดเกี่ยวกับเจ้าหนูน้อยในท้องก็พอ” กู้อ้าวเวยปริปากอย่างเกียจคร้าน มองเห็นว่ามีคนออกมาจากบริเวณไม่ไกลมากนัก ครั้งนี้ กลับแตกต่างออกไป
นี่คือบุคคลเดียวซึ่งลากเชือกออกมา คนผู้นั้นสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บนหน้าเปี่ยมด้วยแววปลื้มปีติ “พวกเราพบทางแล้ว พวกเขากำลังคิดหาวิธีเข้าไปอยู่ขอรับ!”
ดวงตาของกู้อ้าวเวยทอประกายเล็กน้อย เหล่าทหารข้างกายต่างเบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงเบา ดูเหมือนว่าการบุกเข้าไปในนั้นจะยังพอมีความหวังอยู่!