บทที่ 638 ประโยชน์แห่งต้นน้ำ
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทท่านนั้นกับฮูหยินดูคล้ายจะไม่ทราบเรื่องที่พระองค์หญิงตั้งครรภ์นะขอรับ”
เฉิงซานเอ่ยปากอย่างกะทันหัน และขณะเดียวกันนั้นก็ยื่นดาบยาวซึ่งเช็ดสะอาดแล้วกลับไปไว้ข้างกายของซ่านจินจื๋อตามเดิม
“หากนางไม่อยากให้บิดามารดากังวลใจ ข้าคนนี้ก็คงไม่ต้องจุ้นมาก” ซ่านจินจื๋อกล่าวเช่นนี้ กำดาบยาวเล่มนั้นและชั่งน้ำหนักวัดตวงดูสักเที่ยว แววตาพลันคมกริบขึ้นมา “เรื่องราวต่างๆ ในเมืองเทียนเหยียนยังเตรียมพร้อมไม่เหมาะควร แต่ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่?”
“ใต้เท้าเมิ่งซู่ดูเหมือนจะถูกคนบีบขับไล่ ยากจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ องค์ชายสี่เพิ่งจะไปพบเสียนเฟยที่อารามไป๋หม่า ส่วนองค์ชายหกเหมือนว่าจะตัวลำพังไร้ผู้สนับสนุน ฮ่องเต้ยังไม่ทันดื่มยาถอนพิษ ส่วนกุ้ยมามาข้างกายไทเฮาแหล่งที่อยู่ก็ไม่ชัดเจน” เฉิงซานกดเสียงต่ำ ความเย็นชาบนใบหน้ามีร่องรอยการแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ
หากไม่ใช่เพราะกู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อคงไม่ต้องจากมาอย่างชุลมุนเช่นนี้แน่
และในเวลานี้ ซ่านต้วนเฟิงกับคนของฮองเฮากระทั่งใจกล้าบ้าดีเดือดถึงขั้นอาจหาญลอบสังหารซ่านจินจื๋อให้ตายภายในอาณาเขตชางหลาน ไม่สนขื่อแปซ้ำยังไม่กลัวเรื่องจะแดงขึ้นอีก เหมือนมั่นใจเต็มประดาว่าฮ่องเต้จะถูกยาพิษคร่าชีวิตลงจริงๆ
หรือไม่ก็ มีแผนอื่นอีก
หลายวันมานี้ซ่านจินจื๋อทนทุกข์ไม่น้อย และการจากไปของเขา รังแต่จะทำให้ฮองเฮากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในเมืองเทียนเหยียนมากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่คิดไปต่างๆ นานา แสงไฟสว่างจ้าพลันปรากฏอยู่ท่ามกลางป่าลึก ทหารองครักษ์เตรียมป้องกัน แต่ผู้ที่ปรากฏกายนั้นดูคุ้นเคยยิ่งนัก ด้านหลังยังมีคนขบวนหนึ่งตามมาด้วย บนใบหน้าผู้มาเยือนเจือรอยยิ้มบางๆ ปลดงอบที่บดบังครึ่งซีกของใบหน้าลง “องค์ชายสี่พูดไว้ไม่มีผิด ข้าจะรุดหน้ามาหาท่านพบก่อนที่ท่านจะไปชายแดน”
ผู้มาเยือนคือฉีหรัวที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่ชายแดนเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง
“เจ้าไม่ได้ตามหยวนเอ๋อไปอารามไป๋หม่าหรอกหรือ? ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาคือ…” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว โบกมือส่งสัญญาณให้คนข้างกายไม่จำเป็นต้องตื่นตัว แต่ถึงจะพูดคุยกับฉีหรัว สายตากลับมองไปที่หยินเชี่ยวซึ่งอยู่ด้านหลังของนาง…นั่นก็เป็นคนที่กู้อ้าวเวยให้ความสำคัญเช่นกัน
“เป็นนางรำที่ละม้ายคล้ายคลึงกับข้านางหนึ่ง” ฉีหรัวเดินก้าวไปด้านหน้า นำฉีหลินหยินเชี่ยวมาทำความเคารพพร้อมกัน จากนั้นจึงเอ่ยต่อไป “องค์ชายสี่ว่า มอบทุกอย่างให้เขาได้เลย เขาจะดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อย อ๋องจิ้งเพียงแค่ใจจดใจจ่อหากู้อ้าวเวยให้พบก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว “อีกอย่าง เจ้ารู้เรื่องของเวยเอ๋อมากเท่าไรกันแน่”
“ข้ารู้ทุกอย่าง แต่พูดไม่ได้เจ้าค่ะ” ฉีหรัวทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง สายตามองไปทางหยินเชี่ยวและฉีหลินที่อยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว กระทั่งส่ายหน้าเบาๆ
ดูเหมือนว่ากู้อ้าวเวยจะบอกเรื่องพวกนี้เฉพาะกับคนที่เชื่อถือได้เท่านั้น
ฉีหลินก็ไม่รู้ว่าพวกนางพูดอะไรกันบ้าง เพียงแต่พาหยินเชี่ยวไปเตรียมตัวพักผ่อนที่ด้านข้างเท่านั้น คราวนี้ฉีหรัวจึงเดินไปยังข้างกายของซ่านจินจื๋อ “นางไม่เพียงมีแค่ความลับเรื่องตั้งครรภ์เรื่องเดียวนี้นะเจ้าคะ มากกว่านี้ คงได้แต่ให้นางเป็นคนบอกท่านเองกับปาก”
“เจ้ามาเพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ” ซ่านจินจื๋อทำสัญญาณมือกับเฉิงซาน ให้คนรอบกายทั้งหมดออกไปก่อนชั่วคราว
“ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังนำข่าวสารไม่น้อยมาด้วย” ฉีหรัวล้วงม้วนกระดาษบางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ความหนาเพียงแค่นิ้วก้อยเท่านั้นเอง ก่อนจะเอ่ยต่อไป “ในตอนแรกน้ำใต้ดินที่ชายแดนถูกวางพิษ กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับภูมิพยากรณ์ที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนเหลือทิ้งไว้ให้”
ซ่านจินจื๋อย่อมเคยเห็นศิลาจารึกแห่งภูมิพยากรณ์แท่นนั้นอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่เข้าใจ “เจ้าไปรู้มาจากไหน”
“ตอนที่หยุนหว่านฮูหยินจากไปก็ได้สารภาพเรื่องนี้กับคนในตำบลเหยสุ่ย ตอนนี้พวกเขาค้นพบคำตอบแล้ว แต่ติดที่คำสั่งที่กู้อ้าวเวยให้พวกเขาเฝ้าระวังจึงไร้หนทางก้าวล้ำแม้เพียงครึ่งก้าว ได้เพียงยืมมือของข้าบรรลุเป้าเท่านั้น เดิมควรจะบอกกู้อ้าวเวยเป็นอันดับแรกสุด แต่ตอนนี้ข้าจนหนทางไปที่ชายแดน” ว่ากันตามจริงแล้ว นางยังไม่ใช่พระชายาองค์ชายสี่ การไปมาหาสู่ก็ยังไม่ใคร่สะดวกเป็นธรรมดา
แม้แต่ฉีหลินกับหยินเชี่ยว ก็เป็นคนที่นางเรียกมาล่วงหน้า อย่างไรเสียเอ่อตานก็ยังต่างที่ต่างถิ่นอยู่วันยังค่ำ
“เอ่อตานกับเจียงเยี่ยนยึดครองฝั่งเดียว แต่ชางหลานพื้นที่กว้างใหญ่ อยู่อีกด้านหนึ่ง ระหว่างสามแคว้นเสมือนว่ามักจะมีหุบเหวลึกเสมอ ระหว่างนี้ไม่มีใครสามารถสร้างคูเมืองหรือหมู่บ้านขนาดใหญ่ได้ และเพียงเพราะมีน้ำใต้ดินไหลเวียนอยู่บริเวณนั้น จึงยากต่อการสร้างกำแพงเมืองน้ำหนักมากลงไปได้ และน้ำใต้ดินนี้กับแม่น้ำสายหลักถือว่ามีรากเหง้าเดียวกัน ปีนั้นบรรพบุรุษตระกูลหยุนร้องขอให้สามแคว้นบุกเบิกสองฝั่งแม่น้ำสายหลัก และถือจุดนี้เป็นเส้นเลือดใหญ่แห่งชีวิต เพราะสาเหตุเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ” ฉีหรัวกล่าวอย่างเรียบง่าย ส่วนในม้วนตำรานั้นเป็นทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินในปีนั้น รวมถึงสถานที่หลายจุดที่มีทั้งฮวงจุ้ยดีกับฮวงจุ้ยเลวร้าย
แต่ไรมาซ่านจินจื๋อไม่ได้คิดมากเท่าใดนัก มัวแต่กรำศึกที่ชายแดนเพื่อชางหลานจนถึงป่านนี้ไม่ยอมรุดหน้าไปไหน ตรงกลางนั้นคล้ายกับจะไม่มีใครย่างกรายไปเหยียบจริงๆ หาไม่ใช่ทะเลทรายรกร้างก็ต้องไม่มีแม้แต่ยอดหญ้าผุดขึ้นเป็นแน่ แต่สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายคือ ยังไม่เคยมีใครสร้างคูเมืองอยู่ที่จุดนี้จริงๆ ด้วย
ซ่านจินจื๋อพลิกอ่านอย่างละเอียด ก่อนเอ่ยถาม “แล้วอีกเรื่องเล่า?”
“กู้อ้าวเวยค้นพบทิศทางไหลของน้ำใต้ดิน และยังกล่าวถึงเรื่องของฮ่องเต้ทรราชที่พยายามอยู่เป็นอมตะในปีนั้น” ฉีหรัวเอ่ยถึงตรงนี้แล้วยังคงมืดแปดด้าน “เรื่องที่แปลกประหลาดมากที่สุดคือ ด่านลั่วสุ่ยเป็นฮวงจุ้ยล้ำค่า ปีนั้นสถานที่ตำหนักเทพที่ฮ่องเต้ทรราชคนนั้นก่อร่างสร้างฐานขึ้นก็เป็นฮวงจุ้ยล้ำค่าเช่นเดียวกัน อิงจากแผนที่น้ำใต้ดินโบราณ ทางไหลของน้ำใต้ดินพวกนี้ยิ่งดูเหมือนสร้างขึ้นโดยคนสมัยก่อน ซ้ำยังไหลผ่านด่านลั่วสุ่ยและตำหนักเทพแห่งนั้นอีกด้วย”
ไหลผ่านฮวงจุ้ยล้ำค่าสองแห่งที่บรรพบุรุษเหลือทิ้งไว้…
ซ่านจินจื๋อหยัดกายลุกขึ้น ก่อนเรียกเฉิงซานเข้ามา “ปีนั้นด่านลั่วสุ่ยมีลักษณะอย่างไร”
“ข้าน้อยจำปีแน่ชัดไม่ได้ แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ช่วยพระองค์หญิงท่านนั้นค้นหาจารึกโบราณ จึงได้รู้มา ก่อนหน้านี้ด่านลั่วสุ่ยเดิมน่าจะมีน้ำอยู่ แต่ผ่านช่วงเวลาเป็นร้อยๆ ปี น้ำในนั้นก็เหือดแห้งไปสนิท คงไว้เพียงหน้าผาสูงชันดังเช่นปัจจุบันขอรับ” เฉิงซานย้อนคิดอย่างถี่ถ้วน
ซ่านจินจื๋อกวาดสำรวจม้วนตำราในมือโดยละเอียด ก่อนหัวเราะหยันออกมา “นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีจักรพรรดิกี่พระองค์กันแน่ที่พยายามสุดความสามารถเพื่อความเป็นอมตะ ปีนั้นด่านลั่วสุ่ยก็เป็นดินแดนแห่งแคว้นอื่น หากแผนที่โบราณนี้ไม่ผิดพลาด สิ่งที่ฮ่องเต้ทรราชเอ่อตานในปีนั้นต้องการก็คือความเป็นอมตะโดยอาศัยชีวิตคนและฮวงจุ้ยล้ำค่าพวกนี้”
“ท่านอ๋องหมายความว่า น้ำใต้ดินในปีนั้นไม่ได้ทำเพื่อร่องน้ำ…”
“ถึงร่องน้ำจะเป็นหนึ่งในเป้าหมาย แต่ถ้าหากอาศัยน้ำใต้ดินนี้เคลื่อนย้ายซากศพได้ เลือดของคนจำนวนมากจะไหลรวมตัวอยู่ในนั้น และไหลลงใต้ตำหนักเทพ…ปีนั้นว่ากันว่าต้องการเพียงหนึ่งแสนคนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง คนที่ตายไปนั้นกลัวแต่ไม่ใช่จำนวนนี้ และก็เพราะเหตุนี้ ราชวงศ์เอ่อตานถึงได้เปลี่ยนแซ่และราชสำนัก และต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจำนวนคนจะดาษดื่นเหมือนตอนนี้ กระทั่งหลายสิบปีก่อนยังจำเป็นต้องส่งฝ่าบาทองค์ปัจจุบันมาเป็นตัวประกันเลย” ซ่านจินจื๋อถึงจะไม่เคยอ่านหนังสือโบราณพวกนี้ แต่กลับจำเหตุการณ์และกลยุทธ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ได้เรื่อยมา
ฉีหรัวอุดปากด้วยความตื่นตระหนก รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไม่หยุด
เฉิงซานก็ตื่นตะลึงเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจเสียมากกว่า “แต่ต่อให้รู้ว่าฮ่องเต้ทรราชปีนั้นคิดทำเรื่องเช่นนี้ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับตอนนี้อย่าง…”
“สิ่งที่กู้เฉิงอยากได้ ไม่ใช่หยุนหว่านกับกู้อ้าวเวย แต่เป็นวิถีแห่งอมตะอย่างแท้จริงในมือข้าเล่มนี้ต่างหาก” ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้น้อยๆ “บางทีตระกูลหยุนอาจจะครอบครองวิถีแห่งอมตะ เพียงแต่หยุนหว่านฮูหยินรวมถึงบรรพบุรุษตระกูลหยุนต่างไม่ได้ทะลายความจริงข้อนี้ก็เท่านั้น”
นับตั้งแต่แรก พวกนางไม่รู้ถึงความหมายแฝงที่แท้จริงของอักษรบนศิลาจารึกนั้นเลยด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้เขารู้แล้ว กู้อ้าวเวยจะรู้หรือไม่กันนะ?