บทที่ 662 สารภาพอย่างโล่งอก
คุกใต้ดินในค่ายทหารเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
สถานที่ที่แต่เดิมควรเป็นที่กักขังเชลยศึกและสอบปากคำทหารกบฏ ในเวลานี้กลับมีเพียงคนเดียวที่ถูกขัง
ในคุกใต้ดินอันมืดสลัวนี้ ซ่านเซิ่งหานในชุดสีขาวผ่องนั่งอยู่ใต้แสงเทียนเพียงลำพัง รอบด้านเหลือเพียงแต่ความมืดสนิทอันว่างเปล่า
เดิมเขาก็ควรจะเดียวดายไร้การช่วยเหลือ
แต่มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยมาจากขั้นบันได สตรีในอาภรณ์สีแดงสดเดินนวยนาดเข้ามาจากหน้าประตูโดยไม่มีผู้ใดขัดขวางเลยระหว่างทาง มือข้างหนึ่งประคองกล่องอาหารที่ห้อยไว้บนข้อมือ ก้าวล้ำความมืดมิดอันแสนสงัดนี้เข้ามาอย่างเคารพนบนอบ จนกระทั่งหยุดอยู่นอกกรงขังของซ่านเซิ่งหาน จึงก้มหน้าลงอย่างเจียมตัว คุกเข่าลงกับพื้น แล้วยื่นอาหารรสชาติโอชะในกล่องมาให้โดยผ่านราวลูกกรง
ดวงหน้าหมดจดอรชรดวงนั้นของเฟิงเยว่ไม่เจือแววตื่นตระหนกและกังวลใจเลยสักเสี้ยว “พระองค์ท่านนั้นไม่ได้ตกปากรับคำจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
ซ่านเซิ่งหานนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้านวมอับชื้น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ใช้เวลาสักพักเพื่อปรับสภาพกัลป์ลำแสงเดียวในที่นี้ คราวนี้จึงยื่นมือออกไปหยิบชามตะเกียบขึ้นมา กินเข้าไปเพียงไม่กี่คำ ก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “ดูเหมือนว่านางจะไม่มีความรู้สึกต่อข้าสักเสี้ยวเลยสินะ”
“ทุกเรื่องที่พระองค์ผู้นั้นกระทำไปล้วนทะเยอทะยานใหญ่หลวง หากซ่านจินจื๋อไม่สามารถเป็นกษัตริย์ วันหน้านางก็ไม่ต้องอุทิศตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวท่านเองเพียงแค่หวังให้นางเคียงข้างไประยะหนึ่งเท่านั้น ทำไมจะไม่ได้กันเล่า” เฟิงเยว่ก้มหน้างุด วางกล่องอาหารที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยไว้ข้างมือ รอคอยซ่านเซิ่งหานรับประทานอาหารจนหมดอย่างเคารพ
“หากวันหน้าใช้ไม้อ่อนดัดไม้แข็งไม่ได้ ก็คงต้องลงมืออย่างแข็งแกร่งขึ้นก่อนเท่านั้นแล้ว” ซ่านเซิ่งหานลิ้มรสอาหารโอชะเบื้องหน้าอย่างละเมียด น้ำเสียงเรียบเฉย “ฮองเฮาตายหรือยัง?”
“ได้ส่งคนไปลอบสังหารแล้ว ไม่กี่วันก็จะถึงเทียนเหยียน และทำภารกิจสำเร็จ” กำปั้นของเฟิงเยว่กระแทกลงกับพื้น น้ำเสียงนุ่มนวลเพิ่มความยะเยือกขึ้นหลายขนัด “เพียงแต่ซ่านต้วนเฟิงลอบส่งคนไปล้อมตำหนักของพระองค์แล้ว ดูเหมือนคิดจะหาพระองค์หญิงท่านนั้น สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด”
ชะงักการเคลื่อนไหวชั่วคราว ดวงหน้าคงแก่เรียนของซ่านเซิ่งหานผุดแววเยียบเย็นออกมาหลายเท่านัก
“เยว่ชิงย่อมจัดการด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว เจ้าให้คนไปลองสืบข่าวของทางฝั่งกู้อ้าวเวยก่อน ครั้นมีโอกาส ก็พานางออกมาด้วยเลย” ท้ายที่สุดซ่านเซิ่งหานก็ทานอาหารไม่หมด ก่อนวางชามตะเกียบลงด้วยสภาพจิตใจไม่สงบนิ่ง “ถึงข้าจะทนให้นางคลอดเลือดเนื้อเชื้อไขของคนอื่น แต่กลับไม่อาจทนเห็นนางเอาแต่อยู่กับซ่านจินจื๋อได้…ข้าฝืนทนกับการแสดงหลายปีมานี้พอแล้ว…”
เฟิงเยว่แทบรอไม่ไหวที่จะเอาหน้ามุดดิน “ข้าน้อยจะไปจัดการเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจ” ใบหน้าของซ่านเซิ่งหานเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนในยามปกติอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไปว่า “หากไม่ใช่ฮองเฮามุ่งมาทางข้า ข้าก็ไม่รู้เลยว่าฮองเฮาเป็นคนของซ่านจินจื๋อ ตอนนี้นางคิดจะยืมมือของซ่านต้วนเฟิงกำจัดข้า แล้วค่อยลอบกำจัดซ่านต้วนเฟิงในที่ลับอีกทีหนึ่ง สนับสนุนซ่านจินจื๋อขึ้นครองบัลลังก์ ข้าย่อมปล่อยนางไว้ไม่ได้แน่”
“คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะเป็นคนของซ่านจินจื๋อไปได้ เพียงแต่ข้าน้อยใคร่รู้จริงๆ เหตุใดท่านถึงแน่ใจเช่นนี้?”
“เพราะว่าฮองเฮาไม่เคยสนับสนุนซ่านต้วนเฟิงอย่างแท้จริงเลย แต่แทบจะรอให้เขารีบตายไวๆ ไม่ไหวต่างหาก” ซ่านเซิ่งหานหลับตาลงอีกครั้ง “ความทะเยอทะยานของซ่านต้วนเฟิงมีมากเกินไป เสด็จพ่อและซ่านจินจื๋อต่างทนเขาไม่ไหว ฮองเฮาแค่ทำไปเพื่อรักษาตำแหน่งของตนให้มั่นคงถึงได้ช่วยเหลือก็เท่านั้น กระทั่งไม่ลังเลที่จะดึงคนของบ้านมารดาตัวเองมามัวหมองด้วย”
เพียงแต่ ซ่านจินจื๋อปิดไว้ได้นานขนาดนี้ กลับเป็นซ่านเซิ่งหานเองที่อดพรั่นพรึงไม่อยู่
แต่ขอเพียงกู้อ้าวเวยไม่อยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อ เขาก็จะสามารถแข่งขันกับเขาได้อย่างยุติธรรม
บางครั้งก็กู้อ้าวเวยก็เฉียบแหลมมากเกินไป
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างในคุกใต้ดินล้วนหวนสู่ความเงียบสงัด ส่วนทหารยามที่อยู่หน้าประตูกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นเฟิงเยว่มาก่อน ทำเพียงมองดูสตรีในอาภรณ์แดงสดคนนี้ถูกซ่านต้วนเฟิงคว้าตัวออกจากเมืองชายแดนโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ ทั้งสิ้น
ใครเป็นผู้ควบคุมใครกันแน่ แล้วใครจะรู้ได้กันเล่า?
……
ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น นอกหน้าต่างเหลือเพียงดาราพร่างฟ้าทั้งผืนตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงขอบเตียงกลับนั่งอย่างเรียบร้อย แผ่นหลังที่ยามปกติเหยียดตรงนั้นโค้งงอลงเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
หัวสมองอันแจ่มชัดของกู้อ้าวเวยดูคล้ายจะคาดการณ์ได้ถึงน้ำคำของซ่านจินจื๋อ อาจจะไม่ให้นางทนทุกข์ทรมานเพื่อจะรักษาเด็กคนนี้เอาไว้ แต่ติดที่สภาพจิตใจของนางจึงไม่อยากปริปาก ก่อนยกมือขึ้นมา ทาบลงบนแผ่นหลังของเขา “ดึกแล้วนะ ทำไมยังไม่นอนอีก?”
“เจ้า…”
“จากนี้ข้าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว จะคลอดลูกอยู่ที่นี่ เป็นอย่างไรบ้าง?” กู้อ้าวเวยยืนเรียวแขนที่เจ็บเปลี้ยพลางตะกายขึ้นมา ซ่านจินจื๋อรีบเอื้อมมือออกมาเกือบจะพยุงนางให้นั่งตรงขอบเตียงด้วยท่ากอดครึ่งตัว
“แค่ชิงจือเหงาที่ต้องอยู่คนเดียว ปีหน้าพวกเรากลับไปฉลองปีใหม่เป็นเพื่อนเขาดีหรือไม่” กู้อ้าวเวยโน้มตัวไป คว้าลำแขนของซ่านจินจื๋อเอาไว้ก่อนที่เขาจะเอ่ยถ้อยคำใดๆ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวาววับ “ข้าหวังไว้เช่นนี้”
ซ่านจินจื๋อไหนเลยจะมีเหตุผลในการปฏิเสธได้อีก
อ้ายจือเคยบอกว่าร่างกายของนางฟื้นตัวได้ดีมาก หลังจากให้กำเนิดบุตรอย่างปลอดภัยแล้วก็สามารถใช้ของอื่นๆ มาถอนพิษได้
“คืนนี้ข้าอยู่ต่อได้หรือไม่” ซ่านจินจื๋อโอบไหล่ของนางเอาไว้ แล้วลูบวนเบาๆ ที่ข้างหูของกู้อ้าวเวย
“ไม่ค่อยจะได้” กู้อ้าวเวยผลักศีรษะของเขาออกพลางยิ้มบางๆ “ข้านอนหลับอย่างเต็มที่เพียงลำพัง อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าก็ไม่ต้องตรากตรำขนาดนั้นแล้ว”
“ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ” ซ่านจินจื๋อปั้นหน้าครึม ดวงตาคู่นั้นยังฉายแววกังวลอยู่หลายขนัด
กู้อ้าวเวยกลับจับพลัดจับผลูโน้มตัวเข้าไป จุมพิตบนเรียวปากของเขา ก่อนเอ่ยหนึ่งประโยคที่แฝงความหมายกำกวม “ทั้งที่ข้ารักท่านมากแท้ๆ…”
กลีบปากนุ่มแนบประสานเข้าด้วยกัน ถ้อยประโยคพลันอู้อี้ไม่ชัดเจน
เสียงจักจั่นครวญยังไม่ปรากฏ ฤดูร้อนระอุแผดเผายังไม่ทันตกกระทบบนผิวกายของซ่านจินจื๋อ ข้างหูกลับเป็นเสียงกระซิบพึมพำแห่งยามวสันต์ที่สรรพสิ่งงอกงาม เบื้องหน้าเป็นแพขนตางอนยาวไหวระริกของกู้อ้าวเวย แล้วไหนจะนัยน์ตาปริบปรือคู่นั้นที่แฝงความเสน่หาอย่างที่ซ่านจินจื๋อไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายนิ้วของนางโอบอยู่หลังลำคอของเขา ลากถูกระดูกที่นูนโค้งขึ้นมาเล็กน้อยทำให้เกิดความสั่นไหวขึ้นมา
ลูกของพวกเขาจะถือกำเนิดในช่วงหน้าร้อนมาเยือน เสียงร้องไห้ของทารกจะปกคลุมเสียงร้องของจักจั่นพวกนั้น แต่จะต้อนรับแสงนภาอันร้อนระอุ เฉกเดียวกับอุณหภูมิในทรวงอกของทั้งสองคน
แขนเสื้อที่ไม่ถือว่ากว้างเท่าใดนักถูกกู้อ้าวเวยลอบคลำเข้าไป บีบชิ้นเนื้อที่อยู่ส่วนนั้นขึ้นมาเบาๆ แล้วบิดมันเบาๆ หนึ่งที “เมื่อกี้เจ็บกว่าการหยิกนี่หลายพันเท่า”
ซ่านจินจื๋อส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากลำคอหลายที พยุงแขนของนางเอาไว้ “ขอเพียงเจ้าปลอดภัย ข้ารับปากเจ้าได้ทุกอย่างเลย”
“รวมถึงให้ข้านอนคนเดียวคืนนี้ด้วย ท่านก็ไม่ขัดข้องเลย?” กู้อ้าวเวยผละออกจากเขาเล็กน้อย ชักมือกลับมาเช็ดริมฝีปาก พลางหัวเราะเบาๆ
“ข้าให้คนย้ายเตียงหลังหนึ่งมาอีกก็ได้ เจ้าต้องให้ข้าคอยดูเจ้า” ซ่านจินจื๋อประคองนางนอนลงอีกครั้ง คล้ายกับขอเพียงแตะต้องมือที่ไร้เรี่ยวแรงของนางก็จะรู้ว่าตอนนี้นางอ่อนแอมากเพียงใด
กู้อ้าวเวยก็คร้านจะโต้เถียงกับเขาต่อไปแล้วจริงๆ จึงนอนลงอย่างเกียจคร้าน “เช่นนั้นท่านต่างจากกุ่ยเม่ยตรงไหนกัน”
“หลังจากเจ้าผล็อยหลับไปแล้ว เขาไม่อาจหยาบคายกับเจ้าได้อย่างไรเล่า” ซ่านจินจื๋อโน้มกายลงมา บีบปลายคางของนางเบาๆ แล้วพรมจูบดั่งแมลงปอล้อผิวน้ำลงไปอีกครั้ง
กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ “นอนเถิด ข้าอนุญาตให้ท่านย้ายเตียงเข้ามาอีกหลังได้”
“ขอรับ ฮูหยิน” ซ่านจินจื๋อจุมพิตที่ปลายนิ้วของนางอีก
กลับถูกกู้อ้าวเวยตบเพียะอย่างไร้ความปรานี “เรียกข้าว่าคุณหนู ข้ายังไม่ได้แต่งกับท่านเสียหน่อย”
เวยเอ๋อช่างเหมือนกับคุณหนูสะคราญโฉมที่เขาไร้วาสนาเสียจริงๆ ซ่านจินจื๋อคิดไปพลาง ลูบหลังมือที่ถูกตบจนเจ็บเบาๆ จากไปอย่างฮึดฮัด หลับสนิททั้งคืน ทว่าหมู่ดาราที่อยู่นอกหน้าต่างกลับถูกปกคลุมด้วยพยับเมฆไปแล้ว