บทที่ 664 กู่เซิงต้องสงสัย
ทั้งสองเมืองของแคว้นซินถูกโจมตี กู้เฉิงกลับหน้าไม่เคยเปลี่ยนสีเลย
ไผ่เขียวสีสันสดใสใต้ปลายพู่กัน ตวัดจบเส้นสุดท้าย กู้เฉิงจึงเงยหน้าขึ้นมาเนิบนาบ ก่อนวางพู่กันลงในที่สุด
“ถึงสองเมืองนี้จะไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ด้วยความเร็วเช่นนี้ ไม่ต่างจากให้ผู้คนเกล้าก้มประนมกราบเลยสักนิด”
กู้เฉิงเดินอ้อมโต๊ะ แล้วยืนเอามือไพล่หลัง
กู่เซิงและลูกชายหลายคนที่อยู่ด้านข้างต่างพากันมุ่นคิ้ว กลับไม่ได้เอ่ยคำสักแอะ คล้ายกับว่าไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
กู้เฉิงในตอนนี้ไม่ใช่เฉิงเสี้ยงในปีนั้นอีกต่อไป ตอนนี้สลัดภาพเสแสร้งแล้ว กลับกันยิ่งทำให้คนผู้คนเข้าใจยากขึ้นกว่าเดิม กู่เซิงไม่คิดจะออกหน้ารับแทนพี่น้อง แต่กลับได้ยินกู้เฉิงปริปากอีกครั้ง “กู่เซิง ข้ากลับได้ยินมาว่าจี้เหยาหายตัวไปแล้ว?”
เขาเข้าใจกู้เฉิงไม่ได้สนใจลูกสาวหลายคนเหล่านี้แล้วเสียอีก
กู่เซิงหยัดกายขึ้นมา “หายไปราวๆ หลายวันก่อน ผู้ติดตามและสาวใช้ข้างกายต่างพูดว่า จี้เหยาทะเลาะกับพี่สาวพี่ชายหลายคน คราวนี้ถึงได้จากไปอย่างฟัดเฟียด โดยเหลือไว้เพียงจดหมายหนึ่งฉบับก่อนหายตัวไป”
“หลายวันก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะเป็นช่วงที่ทางฝั่งเย่นเจียงออกจดหมายปิดผนึกพอดี” ดวงตาของกู้เฉิงกรุ่นด้วยความมืดหม่น กู่เซิงจึงรีบกล่าว “ลูกจะส่งคนไปจับนางกลับมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เอาเถิดเอาเถิด ก็แค่สตีนางหนึ่ง คงเป็นพิษภัยอะไรไม่ได้หรอก” เวลานี้กู้เฉิงกลับโบกมืออย่างเกียจคร้าน ก่อนหมุนกายไป ดวงตาสองข้างมองสำรวจลูกชายหลายคนที่อยู่ที่นี่ด้วย ในที่สุดกลับโปรยสายตามามองที่ตัวของกู่เซิงเพียงคนเดียว
ถึงแม้เขาจะทิ้งลูกชายลูกสาวไว้ไม่น้อย แม้ว่าจะมอบเงินทองและคฤหาสาน์ให้พวกเขาต่างกัน ทว่าแต่ละคนกลับไร้ซึ่งประโยชน์ คนเดียวที่ได้ดั่งใจเขาก็มีแต่กู่เซิงลูกชายคนนี้เท่านั้น
ทว่าหากยิ่งใหญ่เพียงคนเดียว กลับจะไม่มีข้อดีอะไรเลย
“เจ้าว่ามาสิ กู้จี้เหยาคนนี้ใช่คนทรยศหรือไม่กันแน่” กู้เฉิงชี้นิ้วแบบสุ่มๆ ไปที่ลูกชายคนหนึ่ง
ลูกชายคนนั้นหยัดตัวลุกขึ้นยืนและเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่เขาพูดมาในเรียวปากนั้นกลับอึกๆ อักๆ ไม่มีประโยชน์อะไร
ตัดบทลูกชายอย่างหงุดหงิด กู้เฉิงถามอีก “กู่เซิง เจ้าลองว่ามาสิ ซ่านต้วนเฟิงไม่มีฮองเฮาคอยช่วยแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังอยากให้พวกเราเคลื่อนทัพออกศึกอีก ทัพนี้ ควรเคลื่อนออกไปหรือไม่กันแน่”
“ลูกคิดว่าไม่ต้องเคลื่อนทัพ” กู่เซิงหย่อนตัวนั่งลงอีกครั้ง “เป็นเช่นนี้แล้ว สถานการณ์ถูกทำลาย พวกเราควรพักผ่อนเอาแรงก่อน รอจังหวะที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องส่งกองกำลังไปช่วยองค์ชายที่อาจจะสูญเสียอำนาจก่อนศึกสงคราม เช่นนี้ก็ไม่ต่างกับเราเปิดโปงอยู่ใต้กรงเล็บของเจียงเยี่ยนและเย่นเจียงเลย”
“ถ้อยคำมีเหตุผล เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าพูด อำนาจเบ็ดเสร็จเรื่องนี้มอบให้เจ้าจัดการ” กู้เฉิงขยิบตาให้กู่เซิงก่อนเดินออกไป
กู้เฉิงเริ่มสงสัยเขาแล้ว
ทว่าเวลานี้หากเผยพิรุธออกมาปุบปับ กู่เซิงเกรงว่าแม้แต่คูเมืองแห่งนี้ก็จะออกไปไม่ได้ ในใจหวังเพียงว่ากู้จี้เหยาจะสามารถนำสิ่งของที่เขาต้องการกลับมาได้
……
ฝนตกปรอยๆ เป็นสิ่งที่กู้อ้าวเวยซึ่งมีท้องโย้ในตอนนี้ชอบมากที่สุด จะได้สอนเด็กๆ ร่ำเรียนหนังสือในห้องเรียนเล็กๆ แห่งนี้ เด็กน้อยตัวอ้วนนุ่มนิ่มหลายคนร้องตะโกนให้คนในบ้านมาอวยพรต่ออาจารย์สักหน่อย ตอนนี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน กันพื้นที่ครึ่งส่วนให้คนงานเหล่านั้นเข้ามาเขียนหนังสือด้วย
ช่วงเวลาศึกษาร่ำเรียนได้ผ่านไปแล้ว เหล่าเด็กน้อยหลายคนต่างพากันนั่งเล่นถักเชือกอยู่ด้านข้าง
หลังจากที่เมื่อวานกู้อ้าวเวยเสนอความคิดเห็น ซ่านจินจื๋อก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ จนวันนี้ก็มีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่ไปมาหาสู่ คืนวานนางคว้าตัวอ้ายจือมาอยู่เป็นเพื่อน ตนไม่ค่อยได้นอนเท่าไร เอาแต่ทะเลาะกับอ้ายจือทั้งคืน วันนี้แม้แต่อ้ายจือก็สาบานว่าจะตายอยู่ในห้องยาหลังเรือนไม่ยอมออกมา
สาวใช้ข้างกายยื่นเสื้อนอกตัวหนามาให้ “ฮู…”
“เรียกว่าคุณหนู” กู้อ้าวเวยรีบกระแอมไอหนึ่งที เอื้อมมือไปหยิบเสื้อนอกเข้ามาพาดบนไหล่ พลางเหลือบมองนาง “ข้าเห็นเจ้าตามข้ามาครึ่งค่อนวันแล้ว เปลี่ยนคนมาแทนแล้วไปกินข้าวสักหน่อยเถิด”
สาวใช้ตัวน้อยยิ้มตาหยีแล้ววิ่งหายไปไม่เหลือเงาทันที คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงจับเด็กตัวน้อยที่ถักเปียสองคนที่อยู่ข้างกายเอาไว้ทันที “เหล่าสาวน้อย ช่วยอาจารย์สักอย่างสิ ได้หรือไม่?”
เด็กสาวสองคนรีบประชิดเข้ามา ฟังกู้อ้าวเวยกล่าวจบแล้วต่างพยักหน้าหัวเราะ ก่อนนำจดหมายที่กู้อ้าวเวยเขียนเสร็จแล้วเดินตามเฉลียงยาวไปให้ที่หน้าประตูห้องหนังสือของซ่านจินจื๋อ ถูกองครักษ์สองนายขวางไว้เสียก่อน “สาวน้อย ที่นี่จะเข้าไปตามอำเภอใจไม่ได้นะ”
“เช่นนั้นช่วยพวกเรานำจดหมายฉบับนี้ไปให้เขาได้หรือไม่ เป็นบัญชาของอาจารย์” สาวน้อยหยิบจดหมายก่อนหน้านี้ออกมา
องครักษ์สองคนสบสายตากัน ไตร่ตรองตื้นลึกหนาบางสักพัก ดูคล้ายท่านอ๋องจะไม่เคยบอกว่าไม่อยากพบฮูหยินนี่นา
ก่อนรับจดหมายจากเด็กสาวสองคนนี้เข้ามา เพิ่งผลักประตูออก สองสาวก็พุ่งศีรษะเข้าไปด้านในเรียบร้อยแล้ว เหล่าองครักษ์เหลือบมองร่างน้อยๆ ที่วิ่งพรวดผ่านช่วงขาไป ถึงขนาดจับไม่แต่เลยสักคน เด็กสาวสองคนนี้ขนาบซ้ายขวาของซ่านจินจื๋อเอาไว้ คนหนึ่งดึงกระตุกแขนเสื้อ พลางเอ่ยอย่างเง้างอด “ท่านไม่ไปอยู่เคียงข้างท่านอาจารย์เลย”
ถูกเด็กสาวสองคนนี้จับ ซ่านจินจื๋อยังคงอึ้งไปเล็กน้อย ทำเพียงยกสองแขนขึ้น เด็กสาวสองคนนั้นกลับเอื้อมมือยาวไปคว้าเอาไว้ด้วยความโกรธกรุ่น ซ้ำยังมองเขาอย่างไม่ค่อยพอใจ “ตอนที่ท่านแม่มีลูก ท่านพ่อข้าไม่คิดจะหนีห่างไปไหนเลยทั้งวัน ท่านขาดความรับผิดชอบ”
ใบหน้าเย็นชาของซ่านจินจื๋อปรากฏรอยย่นหน่อยๆ
ก็ไม่รู้ว่าใครสอนให้เด็กสาวสองคนนี้พูดกัน
แต่มันทำให้เขานึกถึงชิงจือ แม้ก่อนหน้านี้ชิงจือจะพูดน้อย ทว่าก็มักจะคว้าแขนเสื้อเขาพร้อมออดอ้อน หากไม่ถูกใครอุ้มสู่อ้อมอกก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด ดวงหน้าเนื้อยุ่ยมักจะเง้างอด และน่ารักเสมอ
ยกมือขึ้นกอดเด็กสาวข้างมือเข้าสู่อ้อมอก ซ่านจินจื๋อคว้าเด็กสาวอีกคนที่นั่งข้างกายเขาด้วยมือเดียว ทำเพียงโบกมือให้องครักษ์คนนั้น “เอาจดหมายมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
องครักษ์รีบยื่นจดหมายมาให้ทันที พวกเขาเฝ้าระวังตรวจสอบอยู่ชายแดนมาหลายปี ก็ไม่เคยเห็นด้านที่ท่านอ๋องอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อนเลย จึงอดเหลือบมองอีกหลายทีไม่ได้ ซ้ำยังไม่ได้เจอสายตาคมกริบของท่านอ๋อง จึงจ้องไม่วางตา
บางทีกู้อ้าวเวยเองก็ปฏิบัติต่อผู้ใต้บัญชาอย่างดีในยามปกติ ซ่านจินจื๋อรับรู้ถึงสายตาใคร่รู้สองคู่นี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ทำเพียงคลี่จดหมายฉบับนั้นออก กลับเห็นว่าบนนั้นว่างเปล่า จึงกระตุกมุมปากขึ้น กำลำแขนของเด็กน้อยคนนั้น “อาจารย์ของเจ้านินทาข้าใช้หรือไม่”
“ถูกต้อง” เด็กสาวตัวน้อยเท้าเอวอยู่ในอ้อมอกของเขา
“นั่นเป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น คืนวานนางยังไม่ให้ข้าเข้าไปในห้องเลย ทิ้งข้าให้นอนกับกองพู่กันกระดาษพวกนี้เพียงลำพัง” ซ่านจินจื๋อวางจดหมายนั่นลง ลูบพวงแก้มอ่อนนุ่มของเด็กน้อยคนนั้นพลางนวดยีหนึ่งที ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
บางทีตอนแรกเขาไม่ควรกลัวจะมีลูกเป็นของ ตัวเองสักคนจริงๆ นั่นแหละ
เด็กหญิงตัวเล็กมองเห็นจดหมายวางเปล่าขาวโพลนแผ่นนั้น จึงบุ้ยปาก “ท่านอาจารย์ไม่ดีเอาเสียเลย ใช้กระดาษเปล่ามาหลอกท่าน”
ซ่านจินจื๋อกระตุกยิ้มมุมปาก วางเด็กหญิงลง พลางจูงพวกนางคนละข้าง เนื่องจากตัวสูงไปหน่อยจึงต้องค่อมกายลงน้อยๆ พลางหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเจ้าอย่าเพิ่งไปกวนอาจารย์นะ ให้อาจารย์ขอโทษข้าก่อนดีหรือไม่”
“ดี ข้าจะไปพูดกับพวกเจ้าอ้วนพวกนั้นด้วย!” เด็กหญิงอีกคนตบหน้าอกของตัวเอง
ในสำนักศึกษา กู้อ้าวเวยพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ มองไปที่ความอ่อนโยนในดวงตาของซ่านจินจื๋อ พลางกระตุกยิ้มมุมปาก “นี่ไม่ใช่ว่าชอบเด็กๆ อยู่หรอกหรือ?