บทที่ 675 คนที่ร่วมมือด้วย
คุ้มกันชายแดนยังคงรักษาชื่อเสียงของซ่านต้วนเฟิงเอาไว้
ซ่านเซิ่งหานพักอยู่ในจวนของซ่านต้วนเฟิง ดังนั้นคนที่เป็นกบฏหรือคนที่ส่งข่าวล้วนกลายเป็นปุ๋ยของต้นไม้ดอกไม้ในเรือนไปหมดแล้ว คนที่คอยดูแลปรนนิบัติเขามีเพียงคนเดียวคือเฟิงเยว่ และคนที่เชื่อใจได้อีกสองคน
“ข้าคิดว่าฝ่าบาทท่านนั้นคงไม่รู้หรอกว่าคือท่าน คงแค่ลองดูแค่นั้นเอง” เฟิงเยว่คุกเข่าอยู่ข้างๆโต๊ะเตี๊ยๆ พร้อมกับเอาอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็จัดการกับเอกสารงาน แล้วก็กระบอกไม้ไผ่น้อยใหญ่
กระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเปิดออก คือจดหมายที่ส่งมาจากกู้อ้าวเวย
คำพูดทุกคำที่นางพูดออกมาล้วนถูกจดบันทึกเอาไว้ เพราะว่าซ่านเซิ่งหานเป็นห่วงว่านางจะฉลาดเกินไปแล้วคิดหาทางหนีได้
“ข้าคิดว่านางคงรู้อะไรบางอย่างแล้วแน่” ซ่านเซิ่งหานอ้าปาก แล้วก็ทำมือให้เฟิงเยว่เอาอาหารมาวางต่อ ส่วนเขาหยิบจดหมายนั่นแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ข้าอยากจะไปดูนาง”
เฟิงเยว่เบิกตากว้าง “ท่านต้องอยู่จัดการเรื่องต่างๆ”
ซ่านเซิ่งหานหยุดเดิน มองดูเฟิงเยว่ “เฟิงเยว่”
“ข้าน้อยกระทำเกินหน้าที่แล้ว” เฟิงเยว่รีบก้มหัวลงทันทีแล้วรีบนำอาหารเหล่านั้นกลับเข้าไปในกล่องอย่างเดิม “ข้าน้อยแค่คิดว่า ถึงแม้ว่าฝ่าบาทท่านนั้นจะสำคัญแต่วันนี้ซ่านต้วนเฟิงถูกขังใต้เท้ากู้เฉิงจะต้องส่งคนมาบอกข่าวแน่ ไม่อาจไม่มีท่านอยู่ไม่ได้”
พูดจบซ่านเซิ่งหานก็นิ่งเงียบ เฟิงเยว่เองก็โล่งใจ
นางไม่เคยเห็นฝ่าบาทมีท่าทีที่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ วันๆเอาแต่เพ้อ ขนาดเยว่เองเขายังไม่เชื่อเลย นางไหนเลยจะกล้าพูดต่อ ได้แต่พูดแค่ไม่กี่ประโยคเอง
ซ่านเซิ่งหานนั่งลง เฟิงเยว่เอาอาหารนำกลับมาวางบนโต๊ะอย่างเงียบๆ ประตูมีเสียงดังขึ้น
“ฝ่าบาท ทางโน้นส่งคนมาแล้ว” คนที่เชื่อถือข้างนอกพูดมาเช่นนี้
“เข้ามา” ซ่านเซิ่งหานพยักหน้า ให้เฟิงเยว่เก็บกระดาษและกระบอกไม้ไผ่บนโต๊ะออก ตนเองนั่งลงบนโต๊ะหนังสือหยิบชามตะเกียบขึ้นมา รอจนประตูถูกเปิดออก มีชายรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา นั่นก็คือลูกชายคนหนึ่งของกู้เฉิง ไม่ได้แซ่เดียวกับพ่อ ชื่อว่าเฉียนจื๋อ
ดูท่าเฉียนจื๋อมาส่งข่าวให้กู้เฉิงแน่ ปกติไม่มีลูกคนไหนจะทำแบบนี้
เดินมาถึงตรงหน้าของซ่านเซิ่งหานเขาก็ทำความเคารพ ขนาดว่าเฟิงเยว่ยกจานเปล่าออกไป เขาก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองดู ตาเบิกกว้าง จนเฟิงเยว่ปิดประตูหายวับไป เขาถึงหันหัวมา “ท่านพ่อพูดว่าตอนนั้นที่เขาไม่ได้ส่งทหารไปช่วยซ่านต้วนเฟิงถือเป็นการแสดงความจงรักภักดี”
“ถ้าจะพูดว่าจงรักภักดี ตอนนั้นข้าช่วยพ่อของเจ้าให้หลบหนี อยากรู้ข่าวของกองทหารเจียงเย่น แต่ไม่เคยคิดว่าการร่วมมือกันของข้าและพ่อของเจ้ามาหลายปีเขาจะหักหลังข้า สองปีมานี้พึ่งจะได้รู้ข่าว” ซ่านเซิ่งหานเอาแต่มองดูหนังสือราชการตรงหน้าไม่แม้แต่จะชายตาแลมองเฉียนจื๋อ
เฉียนจื๋อโง่เง่าคิดไปคิดมาถึงได้พูดขึ้นว่า “แต่หลายปีมานี้ท่านพ่อได้สืบข่าวจากทุกที่มาให้เจ้า ทำไมเรื่องพวกนี้ไม่นับว่าเป็นความจงรักภักดีหรือ วันนี้ตำแหน่งของท่านในราชสำนักถึงจะบอกว่าเป็นเพราะกู้อ้าวเวยช่วยเจ้า แต่ท่านพ่อข้าเองก็ช่วยเจ้าเอาไว้ไม่เยอะ ขนาดข่าวที่ชายแดนหรือทหาร ตอนนั้นท่านพ่อข้าเองก็จัดการได้อย่างดี นี่ไม่นับว่าเป็นความจงรักภักดีหรือ”
เอาลูกชายที่โง่เง่าแบบนี้มาเป็นคนส่งข่าวก็ไม่เลวนะ
ซ่านเซิ่งหานถึงได้เงยหน้าขึ้น มองดูเฉียนจื๋อตรงหน้า “เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด แต่วันนี้ข้าอยากร่วมมือกับพ่อของเจ้า วันหน้าพ่อเจ้าจะต้องมาเป็นขุนนางของข้า”
“ไม่ได้ตอนนี้พ่อข้าเป็นฮ่องเต้ วันหน้าถ้ามาเป็นขุนนาง วันหน้าผู้คนก็จะกล่าวหานินทาลับหลัง” เฉียนจื๋อคุกเข่าลงยืดหลังตรง มองมาทางซ่านเซิ่งหานด้วยสายตาที่โกรธ “ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อข้ายังให้ข้าแลกของสิ่งหนึ่งกับเจ้า หากว่าเจ้าตกลงแล้ว เขาจะส่งจดหมายมาเอง หากเจ้าไม่ตกลงเรื่องนี้ก็ไม่สามารถคุยกันได้อีกแล้ว เจ้านี่ดีวันนี้พวกเราสองคนยังไม่ได้คุยกันเลย เจ้าก็พูดข้อแม้ของตนเองออกมาแล้ว”
เฉียนจื๋อเบิกตากว้างจ้องมองดูซ่านเซิ่งหานกำหมัดเอาไว้แน่น
ยักคิ้ว ซ่านเซิ่งหานวางของในมือลงแล้วถามขึ้น “พูดเช่นนี้ เขาต้องการอะไร”
“รอตอนที่เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ ก็เอาวิธีที่ทำให้อายุยืนให้เขา เขาจะไปหลบอยู่ในป่าในเขา รอให้เจ้าตายไปแล้วเขาถึงจะเปลี่ยนหน้าออกมาเจอผู้คน” เฉียนจื๋อกำหมัดยกมือขึ้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเสียงดังฟังชัด
“ขอแค่ให้ข้าได้ตัวกู้อ้าวเวย เรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องที่จะคุย” ซ่านเซิ่งหานเม้นปาก ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ
ประตูด้านหลังของเฉียนจื๋อถูกเปิดออก เฟิงเย่วเดินเข้ามาด้วยมือเปล่า เฟิงเยว่คำนับแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยจะไปส่งท่านใต้เท้าเฉียนจื๋อกลับไปบอกข่าว……….”
“ช้าก่อน” เฉียนจื๋อที่คุกเข่าอยู่ลุกขึ้น “ฝ่าบาทท่านพ่อยังพูดอีกว่ามีเรื่องหนึ่งที่อยากให้ท่านช่วย”
“พูดมา” ซ่านเซิ่งหานใช้มือทำท่า
“ท่านพ่อสงสัยกู่เซิ่งและกู้จี้เหยาว่าจะกบฏ แต่ถ้าตอนนี้ฆ่าลูกตนเอง ลูกคนอื่นๆก็จะเป็นห่วงและไม่กล้าที่จะซื่อสัตย์จงรักภักดี ดังนั้นหวังว่าท่านจะช่วยจัดการให้หน่อยทางที่ดีที่สุดคือฆ่ากู่เซิ่งและกู้จี้เหยาให้สิ้นซาก นี่คือร่องรอยทั้งหมดที่ข้าได้มา ขอให้ฝ่าบาทจงช่วยด้วย” พูดไปเฉียนจื๋อก็เอากระดาษที่เขียนเอาไว้แล้ววางไว้บนโต๊ะ
ซ่านเซิ่งหานขมวดคิ้วแล้วมองดูคนตรงหน้า “กู่เซิ่งและกู้จี้เหยา นับดูแล้วพวกเขาก็เป็นพี่ชายพี่สาวของเจ้านะ”
“พี่ชายพี่สาวอะไร ขอแค่หักหลังท่านพ่อนั่นก็คือกบฎ” ใบหน้าของเฉียนจื๋อผุดรอยยิ้มที่เยาะเย้ยขึ้น คำพูดนี้บาดลึกเข้าไปในในใจของซ่านเซิ่งหาน
เขาคิดถึงแม้ว่าเขาจะใช้วิธีต่างๆในการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายพี่น้อง
ในใจกลับคิดถึงเรื่องที่ตอนนั้นกู้อ้าวเวยพูดกับตนเอง และทำให้เขาไม่กล้าที่จะฆ่าพ่อของตนเอง แต่หวังว่าจะพาทหารมากมายมาเพื่อให้เขาลงมา
พยักหน้าตกลง ซ่านเซิ่งหานเปิดปากพูดหลังจากที่เฉียนจื๋อกำลังจะไป “พ่อของเจ้าคงรักแม่ของเจ้ามาก เจ้าถึงได้ซื่อสัตย์จงรักภักดี”
“แม่ข้าเป็นคนกบฏ พ่อข้าไม่รักคนหักหลังหรอก ฆ่าให้มันตายๆไปเถอะพวกที่ไม่มีประโยชน์” เฉียนจื๋อพูดด้วยสีหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วเดินตามเฟิงเยว่ไป
ซ่านเซิ่งหานนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว เรียกคนสนิทด้านนอกเข้ามา “ข้าถามเจ้า ถ้าข้าไม่อยากทำร้ายเสด็จพ่อ แต่แค่อยากให้เขายกบังลังก์ให้ข้า เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้ไหม”
คนสนิทหนิ้น่งส่ายหัวไปมา “ฝ่าบาทท่านไม่ควรใจอ่อน”
“เจ้าออกไปเถอะ” ซ่านเซิ่งหานลูบไปที่หน้าอกมองดูคนสนิทเดินออกไป ถึงได้เม้นปาก “ถ้าเวยเอ๋ออยู่ ก็คงบอกว่าข้าคือคนใจอ่อน”