บทที่ 685 รับความเสี่ยง
กลุ่มหมอกควันสีครามขดตัวลอยอยู่ในตอนเช้าตรู่
สิ่งที่แคว้นเอ่อตานใช้ในลำดับต้นๆ คือการนำควันหมาป่าสีคราม เพิ่มเข้าไปในผลไม้แห้งในภูเขา ยากที่จะสลายไปอย่างสมบูรณ์ เมื่อติดไฟแล้วจะมีกลิ่นแปลกประหลาด ใช้เวลาสักครู่หนึ่ง ทหารของแคว้นเอ่อตานก็จะจามหาพวกเขาพบ
และความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ในขณะที่มีควันหมาป่าสีครามปรากฏออกมา ก็ยังมีพลุสัญญาณของอ๋องจิ้งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด ทหารที่อยู่บนกำแพงชายแดนแคว้นชางหลานก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
บางทีคนของทั้งสองแคว้นอาจจะต้องวุ่นวายกันเพราะเหตุนี้
แต่ในภูเขาและป่าที่ห่างไกล กู้อ้าวเวยกลับทำได้เพียงมองหน้าต่างที่ถูกปิดตาย มีเพียงทางเดียวที่จะออกไปจากรถม้าได้ก็คือทางด้านประตูหลังของเฟิงฉีน
แต่ตอนนี้เฟิงฉีนและคนขับรถม้าด้านนอกได้ให้ส่งท่าทางภาษามือกันอยู่หลายครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นเคาะแถบไม้บนหน้าต่างรถม้า
“ก็แค่มีความเคลื่อนไหวจากทางองค์ชายสาม เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะพาท่านไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชายแดนแคว้นชางหลาน จากนั้นจะนำคนไปช่วยองค์ชายสาม” ใบหน้าของเฟิงฉีนลดความตึงเครียดลง เปลี่ยนเป็นยิ้มเล็กน้อย “ขอให้องค์หญิงอย่าได้กังวล”
“อย่างนั้นที่พวกเจ้าปิดตายหน้าต่าง ก็แค่กลัวว่าข้าจะเล่นลูกไม้อะไรอยู่งั้นหรือ” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น เงยหน้าขึ้นอย่างหมดความอดทนมองไปยังดวงไฟเคลือบสองดวงที่แขวนไว้เหนือศีรษะ เพียงแต่รู้สึกว่าคนพวกนี้ทำลายข้าวของตามอำเภอใจ
เฟิงฉีนนั่งลงข้างๆนาง เพื่อเคล้นขานาง “ร่างกายของท่านไม่ควรจะต้องรับแรงกระแทกจากการเดินทางไกล และก็ยิ่งไม่เหมาะที่จะเพ่งดูหนังสือเป็นเวลานานแบบนี้ พวกเราหวังแต่เพียงว่าท่านจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”
“ไม่อยากให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าจะทำ” กู้อ้าวเวยไม่สามารถเก็บความโกรธเอาไว้ในใจได้ อ้าปากพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าได้ยินคำพูดที่ดูสง่าสวยงามแบบนี้มามากพอแล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น หรือมีข่าวอะไรส่งมาจากกุ่ยเม่ยอีก”
เฟิงฉีนถึงกับสำลัก พูดอย่างเก้อเขิน “พวกเราไม่ต้องการที่จะรับรู้ข่าวอะไรในตอนนี้”
“ดูเหมือนว่ามือของพวกเจ้ายังยื่นออกไปไม่ถึงแคว้นเอ่อตานเลย” กู้อ้าวเวยยกปากขึ้น เงยหน้าขึ้นมองนาง “แม้ว่าพวกเจ้าจะพาข้าไปแคว้นเอ่อตานอย่างเงียบๆ แต่ตอนนี้ พวกเจ้าไม่ใช่กองกำลังหลักที่ประจำอยู่ในแคว้นเอ่อตาน เป็นเพราะมีนายท่านคนอื่นอยู่เบื้องหลังใช่ไหม”
“องค์หญิง นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เรื่องระหว่างแคว้นต่อแคว้นจะไม่ทำให้รอบคอบได้อย่างไรกัน” เฟิงฉีนยังคงยิ้มอย่างสงบไว้ แต่ใจก็เต้นเหมือนกลอง
“ที่ข้าพูดแบบนี้ข้าก็ค่อยเชื่อมั่นหน่อย หากพวกเจ้าอยู่ภายใต้องค์ชายสามจริง ข้าก็ควรมาพิจารณาดูว่าคู่ค้านี้ยังมีอะไรอีกกี่เรื่องที่ยังไม่บอกข้า” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นแล้วแตะไปที่แก้มของเฟิงฉีน หัวเราะเย้ยหยัน “พาตัวข้าขังไว้ที่นี่ ข้าก็ได้แค่สังเกตพวกเจ้าได้อย่างใกล้ชิดเท่านั้น เช่น ดูเหมือนสัญญาณมือที่พวกเจ้าเพิ่งจะทำเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย แต่เป็นคำเตือน”
เฟิงฉีนหรี่สายตาของเขาลงเล็กน้อย ขนตาที่ยาวสั่นสองสามครั้ง ไม่นานบนใบหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา แม้แต่เสียงก็ยังดูมืดมน “องค์หญิง ท่านจะรู้มากเกินไปหน่อยแล้ว”
“ข้าก็ไม่อยากจะรู้มากขนาดนี้หรอก แต่ข้ากำคงจะทำได้เพียงเรื่องพวกนี้” กู้อ้าวเวยใช้ปลายนิ้วจิ้มไปที่หลังหูของนาง จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบๆ “แม้ว่าไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะแจ้งเตือนอะไร แต่ข้าเพียงจะเตือนเอาไว้”
“ท่านพูดมา” เฟิงฉีนก้มหน้าลงเล็กน้อย กลับไปยังประตูใหม่ แววตามีความเย็นชา
“อย่ายุ่งกับซ่านจินจื๋อ เขาไม่ใช่พืชผลที่ดี” กู้อ้าวเวยวางม้วนหนังสือในมือลง เอนกายนอนลงอย่างเหนื่อยล้าอยู่บนรถม้า “นอกจากนี้ ข้าไม่ใช่สิ่งของของใคร หากนายของพวกเจ้าต้องการทำร้ายจิตใจกันเช่นนี้ ก็ฆ่าข้าด้วยมีดเล่มนี้ดีกว่า”
เฟิงฉีนตกตะลึงเล็กน้อย ยังคงจำควันหมาป่า ที่ถูกจุดจากป่าลึกได้ ทำหน้าบึ้ง “ท่านไม่กลัวตายงั้นหรือ
“ข้าไม่กลัวตาย ว่าแต่พวกเจ้ากลัวตายไหม” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้น “หากว่าข้าตายลงในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ ข้ายังคงโน้มน้าวเขาได้อยู่บ้าง แต่หากข้าตายในมือเจ้า อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่อาจอยู่เฉยได้ไปตลอดชีวิต”
ตอนนี้นางก็นึกถึงคำพูดที่คุยโวโอ้อวดนั้นของซ่านจินจื๋อ
หากว่าต้องตายพร้อมกับเด็กในครรภ์จริง ก็ไม่ได้มีความสียใจ แต่กลับไม่ยินดีที่จะต้องเห็นลักษณะแบบนั้นของซ่านจินจื๋อเมื่อถึงเวลานั้น
ดูเหมือนว่าเขาจะถูกนางหลอก
เมื่อลองนึกถึงจุดนี้ กู้อ้าวเวยก็ปิดปากของนางแล้วหัวเราะเบาๆ ภายใต้การจ้องมองที่เย็นชาของเฟิงฉีนและพูดเพิ่มไปอีกประโยค “ที่พูดมาน่าสนใจ ข้ารักษาอาการป่วยและช่วยเหลือคนมาตลอดชีวิต ไม่เคยฆ่าใครหรือทำให้ผู้ใดบาดเจ็บ แต่กลับต้องมาติดตามผู้ชายเฮงซวยที่มือเปื้อนเลือด และยังต้องมาเกลี้ยกล่อมเขาเหมือนเด็ก เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไม่”
เฟิงฉีนอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก
กู้อ้าวเวยก็ไม่พูดอะไรอีก ในสมองกลับมีภาพของชิงจือและซ่านจินจื๋อปรากฏขึ้นมา
มีความรักบางอย่างที่ถูกลิขิตให้อยู่อย่างยาวนาน แต่นางกลับรู้สึกว่าความรักนี้เหมือนหนอนในข้อเท้าทำให้คนขยะแขยง แต่มันกลับหวานซ่อนเปรี้ยวเหมือนมะเขือเทศราชินีที่ถูกคัดมา เปรี้ยวหวานถูกปาก แต่หากให้นางคิดถึงการอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตกับซ่านจินจื๋อโดยปราศจากความบาดหมาง กลับเหลือเพียงแค่เศษสีเทา ไร้รสชาติ
ยิ่งคิดถึงมากเท่าไร หัวใจของกู้อ้าวเวยก็ยิ่งเต้นเร็ว หลับตาลง “หากพวกเจ้าพูดไม่ผิด ซ่านจินจื๋อตอนนี้คงติดกับดักและกำลังจะตาย แต่จะตายด้วยวิธีไหน”
เฟิงฉีนรู้สึกแต่เพียงว่ากู้อ้าวเวยไม่มีเหตุผล พูดด้วยเสียงหนัก “ท่านอย่าเพิ่งคิดฟุ้งซ่าน….”
“ชีวิตนี้ข้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้แต่คิดว่าเขาจะตายได้อย่างไร” กู้อ้าวเวยค่อยๆลืมตาขึ้น ขยับแขนขาอยู่บนรถม้า
เฟิงฉีนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ โคมไฟเคลือบเหนือศีรษะก็ตกลงบนพื้น เปลวไฟสว่างขึ้น หญิงตั้งครรภ์ที่ควรจะเคลื่อนไหวช้า ๆ กลับใช้ศอกกระทุ้งแผ่นไม้ที่หน้าต่าง ท้องฟ้าส่งแสงสว่างไสว เปลวไฟตรงปลายเท้าก็ลุกขึ้นมามีเสียงดัง
มีเลือดอยู่ที่แขนของกู้อ้าวเวย ใบหน้าที่ซีดเซียวไม่ลืมที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง
ควันหมาป่าสีครามเป็นคงอยู่เวลานานยังไม่ได้สลายไป และพลุสัญญาณถัดไปเป็นของอ๋องจิ้งที่ถูกยิงออกไประเบิดบนท้องฟ้า
ใบไม้ที่ไม่ได้ตั้งใจหักที่ติดอยู่บนฝ่ามือ นางเริ่มจะโน้มตัวยืนอยู่ที่นั่น ดูเหมือนจะมีของเหลวอุ่นๆไหลผ่านต้นขา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง
“ข้ารู้ เกี่ยวกับซ่านจินจื๋อพวกเจ้ามีสัญญาณมือเฉพาะพิเศษ” ผมของกู้อ้าวเวยถูกลมพัด แต่มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อย เหยียดสี่นิ้วออก เหลือแต่เพียงนิ้วหัวแม่มือที่ยังติดกับปลายนิ้ว
“เจ้าบ้าไปแล้ว….” เฟิงฉีนอยากจะลากนางลงไปอย่างเหลือเชื่อ
และกู้อ้าวเวยยังคงยืนอยู่ที่นั่น สายตามองไปยังนางอย่างดุเดือด “ไม่มีใครมาคุกคามข้าได้”
เฟิงฉีนได้เห็นความผิดปกติของสีผิวนางที่ไม่เป็นธรรมชาติ เปลวไฟเกือบจะเผาผลาญไปยังร่างของนาง
“องค์หญิง พวกเราจะไม่กักขังท่านแล้ว” เฟิงฉีนดึงตัวนางเข้ามาอย่างสั่นเทา คนที่อยู่นอกรถม้าก็มารับตัวนางลงไป บางคนก็รีบไปหาน้ำและฝืนที่บริเวณใกล้เคียง
ความรู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้ หัวใจของกู้อ้าวเวยกลับสงบขึ้นมาก