บทที่ 702 ซางนิงก่อกบฏ
สลัดมือของซ่านจินจื๋อออก กู้อ้าวเวยค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากเตียงแล้วเอนพิง พลางเหลือบมองเขา “กำลังทหารแต่ละจุดของชางหลานสั่งสมความแข็งแกร่งมาเนิ่นนานก็แม้แต่การหมุนเปลี่ยนเวียนตำแหน่งของเจ้าหน้าที่และทหารยังต้องใช้เวลาสิบปีในการเตรียมการ คนตั้งมากมายดำรงตำแหน่งเป็นระยะเวลานานโดยไร้ปัญหา เกิดเรื่องขึ้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว”
ซ่านจินจื๋อทำได้เพียงปีนลงจากเตียง ยกโจ๊กผักด้วยตัวเองแล้ววกกลับมาที่ข้างเตียง
เป้าหมายของจื่อเหมิงลุล่วงแล้ว จึงไม่คิดจะฟังอยู่ที่มุมตรงนี้ พูดเพียงว่าหยุนหว่านจะกลับเมืองหลวงเป็นการชั่วคราวเพื่อไปรักษาความสงบ
“เหตุใดท่านแม่ถึงไม่เคยมาเลยสักครั้ง” กู้อ้าวเวยผลักถ้วยในมือของซ่านจินจื๋อออก
“หากข้างกายของท่านยังพอมีพื้นที่สักนิด วันๆ เจ้านายก็คงไม่ต้องอุ้มท่านอ๋องน้อยไม่วางมือหรอก” จื่อเหมิงกล่าวเช่นนี้ไปพลาง และยิ่งมองไปทางซ่านจินจื๋ออย่างแฝงนัยลุ่มลึกมากเป็นพิเศษหลายแวบ ภายในใจรู้สึกไม่พอใจไปหมด
กู้อ้าวเวยบุ้ยปาก ไม่ใคร่อยากทานอาหารเท่าใดนัก
ท่านแม่บอกว่าจะกลับไปรักษาความสงบ กลัวว่าไม่ใช่กลับเมืองหลวงไปแล้วก็มัวแต่เสาะหาสูตรยาล้างพิษ นับตั้งแต่ก่อนหน้านี้นางตำหนิตนไปหนึ่งยก จากนั้นก็ไม่ค่อยได้พบกันเข้าไปใหญ่ ต่อให้เจอหน้า ซ่านจินจื๋อก็หน้าด้านหน้าทนดุจดั่งกำแพงเมือง ไม่เพียงแต่สบถระยำคำแล้วคำเล่า ซ้ำยังติดหนับข้างกายนางราวกับเทวรูปองค์ใหญ่ พูดอะไรก็ไม่ยอมไป
จนป่านนี้ท่านแม่เองก็ทำเพียงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และมาน้อยครั้งลง ได้ยินเพียงเสียงท่านแม่โอ๋ลูกดังลอยมาจากนอกหน้าต่างเท่านั้น
“มีหลานชายก็ลืมลูกสาว จะว่าไปก็คงไม่พ้นเช่นนี้กระมัง” กู้อ้าวเวยถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที กลับถูกซ่านจินจื๋อยัดโจ๊กผักหนึ่งคำเข้าไปในปากโดยไม่ทันระวัง ข้างหูมีเสียงของซ่านจินจื๋อดังขึ้นมาติดๆ “พูดเรื่องสำคัญ”
กู้อ้าวเวยไอแค่กๆ สองที แต่ก็มองรอยยิ้มบนใบหน้าของซ่านจินจื๋อไม่ชัด ทำได้เพียงก้มหน้าทานข้าวอย่างว่าง่าย ในใจกลับคิดไปเรื่องอื่น
ก่อนหน้านี้ถึงแม้มีช่วงที่นางอยู่ข้างกายซ่านเซิ่งหานราวๆ สองวัน แต่ถ้าหากลองคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เฟิงฉีนพยายามทำให้เวลาและตำแหน่งของนางเกิดความสับสน ทุกอย่างนี้ล้วนทำไปเพื่อซ่านเซิ่งหานทั้งนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปที่ซ่านต้วนเฟิง คนผู้นี้แทบจะถูกพวกเขามองได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ว่าเรื่องราวจะทำเมื่อไรเวลาใดล้วนถูกตรวจสอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
คนหนึ่งมีความคิดพิถีพิถัน ส่วนอีกคนกลับทำการได้อย่างละเอียดยิบ แล้วเหตุใดซ่านเซิ่งหานถึงพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือไปได้?
ขณะที่นางคิดไปต่างๆ นานา หงเซียวก็พลอยปริปากเอ่ยตาม “อันที่จริงสถานการณ์ชายแดนเริ่มอลหม่านขึ้นเรื่อยๆ พลทหารสองหมื่นนายนั้นมีบางคนไม่ใช่คนของชางหลานด้วยซ้ำ ดูรูปพรรณสัณฐานออกจะเหมือนคนเจียงเยี่ยน อีกฝั่ง ซางนิงก็ก่อกบฏแล้ว”
“ก่อกบฏ?” ดวงตาของซ่านจินจื๋อหรี่ลงน้อยๆ แม้แต่กู้อ้าวเวยก็โน้มตัวเข้ามา “ก่อนหน้านี้ท่านพาซางนิงเข้ามา ไม่ใช่เพราะว่าเขาภักดีหรอกหรือไร?”
“เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนี้” ซ่านจินจื๋อวางถ้วยว่างเปล่าลง ก่อนจะไปเอาซุปร้อนถ้วยหนึ่งและอาหารจานเล็กๆ อีกใบมาวางไว้บนตั่งตัวน้อยข้างมือของกู้อ้าวเวยพลางป้อนต่อไป มองดูท่าทีว่านอนสอนง่ายของกู้อ้าวเวย จึงปริปากกล่าวต่อไป “แต่ถ้าหากเขากบฏก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย”
กู้อ้าวเวยดื่มซุปหนึ่งคำ พลางส่ายหน้า “รีบว่ามาเร็วเข้า”
“ราชวงศ์ของพวกเราสังหารทั้งตระกูลของซางนิง ผู้ที่ไว้ชีวิตเพื่อรับใช้ราชวงศ์ก็มีเพียงเขาและหงเซียวสองคนเท่านั้น แต่หงเซียวเป็นตระกูลย่อย อีกอย่างเพราะเขาเป็นลูกกำพร้าถูกทอดทิ้ง ดังนั้นจึงภักดียิ่งยวด แต่ภรรยาและลูกๆ ของซางนิงล้วนถูกสังหารที่ตลาด เขาเก็บงำความเคียดแค้น จงรักภักดีต่อราชวงศ์เป็นเพียงเพราะคำสาบานในวันนั้น” ซ่านจินจื๋อวางซุปลง เปลี่ยนเป็นอาหารจานเล็กยื่นให้นางแทน “ทั้งตระกูลซางนิงให้ความสำคัญต่อคำสาบาน ปีนั้นก็เพราะแว่นแคว้นทลายจึงได้เข้ารวมกลุ่มกับชาติพันธุ์ชางหลาน สุดท้ายเพราะเรื่องครอบครัวพังพินาศ ลูกหลานที่เหลืออยู่จึงมีความมุ่งมั่นจะฟื้นฟู ทว่าก็ยากจะได้รับความรุ่งเรืองดังเช่นในอดีต”
“ดังนั้นคำสาบานของเขาคืออะไร” กู้อ้าวเวยเคี้ยวผักใบเขียวในปากไปพลาง กลับรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว
“จะจงรักภักดีต่อราชวงศ์” ซ่านจินจื๋อแค่นเสียงหยันหนึ่งที “วันเวลาก่อนหน้านี้ ชัยชนะของข้ายังนับว่ามีสูงมาก ทว่าตอนนี้ในเมื่อเขาก่อกบฏ นัยว่าเขาคิดว่ามีคนที่เหมาะสมจะเป็นฮ่องเต้มากกว่า”
กู้อ้าวเวยกลับคิดไม่ถึงว่าซางนิงถึงขั้นเป็นคนแบบนี้เชียว แต่เมื่อครู่หวนคิดสักพัก กู้อ้าวเวยก็สุ่มคลำและคว้าหมับเข้าที่มือของซ่านจินจื๋อ แม้จะมองไม่เห็น ก็ยังหันหน้าแสร้งทำทีเป็นมองไปที่เขา “ท่านหลอกข้าอีกแล้ว?”
“อย่างนั้นหรือ?” ซ่านจินจื๋อจงใจทอดเสียงยาว แม้แต่น้ำเสียงจะเจือด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องบ่มเพาะกองกำลังเพื่อท่าน ซ้ำยังเป็นตอนที่ท่านยังเยาว์ อีกอย่างเขายังเคยบอกกับข้าว่า ถ้าไม่ใช่เพราะข้าตั้งครรภ์ เขาก็คงไม่ปรากฏตัว กล่าวมาเช่นนี้ คำสาบานของเขาไม่ได้ทำไปเพื่อพวกท่านสองพี่น้องรวมถึงลูกหลานด้วยกระนั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยโน้มตัวไปเบื้องหน้าอย่างสงสัย “พูดมาดีๆ อย่าโกหกข้าเชียว”
“ก็แค่อยากลองดูสักหน่อยว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงประเภทที่พอท้องแล้วจะโง่ไปสามปีอย่างนั้นหรือไม่” ซ่านจินจื๋อหยิบอาหารจานเล็กในมือออก ส่วนมืออีกข้างกลับจับด้านหลังศีรษะของกู้อ้าวเวยเอาไว้ กดนางเข้ามาในอ้อมอก “การกบฏของซางนิงข้าเป็นคนวางแผนเอง เมื่อเทียบกับการป้องกันซ่านต้วนเฟิงแล้ว ข้าควรต้องสนใจซ่านเซิ่งหานและเมี่ยวหารมากกว่าจึงจะถูก”
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับเมี่ยวหาร?” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของเขา แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นจนจบเบื้องหน้าเป็นสีดำสนิททั้งผืน นางพิงบนทรวงอกของเขาดื้อๆ ส่วนมืออีกข้างกลับบิดเข้าที่ช่วงเอวของซ่านจินจื๋อ “อย่ามือไม้เลื้อย”
ค่อยๆ ผละตัวนางออกเล็กน้อย ซ่านจินจื๋อนวดกระหม่อมของนางเบาๆ “หลังจากที่เมี่ยวหารหายตัวไร้ร่องรอย ข้าก็ส่งซางนิงไปหาตัวเขา แต่ไรมาเขารุดหน้าเพื่อเป้าหมายเดียวเสมอ ถ้าหากเขาก่อกบฏที่ไหน นั่นก็พิสูจน์ว่าเมี่ยวหารอยู่ที่นั่น เข้าใจหรือไม่?”
“ถ้าอย่างนั้นหงเซียว ซางนิงไปไหนหรือ?” คราวนี้กู้อ้าวเวยพลันนึกถึงหงเซียวขึ้นมา
แต่น่าเสียดายที่ไร้คนตอบคำถาม ฝ่ามือที่อยู่บนศีรษะกลับเพิ่มแรงบีบมากขึ้นน้อยๆ “เขาเอาเอกสารราชการไปเก็บตั้งนานแล้ว ในฐานะผู้ใต้บัญชา เขาจะมองดูความสนิทสนมระหว่างข้ากับเจ้าได้อย่างไรกัน”
“สนิทสนมอะไร?” กู้อ้าวเวยสลัดมือของเขาออก กลับเริ่มรู้สึกกระดากขึ้นมาเล็กน้อย
หลายวันมานี้กกกอดโอบรัดกับซ่านจินจื๋อคล้ายจะกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว ปัจจุบันยุคสมัยนี้เดิมทุกคนควรจะมีกฎระเบียบ กฎระเบียบแต่ละประเภทที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรคอยติดหนับผู้คนทุกหย่อมหญ้า แต่บางทีก่อนหน้านี้นางอาจจะมือไม้เลื้อยจนชิน ไม่ได้เหนี่ยวรั้ง ตอนนี้ซ่านจินจื๋อก็พลอยเลียนแบบบุคลิกท่าทางไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ริมฝีปากหรือว่าที่สองมือต่างก็เริ่มกุลีกุจอพร้อมกันขึ้นมา
กู้อ้าวเวยนั้นกลับมองไม่เห็นอะไร เวลาพูดไปพูดมาก็ลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอยู่ข้างๆ เป็นธรรมดา…
“เช่นนั้นท่านก็ไปดูสิ ซางนิงไปไหนแล้ว?” กู้อ้าวเวยตบต้นขาของเขา
“ซางนิงไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน?” ซ่านจินจื๋อตบเข้าที่ท้ายทอยของนางเบาๆ ปริปากกึ่งเคร่งขรึม “ซางนิงจะเป็นพ่อเจ้าได้อยู่แล้ว ซ้ำยังหน้าตาไม่ดีอีกด้วย”
“…” อย่างไรเสียก็คงหนีไม่พ้นประเด็นนี้เลยกระมัง!
กู้อ้าวเวยอับอายจนพาลโมโหฟุบลงกลับไปอยู่ในผ้าห่ม แต่ไม่นานก็ถูกคนลากขึ้นมาทานอาหารแต่โดยดีหนึ่งฉาด คราวนี้จึงปล่อยนางไปพักผ่อน เพียงแต่โกรธจนกู้อ้าวเวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แม้กระทั่งชื่อของกุ่ยเม่ยยังไม่ยินดีเอ่ยขึ้นมา
แต่ซ่านจินจื๋อกลับรู้สึกว่าหลายวันมานี้นางระบายเพลิงโทสะออกมาไม่น้อยเลย
เรียกจางเหยียงซานมาคุยเรื่องทฤษฎีตัวยาด้วยกันกับนางทางฝั่งนี้ เขาก็นั่งอยู่ด้านข้างอ่านเอกสารราชการในมือด้วยจิตใจสงบสุข เพียงแต่อ่านไปได้ครึ่งเดียว เขาก็รู้สึกว่าเรื่องชักแปลกๆ เนื่องจากในนี้ บันทึกไว้หนึ่งประโยค
ซ่านต้วนเฟิงส่งคนไปสร้างสะพานที่ด่านลั่วสุ่ย ยิ่งกว่านั้นยังส่งระเบิดไปหมายจะเปิดทางเข้ากระแสน้ำของด่านลั่วสุ่ยอีกด้วย
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะสอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หากต้องการยาอมตะละก็ กระแสน้ำของด่านลั่วสุ่ยก็คือสถานที่จำเป็นอย่างยิ่ง