บุบผาร้อยเสน่ห์ – ตอนที่ 706

ตอนที่ 706

บทที่ 706 การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง

สิ้นสุดช่วงแห่งการเก็บเกี่ยว ก็คือฤดูกาลแห่งความร่วงโรย

ยามที่จะจากไปนางค้นพบเพียงใบไม้ร่วงเต็มพื้นจากห้องของอี้จื๋อ ค่อยๆ ลูบไล้ลายเส้นของใบไม้เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน นางเอียงศีรษะและมองดูอย่างพลิกไปมาแต่กลับมองไม่ชัด จึงม้วนใบไม้ร่วงนี้ใส่เข้าไปกลางในตำราเอาเสียดื้อๆ รอให้ผิงชวนและหงเซียวส่งข้าวของขึ้นรถม้า

อาการบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ของกุ่ยเม่ยจนป่านนี้ยังไม่ทันหายดี ทว่าตอนนี้ก็ได้ตระเตรียมเสบียงอาหารแห้งส่วนหนึ่งส่งไปถึงมือนางแล้ว

กู้อ้าวเวยมองสำรวจห่อสัมภาระในมือ ก่อนเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากนะ”

“ข้อตกลงก่อนหน้านี้ วันหน้ายังจะเป็นข้อผูกมัดอยู่หรือไม่” กุ่ยเม่ยระส่ำระสายเนื่องด้วยถ้อยคำในคืนฝนพรำก่อนหน้านี้

“ถ้าหากวันหน้าเจ้าติดตามฉูห้าวแล้วยังมีวันพักผ่อนละก็ ข้าย่อมอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ยื่นม้วนตำราส่งใส่มือให้เขา “ความรู้สึกที่เปลี่ยนจากคนชางหลานมาเป็นคนเอ่อตานเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่เลวทีเดียว” กุ่ยเม่ยรับหนังสือเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ ช่องว่างเล็กน้อยก่อนหน้านี้ก็เทียบไม่ได้กับความรักใคร่ที่ผ่านมาหลายปี กี่วันคืนที่ระหกระเหินรอนแรม สัญจรไปตามป่าเขา กุ่ยเม่ยล้วนคอยดูแลอย่างสุดกำลังมิได้ขาด แม้ว่าในใจจะไม่ได้เชื่อมั่นเต็มอก แต่ก็มิอาจระแวงมากเกินไป

หนนี้ผ่านไป เรื่องที่ต้องทำยังมีอยู่มาก ดังนั้นจึงจะไม่พาจื่อเหมิงหรือหลิ่วเอ๋อไปด้วย มีเพียงแต่หงเซียวและผิงชวนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งสองคนนี้รุดหน้าไปด้วยเท่านั้น

ในช่วงเวลาสั้นๆ สองเดือนมานี้ ร่างกายของกู้อ้าวเวยยังไม่ทันได้รับการเยียวยาเต็มสมบูรณ์ ทว่าปัจจุบันล่ายเสวียนกลับยกทัพไปต่อต้านท่านซู เย่นเจียงไม่ได้รัดกุมทุกฝีก้าวดังเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว ตรงข้ามกลับเป็นเอ่อตานและชางหลานที่กรีธาทัพพร้อมกัน แบ่งไปกดดันชายแดนของเจียงเยี่ยนและแคว้นซิน อ้ายจือก็ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งรองแม่ทัพภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือน ผู้ใต้บัญชาก็มีกองทัพสตรีเพิ่มขึ้นมาขบวนหนึ่ง ก็แม้แต่ตระกูลฉียังไม่นั่งนิ่งดูดาย นับจากกิจการแป้งชาดก่อนหน้านี้ทำมาเป็นกิจการตีเหล็กในปัจจุบัน และยิ่งอาศัยการรับรองจากองค์ชายสี่ซ่านเชียนหยวนเข้ายึดเหมืองสองแห่ง ปัจจุบันแม้แต่คนในราชสำนักชางหลานยังไม่กล้าดูแคลนสตรีที่อยู่ข้างกายองค์ชายสี่เลย

วันนั้นมีใครบ้างที่จะคิดว่าสตรีตัวกระจ้อยร่อยคนหนึ่งจะสามารถประสบความสำเร็จในปัจจุบันได้?

ทว่ากู้อ้าวเวยกลับรู้สึกว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องปกติเล็กน้อย รอจนกว่าทุกอย่างพร้อม ผิงชวนและหงเซียวก็จะควบม้าตามด้านข้าง มีเพียงซ่านจินจื๋อเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างบนรถม้า

รถม้าเพิ่งจะเคลื่อนตัว ซ่านจินจื๋อก็กอบกุมมือของนางเอาไว้ “สะสางอะไร สะสางใคร?”

“ข้าคิดว่าท่านยืนอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น น่าจะไม่ได้ยินอะไร” กู้อ้าวเวยสลัดมือของเขาออก กล่าวเสียงเบา “พระเจ้าคงไม่อาจส่งข้ามายังที่แห่งนี้โดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ย่อมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำการสะสางมาแล้ว”

ถ้าหากกล่าวว่าปีนั้นนักโบราณคดีมาถึงเป็นอุบัติเหตุ การมาของนางก็อาจจะเป็นกฎเกณฑ์ของโลกนี้ก็ได้

สิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนหลงเหลือเอาไว้ทั้งหมดมีทั้งดีและพังคละเคล้ากันไป ส่วนปัจจุบันเป็นเวลาที่เรื่องมาถึงจุดสูงสุดพอดี นางมาที่นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญเป็นแน่

“เจ้าคิดว่าพระเจ้าให้เจ้ามาสะสางเรื่องของความเป็นอมตะเรื่องนี้หรือ?” ซ่านจินจื๋อกระตุกมุมปาก กลับไม่ได้มีท่าทีของการเย้ยหยันเลยแม้แต่น้อย ย้อนถามอย่างจริงจังว่า “เหตุใดไม่บอกว่าให้เจ้ามารู้จักกับข้า?”

“จะว่าไปแล้วการแต่งงานระหว่างผู้คนแค่คงไม่พ้นเป็นเพียงการสืบพันธุ์คนรุ่นหลังเท่านั้น เรื่องความรู้สึกก็เป็นเพียงสิ่งที่แนบมาด้วย คงไม่ใช่เพราะพระเจ้าส่งข้ามาเพียงแค่ให้ข้ากับท่านทะเลาะกันไม่รู้จบฉากหนึ่งหรอก ข้ามีแนวโน้มจะเชื่อว่ามาเพื่อจัดการเรื่องนี้เสียมากกว่า” อย่างไรเสียนางก็ถูกลากมาเอี่ยวในเรื่องนี้แล้ว

“โหดเหี้ยมจริงๆ” ซ่านจินจื๋อถอนหายใจเบาๆ

“ถ้าหากคลี่คลายเรื่องนี้แล้ว ข้าค่อยพิจารณาท่านอีกครั้งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ปลายนิ้วเคาะเข้าที่ปลายคางของซ่านจินจื๋อเบาๆ แม้ว่าที่ตรงนั้นออกจะหันเหไปหน่อย แต่นางกลับรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง “รอจนกว่าจัดการธุระเสร็จแล้ว ถ้าไม่คิดเรื่องระหว่างข้ากับท่าน เช่นนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างข้ากับซ่านเซิ่งหาน”

ซ่านจินจื๋อเบิกดวงตาตาเย็นชากว้างกว่าปกติน้อยๆ ทำเพียงโอบตัวนางเข้าสู่อ้อมอก “เจ้าให้กำเนิดลูกเพื่อข้าแล้วนะ…”

“นั่นเป็นการกระทำเพิ่มจำนวนประชากรที่มาจากเจตนาของข้าเพียงคนเดียว ท่านก็เป็นเพียงเป้าหมายที่ข้าเลือก พูดอย่างเคร่งครัด การคลอดลูกก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคู่ชีวิตกัน เพียงแต่เป็นตัวแทนของภารกิจเพิ่มจำนวนประชากรในการสืบพันธุ์โดยการให้กำเนิดของพวกเราเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น” กู้อ้าวเวยจงใจพูดเรื่องราวออกมาจากชัดเจน แต่ซ่านจินจื๋อเชื่อว่าตนเป็นแขกจากนอกหล้า นางย่อมไม่อยากอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังด้วยความคิดในปัจจุบันอยู่แล้ว

“พูดมาแบบนี้ ข้าก็ควรจะไล่จีบเจ้าอย่างจริงจังอีกครั้งเสียแล้ว”

“โอ้นงลักษณ์ผู้สลักปักฤทัย งามวิไลควรคู่วิญญูชน ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณชายผู้หล่อเหลาอย่างท่านควรจะทำหรอกหรือ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ผลักใบหน้าของเขาออกไปไกลๆ เล็กน้อย ชักมือเก็บกลับมาลูบไล้รอยหมึกบนม้วนตำรา และฝืนอ่านหนังสืออย่างเชื่องช้าจนได้

ซ่านจินจื๋อเองก็คุ้นเคยกับแนวคิดและวิถีคิดเหล่านี้ตั้งแต่ต้น และหาจุดที่ไม่สมเหตุสมผลในนั้นไม่พบ อย่างมากก็แค่ล้มล้างเรื่องราวบางอย่างที่เขาเข้าใจยามปกติเท่านั้นเอง

ส่วนผิงชวนและหงเซียวที่อยู่นอกรถม้ากลับได้ยินถ้อยคำด้านในอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สบสายตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้สึกว่ากู้อ้าวเวยไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย ทั้งการกระทำและคำพูดล้วนแตกต่าง แนวคิดเช่นนี้ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

พูดคุยกันเช่นนี้ตลอดทาง ทั้งสองทั้งได้รับข่าวสารเป็นระยะๆ และหยุดพักผ่อนเล็กน้อยเป็นครั้งคราวไปพลาง

ก้าวข้ามใบไม้ร่วงสีแดง ลัดเลาะป่าเขาลำเนาไพร ระหว่างทางถึงจะมีคนตาไม่มีแววบางคนมาก่อกวนอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าราบรื่นดีตลอดทาง

ตลอดทางนี้ดวงตาทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวยล้วนมองไม่เห็น ซ่านจินจื๋อที่แต่เดิมควรจะสงวนวาจากลับเอาแต่พร่ำบ่นกระปอดกระแปดอยู่ข้างหูนางไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ทิวทัศน์ไปจนถึงเสียงนกกาที่ร้องเจื้อยแจ้วบนกิ่งไม้ เรื่อยมาตั้งแต่สายันต์ระยะไกลจนถึงฝีมือช่างปั้นน้ำตาลที่จรผ่านบนท้องตลาด ทำเอากู้อ้าวเวยรับฟังอย่างตั้งใจ และมักจะเงยหน้าขึ้นมองเขาน้อยๆ อยู่ร่ำไป

หงเซียวเบือนหน้าออกไปไม่อยากมองมากกว่าหนึ่งครั้ง “ท่านอ๋องบ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย เขาถึงขั้นยิ้มให้พระนางอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้เชียว…”

“ถ้าหากเขาอยากจะทำเรื่องต่ำช้าอะไรขึ้นมาจริงๆ ข้านี่แหละจะไม่อนุญาตให้ทำ” เส้นเลือดบนหน้าผากของผิงชวนปูดขึ้นทันใด หลายต่อหลายครั้งที่อยากตักเตือนกู้อ้าวเวยอย่างจริงจังเสียทีว่าในเมื่อมองไม่เห็น ก็อย่าส่งเสียงคล้อยตามและทำเป็นทอดมอง ในสายตาของซ่านจินจื๋อนั้นแม้จะเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์เช่นนี้ก็มีความหมายลึกซึ้งอีกอย่าง

ซ่านจินจื๋อกลับถือโอกาสโอบตัวนางเข้าสู่อ้อมกอด “วันนี้เดินมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว”

“ท่านยังไม่ได้ข่าวสารเชียวหรือ” กู้อ้าวเวยผ่อนแรงเล็กน้อย ปล่อยให้ซ่านจินจื๋อพาตนเดินเข้าไปในร้านพักแขกแบบกึ่งลากกึ่งจูง พลางกล่าวเสียงแผ่ว “ชายแดนชางหลาน ตอนนี้ยังไม่ส่งข่าวคราวมาเลย”

“เพราะฉะนั้นครั้งนี้พวกเราจะเดินทางที่ด่านเจิ้งสุ่ย” มือของซ่านจินจื๋อรวบเข้าที่รอบเอวของกู้อ้าวเวย คารวะเขาที่มือไม้เลื้อยได้ในแต่ละวัน ในส่วนมือของเขาที่อยู่บนเอวกู้อ้าวเวยเห็นบ่อยจนเคยชินไปแล้ว และเนื่องด้วยมองไม่เห็นสายตากระดากกระเดื่องของบุคคลรอบข้างจึงมีสีหน้าแลดูสงบ

ผิงชวนเร่งฝีเท้าหมายจะเดินรุดหน้าไป หงเซียวที่อยู่ด้านหลังกลับลากเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา “พวกเขากำลังคุยธุระกันอยู่”

“มือท่านอ๋องของเจ้า…” น้ำคำของผิงชวนยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกหงเซียวปิดปากเอาไว้เสียก่อน

กู้อ้าวเวยชนผู้ที่เดินผ่านมาข้างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะปริปาก นางก็ได้เอื้อมมือยัดถุงกระดาษใบเล็กลงในฝ่ามือ ส่วนมืออีกข้างก็กำแขนเสื้อของซ่านจินจื๋อเอาไว้แน่นหนา พลางปริปาก “ข่าวสารมาแล้ว”

นิ่งอึ้งไปสักพัก คนผู้นั้นก็หายไปจากหัวมุม ส่วนซ่านจินจื๋อกลับโน้มกายลงมา “หลิ่วเอ๋อมีความสามารถมากเกินไปแล้ว”

“พูดอะไรน่ะ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ พลางถูไถเข้าไปทางลูกกระเดือกของชายหนุ่ม แล้วยัดกระดาษใบเล็กๆ ใส่มือของเขา “มีเพียงคนที่รออยู่ในชางหลานเท่านั้นที่จะรู้ข่าวสารของชางหลานกระมัง”

บุบผาร้อยเสน่ห์

บุบผาร้อยเสน่ห์

Status: Ongoing

ฟิ้ววว นางข้ามพภแล้ว!!!แพทย์โดดเด่นทันสมัยกู้อ้าวเวยข้ามภพกลายเป็นลูกสาวคนโตของเฉิงเสี้ยง อยากฆ่าข้าหรือ?มีดผ่าตัดของข้าสามารถทำให้เจ้าพิการทั้งตัวเลยนะ เปิดร้านยา ช่วยชาวบ้าน ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็อยากมาคบหาข้า นี่ท่านอ๋องชายเลว เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่รึ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท