บทที่ 704 จุดประสงค์ตั้งต้น
การสนทนาในยามกลางวันทำให้จางเหยียงซานตะลึงอึ้งค้าง แต่รอกระทั่งถึงช่วงพลบค่ำ กู้อ้าวเวยทำเพียงรับฟังเสียงหัวเราะของเด็กดังลอยมาจากด้านนอก นอนแนบต้นขาของซ่านจินจื๋อจวนเจียนจะเข้าสู่นิทรารมณ์
หลังจากซ่านจินจื๋อได้ฟังคำพูดของกู้อ้าวเวย จึงได้แต่เล่าเกี่ยวกับม้วนตำราหนังแกะและพี่น้องตระกูลจูออกมาอย่างครบถ้วน สำหรับเรื่องนี้ กู้อ้าวเวยทำเพียงหาวหวอดอย่างเกียจคร้านหนึ่งที “ถ้าหากพูดแบบนี้ก็สามารถยืดอายุยืนยาวถึงสองร้อยปี ข้ากลับคิดว่าอาจมีความเป็นไปได้ แต่ถ้าหากจะเป็นอมตะไม่ตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถูก”
“เจ้าค้นพบอะไรอีกแล้ว?” ซ่านจินจื๋อนวดกระหม่อมของนาง ออกจะเสพติดเล็กน้อย
“การถ่ายเลือดไม่สามารถยืดอายุได้ แต่สามารถทำให้อวัยวะภายในของมนุษย์ยืดอายุออกไปได้ อีกอย่างข้าค้นพบว่าในนี้ยังมียาสมุนไรไม่น้อยเลยที่สามารถทำให้ผิวพรรณดีขึ้น หรือไม่ก็ควบคุมอวัยวะภายในได้ หากท่านอยากมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบปีละก็ นับแต่นี้เป็นต้นไปทานเนื้อให้น้อยลง ฝึกฝนพลังภายในให้มากขึ้น ข้าจะหาผลไม้บำรุงผิวพรรณให้ท่านส่วนหนึ่งอีกที ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทั้งนั้น” กู้อ้าวเวยปรือเปลือกตาน้อยๆ แล้วรู้สึกว่าไม่ถนัดจึงหลับลงไปอีกครั้ง “ลายเส้นสีดำบนตัวข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“ดีขึ้นบ้างแล้ว” ปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อไล้ผ่านหลังคอของนาง
อันที่จริงลายเส้นสีดำเหล่านั้นลามออกไปแล้วตั้งแต่ต้น แต่กู้อ้าวเวยมองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย
ส่วนกู้อ้าวเวยก็รู้เช่นเดียวกันว่าซ่านจินจื๋อไม่สันทัดด้านทฤษฎีตัวยา แล้วไยต้องบอกเขาว่าต้องการจะมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบปีนั้นก็เป็นแค่ความคิดเพ้อฝันมัวเมา แต่เรื่องความเป็นอมตะนี้ เป็นเขตต้องห้ามที่มนุษย์ไม่สามารถข้ามไปได้โดยง่าย ขอเพียงใครก็ตามย่างกรายเข้าไปแม้เพียงหนึ่งก้าว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อโลกทั้งใบอย่างไรบ้าง
นางโชคดีที่ตัวเองเป็นหมอ ไม่ใช่นักวิจัยวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งคนหนึ่ง
ไม่เช่นนั้นปานนี้นางคงจะไม่ถึงคงมนุษยชาติ เพียงเพราะผลไม้มหึมาที่อยู่ต่อหน้าสุกงอมแล้ว ความลับทั้งหมดที่อยู่ในนั้นใกล้จะถูกถอนรากถอนโคน หลายร้อยปีมานี้ ผู้บ้าคลั่งที่ไล่ตามความเป็นอมตะได้เข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว
เช่นนั้นนางเองก็พบจุดประสงค์สูงสุดในการมาที่นี่ของตนแล้ว…ก็คือเปลี่ยนความจริงให้กลายเป็นเรื่องหลอกลวง
“เจ้ามาจากที่ไหน?” จู่ๆ ซ่านจินจื๋อพลันถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ข้ากับบรรพบุรุษตระกูลหยุนมาจากสถานที่เดียวกัน เพียงแต่นางเดาใจคนไม่เก่ง แต่มักแบ่งปันสิ่งสวยงามทั้งหมดที่ตนเคยได้พบเจอให้ผู้อื่นฟังอย่างตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ท้ายที่สุดกลับนำไปสู่ผลลัพธ์อันขมขื่น” กู้อ้าวเวยอดสงสัยไม่ได้ บรรพบุรุษท่านนั้นมองทะลุความลับในนั้นแล้วใช่หรือไม่ หรือแค่หวังอย่างบริสุทธิ์ใจว่าจะมีคนไขปริศนาความลึกลับเหล่านี้ก็เท่านั้น
ซ่านจินจื๋อหัวเราะเบาๆ “พวกเราที่นี่ไม่มีใครจะทอดทิ้งลูกของตัวเองไปได้หรอก”
“ข้าไม่ได้ทอดทิ้งลูก เพียงแต่ทำไปเพื่อความปลอดภัยของเขา ถ้าหากเหงื่อของข้าก็มีพิษจะทำอย่างไร?” กู้อ้าวเวยตบเข้าที่ต้นขาของซ่านจินจื๋อ “ท่านเตรียมจะกลับชางหลานเมื่อไร?”
“รอจนกว่าเจ้าพักฟื้นร่ายกายอย่างสมบูรณ์แล้ว”
“ช้าเกินไปแล้ว ก็แค่กลับชางหลานเที่ยวเดียวเท่านั้นเอง ข้าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอก”
“เรื่องนี้ ต้องฟังข้า” ซ่านจินจื๋อกดศีรษะของนางเอาไว้
กู้อ้าวเวยขยับร่างกายน้อยๆ รู้ว่าตนยากจะขัดขืนซ่านจินจื๋อได้ จึงทำเพียงหลับตาและจมสู่ห้วงนิทราไป
แต่คนที่จมสู่ภวังค์ความฝันกลับไม่รู้ว่าปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อไล้วนบนฝ่ามือของนาง แม้แต่บริเวณนั้นมีลายเส้นสีดำลุกลามไปแล้ว ความเร็วของสิ่งนี้กลับยังรวดเร็วกว่าที่จินตนาการเอาไว้
หลังจากฟ้ามืดแล้วหงเซียวจึงเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง “เช่ออี้จื่อหายากยิ่งนัก แต่ซีเป่าที่เฉิงซานนำกลับมาก่อนหน้านี้ได้ส่งมอบให้จางเยียงซานนำไปใช้แล้ว ผ่านไปอีกสักสองสามวันก็น่าจะทำเป็นยาออกมาได้แล้ว”
ซ่านจินจื๋อพยักหน้า วางศีรษะของกู้อ้าวเวยกลับไปหนุนบนหมอนอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ก่อนปริปากเอ่ยต่อไป “ซางนิงอยู่กับใครที่นั่น?”
“องค์ชายสาม” แววตาของหงเซียวก็พลอยเปลี่ยนสีไปด้วย “เรื่องที่พวกเราถูกกองทัพดำล้อมสังหาร ไม่จำเป็นต้องบอกพระนางหรอกหรือ?”
“ไม่ต้องทำให้นางต้องกังวลไปก่อนสักระยะ รอถึงเวลาสุกงอกแล้ว นางจะค้นพบด้วยตัวเอง” ซ่านจินจื๋อจัดแจงเรือนผมให้กู้อ้าวเวยอย่างจนปัญญา ดึงมือของนางที่กดอยู่บนท้องน้อยออกมา ก่อนเอ่ยต่อ “ยิ่งเป็นสิ่งที่เจ้าบอกนาง นางจะยิ่งสงสัยมากเท่านั้น ปล่อยนางไปเถิด”
“ตอนนี้พระนางยังสงสัยท่านอยู่หรือ เป็นอย่างนี้ต่อไปท่านไม่กลัวว่านางจะเข้าใจผิดหรือ?”
“นางย่อมมีวิจารณญาณอยู่แล้ว คงไม่ปรักปรำข้า” ซ่านจินจื๋อหัวเราะเบาๆ “ส่งคนไปจับตามองซ่านเซิ่งหาน ดูว่าเขาสนใจต่อความเป็นอมตะหรือไม่ อีกด้านก็ไปดูด้วยว่าซ่านต้วนเฟิงนั้นหลอกใช้กู้เฉิง หรือว่าถูกกู้เฉิงหลอกใช้กันแน่”
หลังจากหงเซียวได้ฟังคำบัญชาถี่ถ้วนของซ่านจินจื๋อแล้วจึงออกไปอย่างราบเรียบ
ยามดึกสงัดไร้ผู้คน ในเรือนนอกจากมีเสียงร้องไห้เล็กแหลมของเด็กน้อยที่ดังลอยมาเป็นพักๆ แล้ว กู้อ้าวเวยเองก็ตื่นขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ทำเพียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสับสน และเพราะคิดถึงอะไรบางอย่างถึงได้นอนลงไปอีกครั้ง ส่วนซ่านจินจื๋อก็พลอยตื่นขึ้นมาด้วย ตบกระหม่อมของนางเบาๆ “แม่นมกำลังโอ๋เขาให้นอนอยู่”
“ไม่นานข้าก็จะจากเขาไปแล้ว” กู้อ้าวเวยเคาะเข้าที่อ้อมอกของซ่านจินจื๋อ “บนโลกกลัวแต่คงไม่มีแม่ที่ไม่เอาไหนยิ่งกว่าข้าอีกแล้ว”
“ในฐานะแม่เจ้าก็ไม่เอาไหนนั่นแหละ”
“หากข้าตื่นเพราะท่านทำให้โกรธ คืนนี้ท่านก็อย่าคิดจะได้นอนเลย” กู้อ้าวเวยกัดเข้าที่เรียวแขนของซ่านจินจื๋ออย่างสะลึมสะลือ ซ่านจินจื๋อจึงทำได้เพียงไม่เอ่ยวาจาอีก เป็นเรื่องยากที่จะได้ยินกู้อ้าวเวยเอ่ยถ้อยคำที่น่ารักเหล่านี้ออกมาได้เรื่อยๆ
นอนหลับไปอีกหน กู้อ้าวเวยก็แทบจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
ส่วนซ่านจินจื๋อกลับสะดุ้งตื่นหลายครั้ง หลังจากจัดการเรื่องราชการส่วนหนึ่งแล้วก็ประชิดเข้าใกล้ตอนที่กู้อ้าวเวยคลำหาคนข้างกาย
นางไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกน้อยได้ ยิ่งไม่อาจทำให้ยามนางตื่นขึ้นมาข้างกายไม่มีคนเลยสักคน มีแต่ความมืดมิดอันแสนว่างเปล่าได้เด็ดขาด
และผิงชวนที่เปลี่ยนเวรมายืนเฝ้าหน้าประตูตลอดเวลาทำเพียงมองไปทางหงเซียวที่เดินมาจากตำแหน่งไม่ไกลนัก พลางเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องของพวกเจ้าถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ร่างกายคงบุบสลายแน่”
“น่าเสียดายนักคนที่สามารถเตือนเขาได้ยังมองไม่เห็น” หงเซียวเหยียดเอวบิดขี้เกียจ หาวหวอดหนึ่งทีก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่งกับผิงชวน
เวลาเช่นนี้ทุกวันจะนำมาซึ่งข้อพิพาทในระดับที่แตกต่างกัน กู้อ้าวเวยเรียนรู้การใช้สองมือสองขาประกอบเวลาเอ่ยวาจา ส่วนซ่านจินจื๋อก็เรียนรู้วิธีการว่าจะทำอย่างไรที่จะใช้กำลังโดยไม่ทำร้ายนางแม้เพียงครึ่งเสี้ยวได้แล้ว
จื่อเหมิงเมื่อเห็นกู้อ้าวเวยถูกซ่านจินจื๋อใช้มือข้างหนึ่งกักขังไว้บนเก้าอี้อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเห็นจนชินตาแล้ว
เนื่องด้วยท้องน้อยหลังจากคลอดบุตรยังไม่ทันกลับสู่สภาพเดิม กู้อ้าวเวยจึงได้แต่สวมอาภรณ์ตัวหลวมหนึ่งชุด จึงถูกซ่านจินจื๋อกดเอาไว้แล้วสวมให้เพิ่มอีกชั้น แม้แต่นางคิดจะทดลองใช้ยาต้มที่ตนทำเอง ผลสุดท้ายก็มีเพียงแต่ชามว่างเปล่าที่ถูกส่งเข้าไปในมือของนาง
“ยาพวกนี้ให้คนอื่นทดลอง เจ้าอยู่ที่นี่รอให้พี่น้องตระกูลจูเข้ามาเสียแต่โดยดี”
ซ่านจินจื๋อชักมือที่กดนางเอาไว้กลับมา และติดกระดุมชุดให้นางแทน
มองดูชุดสีขาวเรียบง่ายตัวในของกู้อ้าวเวย ด้านนอกกลับสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเขียวที่เขาเลือกให้ เขารู้สึกว่าสบายอารมณ์นัก แม้แต่เสียงหัวเราะยังเจือความเอ็นดูหลายขนัด ปลายนิ้วโปรยตกลงไปที่ด้านหลังศีรษะของกู้อ้าวเวย พลางกล่าว “ผมต้องมวยขึ้นด้วย”
“ให้จื่อเหมิงมาทำก็ใช้ได้แล้ว”
“ข้าเคยทำสิ่งเหล่านี้ให้กับอาจารย์หญิงอยู่บ้าง” ซ่านจินจื๋อกล่าวเช่นนี้ แต่ยังคงใช้ปิ่นปักผมสีเงินด้วยท่าทางเงอะงะจัดการหวีผมเผ้าให้นาง แล้วรวบเสื้อผ้าให้นางมองดูแล้วก็พอจะปกปิดลายเส้นสีดำเหล่านั้นได้อยู่บ้าง
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพราะการเคลื่อนไหวของเขา ความรู้สึกที่มีแป้งชาดตกสู่ใบหน้าอีกครั้งนั่นออกจะแปลกประหลาดเล็กน้อย จนกระทั่งคนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแล้ว จึงทำเพียงพรมความอบอุ่นลงสู่ริมฝีปากหนึ่งหน “พวกเขามาแล้ว”
“ท่านก็ขยับปากให้น้อยลงหน่อยเถิด” กู้อ้าวเวยผลักมือของเขาออกด้วยสีหน้าเรื่อแดง พยุงขอบโต๊ะค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น เหยียดแผ่นหลังตรงอย่างสบายที่สุดเท่าที่เคยอยู่ในฐานันดรสูงศักดิ์