บทที่ 751 คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต
ชายแดนสิบสามเมือง เดิมก็ควรมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
ทว่าล้อรถเวียนหมุนรอบๆ เป็นร้อยครั้ง อ้อมผ่านทางใหญ่สองเส้นและถนนยาวหนึ่งสาย กลับไม่เห็นเงาคนแม้แต่นิดเดียว บ้านเรือนรอบบริเวณก็แสนเป็นระเบียบ แม้แต่คำบนแผ่นโลหะสีเหลี่ยมจัตุรัสก็เป็นรูปแบบอันหนึ่งอันเดียวกัน สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอาคารบ้านพักเลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นที่พักบรรดานายทหารมาอยู่อาศัยกัน อีกด้านหนึ่งยังสามารถมองเห็นกระสอบทรายและอาวุธกองทัพจำนวนไม่น้อยอยู่รำไร ห้องเล็กสองชั้นมีไม่มากนัก กลับขยายแผ่ไปแปดทิศทาง จุดศูนย์กลางของเมืองเป็นแท่นสูงแปดเหลี่ยม ดูคล้ายสถานที่สำหรับประลองฝีมือต่อสู้
“ข้าเองก็เคยอ่านแต่ในหนังสือทางการทหารบอกว่าเมือง เก้าเมือง แห่งนี้ค่อนข้างเป็นระเบียบ ตอนนี้ได้มาเห็น สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เมืองเช่นนี้ช่างน่าพิสมัยจริงๆ” กู้อ้าวเวยก็พลอยมานั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าด้วยกันกับอูกงกง ขาสองข้างห้อยต่องแต่งอยู่ด้านข้างกวัดไกวเบาๆ ดวงตาสองข้างนั้นเสมองไปทางซ่านจินจื๋ออยู่เป็นครั้งคราว เจือรอยยิ้มแปลกใหม่อยู่หลายขนัด ดูเหมือนว่าปประโยคนั้นจะออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ซ่านจินจื๋อได้แต่ถอนหายใจหากว่าเช่นนี้ก็ทำให้กู้อ้าวเวยพอใจได้แล้ว ก่อนหน้านี้คงไม่สู้ขจัดภาระรั้งกายทั้งหมดนี้แล้วท่องใต้หล้าไปพร้อมกับนางเสียดีกว่า แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทว่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มอิ่มใจของกู้อ้าวเวยแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
“หนังสือที่แนะนำเกี่ยวกับสิบสามเมืองชายแดนมีไม่มากนัก ในเมื่อพระนางได้อ่าน เช่นนั้นก็คงเป้นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนแล้ว” ดวงตาคู่นั้นของอูกงกงหรี่ลงจนกลายเป็นรอยแตกเส้นหนึ่ง ประจบสอพลออย่างยุ่งง่วนทีเดียว
สำหรับเรื่องนี้กู้อ้าวเวยเพียงแค่บอกว่าอูกงกงตาแหลมนัก ดูคล้ายคนที่มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวจริงๆ
เพียงแต่กู้อ้าวเวยกลับสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อยๆ คูเมืองที่เหมือนกับกระบวนพยุหะแปดทิศนี้ใครเป็นคนสอนพวกเขาสร้างกันแน่
ที่นี่ไม่มีประตูทวารแปลกประหลาด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแผนผังแปดทิศสี่ลักษณ์อะไรนั่นเลย อย่างมากก็มีแค่ความกลมกลืนของหยินหยาง สุริยันจันทราทรงกลดประสาน ทว่าแผนผังแปดทิศนี้กลับค่อนข้างแตกต่างกันเล็กน้อย กล่าวโดยสรุป การสร้างสถานที่สำคัญทางทหารเช่นนี้ ไม่ใช่ขอเพียงมีคนรอบรู้รูปลักษณ์ของกระบวนพยุหะแปดทิศเท่านั้น ทั้งยังต้องรู้การตกแต่งภายในนั้นด้วย และแม้แต่แผนภาพป้องกันก็ยังไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำ
ตลอดทางบรรลุถึงคฤหาสน์เพียงแห่งเดียวที่ดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง กู้อ้าวเวยทอดสายตามองไปยังซ่านต้วนเฟิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวไม้ไผ่ บนศีรษะสวมมงกุฎหยก เขาอ่อนอายุกว่าซ่านเซิ่งหานและซ่านจินจื๋อมากมายนัก มองแวบแรกก็เหมือนกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แม้กระทั่งกู้อ้าวเวยยังอายุมากกว่าเขาอยู่หลายปี เวลานี้มองไปยังความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือเจ้าหนูที่หยิ่งผยองคนหนึ่ง ไม่ได้มองว่าเขาในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้ทรงพลังคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ได้เจอกันนานเลย พระองค์หญิง…”
“เรียกชื่อข้าตรงๆ ก็พอ มีแต่ตอนที่ข้าคิดอยากกดหัวคนอื่นเท่านั้นถึงจะเรียกตัวเองว่าองค์หญิง” กู้อ้าวเวยกระโดดลงจากรถม้า ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านจากช่วงคอย้ำเตือนถึงสิ่งที่นางทำกับดวงตาของตนอยู่บ่อยครั้ง ทว่ามือกลับลูบไล้ต้นคอโดยไม่รู้ตัว ขยับกายเล็กน้อยคราวนี้จึงมองไปที่ซ่านต้วนเฟิง “เจ้าให้ข้าเข้ามา เพื่อคุยเรื่องอะไรกันแน่?”
“ซ่านเซิ่งหานควบคุมทุกอย่างที่ข้าครอบครองไปสิ้น และกักขังข้าเอาไว้ในเมืองว่างเปล่าแห่งนี้เท่านั้น” แววหยิ่งผยองบนหน้าของซ่านต้วนเฟิงพลันมลายวับไปชั่วขณะ เหลือเพียงแต่ความหงุดหงิดและไม่เต็มใจ “เขากำลังยืมมือของข้า เพื่อพาท่านกลับไป”
“หลานชายสามช่างใจร้อนนัก ในเมื่อเขาอยากให้ข้ากลับไป เช่นนั้นก่อนหน้านี้ยังเรียกซ่านจินจื๋อเข้ามาเพื่ออะไรอีกกันแน่? เขาน่าจะรู้ว่าซ่านจินจื๋อคิดอย่างไรกับข้า ย่อมไม่อาจรามือง่ายๆ อยู่แล้ว ให้เขามาที่เมืองรกร้างแห่งนี้ เจ้าคิดอยากฆ่าเขา หรือซ่านเซิ่งหานอยากฆ่าเขากันแน่?”
กู้อ้าวเวยย่ำลงบนบันได้หินอย่างไม่รีบไม่ร้อน แต่ละก้าวมาหยุดยืนมั่นต่อหน้าของซ่านต้วนเฟิง ตอนนี้นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นกลับฉายแววเจ้าเล่ห์ของสุนัขจิ้งจอกออกมา ส่วนมือหยกเรียวงามข้างนั้นเวลานี้ยิ่งกำคมดาบเอาไว้ และพาดมันลงบนลำคอของซ่านต้วนเฟิงเบาๆ “องค์ชายกบฏ เคยติดต่อกับกู้เฉิง แม้ข้าจะฆ่าเจ้าอยู่ที่นี่เสีย ก็คิดว่าคนของซ่านเซิ่งหานคงจะไม่สนใจด้วยซ้ำ”
กล่าวเช่นนี้ไปพลาง แสงปลายตาของกู้อ้าวเวยกลับมองไปที่ร่างของคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา
ผู้ชายหน้าอัมพาตยืนอยู่ทางซ้ายมือของนาง ส่วนอูกงกงผู้นั้นที่ปรับสีหน้าอึมครึม ยืนอยู่ด้านขวาของนาง
“พระนางสามารถทำทุกอย่างที่ท่านต้องการได้ แม้จะเป็นชีวิตขององค์ชายเก้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” อูกงกงโค้งคำนับให้กับกู้อ้าวเวยด้วยความเคารพ ส่วนชายหน้าอัมพาตด้านข้างก็ได้ถอดดาบออกมาเรียบร้อยแล้ว
ซ่านจินจื๋ออยู่ไกลออกไป กลับมองเห็นแววแปลกประหลาดบนใบหน้าของกู้อ้าวเวย
ครู่ต่อมา กู้อ้าวเวยพับเก็บหยุนอี้ในมือเอาไว้ ปั้นหน้าเย็นชามองไปที่ซ่านต้วนเฟิง “ไม่จำเป็นต้องฆ่าคน ตอนนี้ข้าต้องการเพียงเอาผู้ติดตามของข้ารวมถึงเมี่ยวหารกลับไปเสีย”
จงใจขบเน้นคำว่าเมี่ยวหารสองพยางค์นี้เป็นพิเศษ
ซ่านต้วนเฟิงที่อยู่เบื้องหน้ากลับชิงคว้าข้อมือของนางเอาไว้ก่อนก้าวหนึ่ง “หากท่านไม่ตามพวกเขากลับไปละก็ ชีวิตนี้ของข้าก็คงไม่เหลือแล้ว”
สีหน้าของกู้อ้าวเวยยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้สลัดมือของซ่านต้วนเฟิงออกด้วยซ้ำ ตรงข้ามกลับมองสำรวจแววสีหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน ขณะที่กำลังคิดจะกล่าวอะไรอยู่นั้น ด้านหลังของซ่านต้วนเฟิงกลับปรากฏเงาร่างของสองคนที่ไม่ควรโผล่มาอยู่ที่นี่ สีหน้าของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนไปทันที แม้แต่ประโยคเดียวก็เอ่ยออกมาไม่ได้ ทำเพียงมองไปที่ซ่านต้วนเฟิงด้วยความสะทกสะท้านเล็กน้อย “เจ้า…”
“ท่านจะต้องกลับไป ข้าไม่อยากเสียชีวิตนี้ทิ้งไปเด็ดขาด!” ซ่านต้วนเฟิงกล่าวเช่นนี้ แล้วมุ่งตรงไปดึงนางเอาไว้ “ขอเพียงซ่านเซิ่งหานได้ตัวท่านแล้ว ข้าก็จะสามารถถอยกลับไปได้เต็มสมบูรณ์”
กู้อ้าวเวยอ้าปากค้างเล็กน้อย ทว่าบนลำคอของสองคนที่อยู่ในลานนั้นได้มีคมดาบเย็นเยียบพาดเอาไว้แล้ว
นางรู้สึกเพียงว่าเย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย เลือดที่อุ่นร้อยเหล่านั้นดูคล้ายจะควบแน่นเป็นน้ำแข้ง ในสมองเหลือเพียงเสียงแผดหึ่ง ขบริมฝีปากเอาไว้แน่น นางยังคงมองไปที่ซ่านต้วนเฟิงด้วยอาการแสร้งทำเป็นเยือกเย็น “ให้ผู้ใต้บัญชาของข้าและเมี่ยวหารกลับไป”
“แต่ท่านไม่ได้พาซ่านจินจื๋อมาด้วย ข้ายังคิด…” ซ่านต้วนเฟิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
เพียงแต่ครั้งนี้น้ำคำของเขาถูกอูกงกงที่อยู่ด้านข้างตัดบทไป กริชที่อยู่ในแขนเสื้อของอูกงกงจ่อลงบนลำคอของซ่านต้วนเฟิงเป็นที่เรียบร้อย “องค์ชายเก้า ท่านอย่าได้ทำเกินเหตุมากไปหน่อยเลย เรื่องของอ๋องจริง พระนางได้บรรลุความเห็นพ้องต้องกันกับองค์ชายสามแล้วทั้งเมี่ยวหารผู้นี้ยังเป็นคนที่องค์ชายสามทรงระบุตัวเอาไว้ ไยบอกว่าจะยอมแพ้ก็ยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ แต่ผู้ติดตามสี่คนนี้สามารถกลับไปได้”
“อืม ให้พวกเขากลับไปรายงานรับคำสั่งเถิด ไม่เช่นนั้นครั้นซ่านจินจื๋อมา ทุกคนจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกันเลยสักคน”
กู้อ้าวเวยกระทั่งไม่รู้ว่านางพูดประโยคนี้ออกมาแบบเจือรอยยิ้มได้อย่างไรกัน
แม้แต่ซ่านจินจื๋อยังไม่ทันสังเกตเห็นปัญหาใดๆ ซ่านเซิ่งหานเพียงแต่ทำเรื่องรุนแรงไปหน่อยเพื่อเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ ที่แท้เรียกตนมาเป็นความคิดของซ่านต้วนเฟิงนี่เอง ทว่าตอนนี้มองไปยังสภาพซ่านต้วนเฟิงที่ถูกคนข่มขู่แล้ว ดีร้ายซ่านจินจื๋อก็เบาใจไปบ้างแล้ว
แทนที่จะปล่อยให้กู้อ้าวเวยมีเอี่ยวกับเรื่องโกลาหลภายใน ไม่สู้กลับไปที่ด่านลั่วสุ่ยแล้วสะสางเรื่องของความเป็นอมตะให้เรียบร้อยดีกว่า
เพียงแต่ซ่านจินจื๋อกลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดของเมืองรกร้างแห่งนี้ยิ่งนัก
ส่วนกู้อ้าวเวยกลับเหลือบมองซ่านจินจื๋ออีกหลายที ก่อนหันหน้าไปมองทางเบื้องหลังของซ่านต้วนเฟิงอีกครั้ง ในห้องที่แต่เดิมควรว่างเปล่าขาวโพลนเหล่านั้นไม่ได้มีผู้คน กลับมีเพียงแต่กลไกที่แน่นขนัด ลูกศรหน้าไม้ลำตัดหยาบถูกเล็งเอาไว้แล้ว
ถ้าหากคูเมืองรกร้างอื่นๆ ล้วนเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด ถ้าเช่นนั้นพวกเขาและซ่านจินจื๋อ…
ไม่กล้าคิดมากความ กู้อ้าวเวยได้แต่แสร้งเป็นแน่วแน่และมองไปที่ซ่านต้วนเฟิงซึ่งอยู่เบื้องหน้า “เจ้าชนะแล้ว”
ประโยคที่อธิบายไม่ถูกทำให้ซ่านต้วนเฟิงฉายประกายความสงสัยออกมา ส่วนกู้อ้าวเวยกลับเอ่ยปากพูดกับพวกของซ่านจินจื๋ออย่างจนปัญญา “พวกเจ้ากลับไปรับบัญชารายงานต่อซ่านจินจื๋อเถิด ไม่กี่วันให้หลังข้าก็จะออกเดินทางแล้ว”
สีหน้าของซ่านต้วนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงไม่เอ่ยอะไรสักแอะ ได้แต่ให้คนพาผู้ติดตามสี่คนวกกลับไปเส้นทางเดิม และไม่ได้ลงมือจัดการอะไร
รอกระทั่งมองซ่านจินจื๋อปล่อยมือจากไป เจ้าหนูที่แต่เดิมควรจะปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นกลับโอบกอดนางจากทางด้านหลัง หัวเราะเบาๆ “ท่านช่างฉลาดจริงๆ เชียว เดิมทีข้ายังคิดว่าต้องข่มขู่ท่านอีกหลายขนัดนัก…”
“คิดไม่ถึงว่าคนที่ซ่อนตัวได้ลึกที่สุด จะเป็นเจ้า” กู้อ้าวเวยไม่กล้าสลัดตัวออกจากอ้อมกอดของคนผู้นี้ ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความเจ็บปวดลุ่มลึก
คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ในเมื่อนางคำนวณพลาด ก็สมควรยอมรับมัน