บทที่ 750 เก้าเมือง
ท้องฟ้าเพิ่งจะทอประกาย เสียงการฝึกกองทัพในโรงฝึกค่ายทหารก็ดังขึ้นมา
ฉีหรัวถูกปลุกจนตื่นออกจะหงุดหงิดเล็กน้อย ร้องเรียกสาวใช้ด้วยความเคยชิน ข้างกายกลับมีเพียงกู้อ้าวเวยที่สวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วหยิบชุดเข้ามาในนาง นางขยี้ตาด้วยความงุนงง “ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไร?”
“สองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ข้านอนไม่ได้มากนัก” กู้อ้าวเวยสวมอาภรณ์ตัวหนา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไปเอาอาหารเช้ามาจากห้องครัวดีกว่า เจ้าก็ผลัดอาภรณ์เสีย ข้าจะบัญชาไม่ให้พวกเขาเข้ามาเอง”
กู้อ้าวเวยรีบไปรีบมา ฉีหรัวยังไม่ใคร่ได้ตื่นเต็มตัว ทำเพียงผลัดอาภรณ์แบบซึมกะทือ รอให้กู้อ้าวเวยนำอาหารเช้ากลับมา
ปากกู้อ้าวเวยก็บอกว่าจะไปห้องครัว ทว่าระหว่างทางนางเรียกพลทหารไปรับอาหารเช้ามา ส่วนตนกลับเดินมุ่งไปทางกระโจมของซ่านจินจื๋อ ตนนั้นมีเรื่องบางอย่างจำเป็นต้องอธิบายกับซ่านจินจื๋อเสียหน่อย รอประเดี๋ยวถ้าหากรอจนคนของซ่านต้วนเฟิงเข้ามา เรื่องทุกอย่างจะจัดการไม่สะดวกนัก
ครั้งนี้นางเพิ่งเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าของกระโจม ม่านประตูด้านหน้าก็ถูกดึงออก
ซ่านจินจื๋อในชุดคลุมสีดำทั้งกายพบหน้าค่าตากับกู้อ้าวเวยในเวลาเช้าตรู่ การแสดงออกทางสีหน้าอันเย็นชาดวงนั้นก็พลอยอ่อนโยนลงมาก “ยังเช้าอยู่นัก”
“ก็แค่มีบางอย่างอยากพูดกับท่าน” เมื่อคืนนางสะดุ้งตื่นจากความฝัน แต่จำไม่ได้ว่าในฝันนั้นมีอะไรบ้าง
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยแม้แต่น้อย
ซ่านจินจื๋อมองไปที่การแสดงออกแบบยุ่งเหยิงบนใบหน้าดวงนั้นของกู้อ้าวเวย มือข้างหนึ่งโอบตัวนางเข้าสู่อ้อมกอด บัญชาทหารยามที่อยู่หน้าประตูไปรับอาหารเช้าเข้ามา แล้วจึงพานางกลับเข้ามาในกระโจมอันแสนอบอุ่น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เพียงแต่เมื่อวานจู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้” กู้อ้าวเวยนั่งลงบนฟูกนอน มองไปที่ซ่านจินจื๋อซึ่งนั่งยองๆ อยู่เบื้องหน้าของตน มีความคล้ายคลึงกับสุนัขตัวน้อยที่อยู่ด้านอกยิ่งนัก จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนปริปากเอ่ยต่อไป “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า ถ้าหากคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นกู้เฉิงละก็ เช่นนั้นหลายปีมานี้เขาขับเคลื่อนอยู่ภายใต้ร่มธงขององค์ชายทุกท่าน แล้วยังปกปิดได้ดีเพียงนี้ เป็นไปได้ว่าอาจไม่ใช่เพราะจะกลายเป็นฮ่องเต้ในก้าวเดียวก็ได้”
สายตามองไปที่กู้อ้าวเวยเจือด้วยรอยยิ้ม สมองของซ่านจินจื๋อก็พลอยขบคิดขึ้นมาเช่นกัน ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน “เจ้าคิดว่า กู้เฉิงกำลังถ่วงเวลาเพื่อใครอยู่”
“มีความเป็นไปได้ บางทีเขากำลังรอให้องค์ชายพระองค์ใดเติบโตอยู่ หรือไม่ก็รอคอยให้โอกาสเหมาะมาเยือน ตัวอย่างเช่นเรื่องของความเป็นอมตะในตอนนี้ หรือไม่ก็ตั้งเป้าไปที่สถานการณ์ความวุ่นวายในปัจจุบัน” ยามที่กู้อ้าวเวยกำลังวิเคราะห์ ซ่านจินจื๋อได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากด้านนอกกระโจมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉิงซานก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางเคารพ “คนที่องค์ชายเก้าส่งมาบรรลุถึงแล้วขอรับ ขอให้ท่านอ๋องและพระนางเตรียมตัวให้พร้อม”
“ถึงกลับมาแบบเร่งรีบขนาดนี้เชียว” กู้อ้าวเวยพึมพำเสียงกระซิบ สถานการณ์ความวุ่นวายเช่นนี้ในปัจจุบันทำให้นางรู้สึกร้อนรนอย่างหาที่เปรียบมิได้ เสมือนว่าจานบ่งทิศทางที่กำอยู่ในมือก่อนหน้านี้พลันใช้การไม่ได้ขึ้นมา และทุกอย่างที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้าคือมหาสมุทรอันเวิ้งว้างผืนหนึ่ง
กู้อ้าวเวยมักจะร้อนรนด้วยเรื่องเล็กน้อยบางอย่างเสมอมา ทว่าซ่านจินจื๋อก็เห็นความไม่อดกลั้นที่นางแสดงออกเช่นนี้ไม่บ่อยนัก ได้แต่ดึงตัวนางขึ้นมา “ขอเพียงรอข้ากลับถึงเทียนเหยียนแล้ว ก็จะรู้เรื่องราวทุกอย่างเอง”
ถูกซ่านจินจื๋อดึง กู้อ้าวเวยยิ่งมองไปที่เขาอย่างนิ่งงัน “ท่านเชื่อถือได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ข้าไม่น่าเชื่อถือเมื่อไรกัน?” ซ่านจินจื๋อฉายแววดาลเดือดออกมาหลายขนัด หลังจากทำให้กู้อ้าวเวยปิดปากอย่างว่าง่ายแล้ว ย่อมต้องปลอมตัวอย่างง่ายแบบมิดชิด ปลอมเป็นผู้ติดตามที่คอยตามแจอยู่ด้านหลังเช่นเดียวกันก่อนหน้านี้
และครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแต่อูกงกงผู้นั้น ข้างกายยังมีชายหนุ่มหน้าเย็นชาอยู่ด้วยคนหนึ่ง ทว่ากู้อ้าวเวยมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถึงได้พบว่าคนผู้นี้หน้าอัมพาตแบบเต็มร้อย ความโค้งของมุมปากไม่เป็นธรรมชาติที่สุด ขากรรไกรขบแน่นแข็งทื่อ ดวงตาคู่นั้นมืดหม่นไร้แวว ยามที่มองเห็นนางก็คร่อมหน้าลงเล็กน้อย “พระนาง”
“ไม่จำเป็นต้องเรียกแบบเคารพเยี่ยงนี้” กู้อ้าวเวยโบกมือ
ทว่าชายหน้าอัมพาตคนนี้กลับได้แต่ตัวแข็งทื่อ ปริปากกล่าวซ้ำ “ไม่ทราบว่าอ๋องจิ้งจะ…”
“อ๋องจิ้งยังมีธุระสำคัญ ข้าไปเองก็ได้ แต่พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องไปทักทายปราศรัยต่อซ่านเซิ่งหาน ไม่เช่นนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาข้าไม่รับประกันทั้งนั้น โดยเฉพาะชีวิตเจ้านายของพวกเจ้า” กู้อ้าวเวยมุ่งตรงไปหย่อนกายนั่งลง หาวหวอดอย่างเกียจคร้านไปหนึ่งที กำไลเงินบนข้อมือส่งเสียงกังวานเล็กน้อย
สีหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวหลายหน กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้พูดมากความอีก ให้เขาพาตัวเองขึ้นบนรถม้าก็จบเรื่อง
ซ่านจินจื๋อแฝงตัวอยู่ในบรรดาผู้คุมติดตามก็ยังสะดุดตายิ่งนัก ยามที่อูกงกงตามขึ้นมาก็รีบเหลือบมองหลายที เมี่ยวหารที่อยู่ด้านหลังก็ตามกู้อ้าวเวยไปนั่งบนรถม้าด้วยกันแบบเลยตามเลย ชายหน้าอัมพาตคนนั้นรูดม่านออกเสียดื้อๆ “เจ้าเป็นตัวอะไรกัน”
คนใต้บัญชาของซ่านต้วนเฟิงต่างหน้าถอดสีกันหมดแล้วจริงๆ
สีหน้าของเมี่ยวหารปั้นยากยิ่งนัก กู้อ้าวเวยกลับกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “ร่างกายข้าไม่ค่อยสบาย ถ้าหากเป็นลมหมดสติก็ยังต้องมีสักคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย”
“ผู้น้อยได้ยินว่าพระนางยังมีศิษย์ท่านหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย”
“สืบข่าวมาได้อย่างชัดเจนนัก เช่นนั้นเจ้าก็คงรู้ว่าศิษย์ผู้นั้นเดิมทีก็ทำการเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่ออ๋องจิ้ง ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ข้าพาเขาไปด้วย เจ้าไม่ต้องพูดมากความหรอก มีอะไรก็ให้ข้าพูดกับเจ้านายเจ้าเลยก็พอ ออกเดินทางไวหน่อย ข้าก็จะกลับเอ่อตานได้ไวขึ้น” กู้อ้าวเวยพูดมากมาย กลับไม่กลัวว่าจะทำผิดมากมายนัก
แต่กระนั้นบนใบหน้าของชายหน้าอัมพาตผู้นั้นก็บิดเกร็งแบบไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินประโยคสุดท้าย
ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ อูกงกงจึงได้แต่รีบร้อนส่งคนออกเดินทาง พลางมองไปยังชายสี่คนที่อยู่ด้านหลังกู้อ้าวเวยซึ่งทำท่าเหมือนจะตามรถม้าไปด้วย สุดท้ายก็ขวางไม่อยู่ ยิ่งกลัวว่าจะยั่วโทโสกู้อ้าวเวย ได้แต่จำนน
ส่วนตลอดทางนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กู้อ้าวเวยเห็นว่าเมี่ยวหารจ้องมาที่ตน จึงทำเพียงกล่าวว่า “ต้องทิ้งซูพ่านเอ๋อและเยว่ชิงเอาไว้เป็นคำสั่งของซ่านจินจื๋อ ข้าก็จนปัญญากับเรื่องนี้”
“ถ้าหากท่านจะพูดอะไรหน่อย พ่านเอ๋อก็สามารถมาพร้อมกับข้าได้ ท่านทิ้งนางไว้ข้างกายของซ่านจินจื๋อปานฉะนี้ ก็ใช่ว่าจะคอยระวังข้ากับองค์ชายสามได้” บนดวงหน้าโกรธเกรี้ยวของเมี่ยวหารมีความชิงชังเพิ่มขึ้นหลายขนัด แทบอดรนทนไม่ไหวอยากใช้มีดทางสายตาฆ่ากู้อ้าวเวยไปเสียคงจะดี
ทว่ากู้อ้าวเวยก็มีใจกล้าหาญที่จะไป แม้ว่านั่งรถม้าเพียงลำพังกับเมี่ยวหารแล้วอย่างไร นางทำเพียงเอนพิงบนหมอนรองใบนุ่ม หาขนมอบน้ำตาลบางส่วนมาจากตู้ใบเล็กในรถม้า พลางแค่นหัวเราะ “นี่เป็นถึงเส้นทางมุ่งสู่ข้างกายของซ่านต้วนเฟิง เจ้าพูดกับข้าเช่นนี้ ช่างนิ่งนอนใจอย่างจริงแท้ ข้าไม่คอยระวังเจ้ากับซ่านเซิ่งหาน แล้วยังต้องระวังบิดาของลูกชายข้ากระนั้นหรือ?”
ประโยคนี้กระทบโสตของซ่านจินจื๋อ แต่น่าเสียดายเวลานี้เขาปลอมตัวอยู่ไม่อาจหัวเราะตามอำเภอใจได้
เห็นเมี่ยวหารสีหน้าคล้ำเขียว ก็ไม่รู้ว่ากู้อ้าวเวยเดาถูกหรือผิดกันแน่ สรุปแล้วคนผู้นี้ต้องคอยระวังระไว ขนมอบในมืออีกข้างหนึ่งกลับหวานเลี่ยนแบบใส่ใจรายละเอียด ดูเหมือนจะไม่ใช่ฝีมือของซ่านต้วนเฟิง คราวนี้จึงไม่เอ่ยอันใดแล้ว ทำเพียงเริ่มลงมือลิ้มรสชาติของมัน
ระยะห่างระหว่างค่ายทหารของซ่านจินจื๋อและค่ายทหารขององค์ชายเก้ามีป่าลุกผืนหนึ่งกั้นเอาไว้ กู้อ้าวเวยทำเพียงพักผ่อนบนรถม้าหนึ่งคืน รอกระทั่งยามที่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ข้างโสตกลับเงียบสงบยิ่งนัก แม้แต่เสียงนกร้องก็ยังน้อยลงมาก เมี่ยวหารไม่เพียงอันตรธานหายไป ตอนที่นางเลิกม่านรถออก อูกงกงที่เร่งรถอยู่นั้นก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “เมี่ยวหารคนนั้นไม่ใช่คนที่ดีนัก ข้ามัดเขาแล้วเอาตัวออกไปแล้ว พระนางไม่ต้องกังวลใจ”
กู้อ้าวเวยแสร้งเลิกคิ้วขึ้น ความจริงกำลังสำรวจคูเมืองที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแห่งนี้อยู่ พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าสนใจเฉพาะผู้ใต้บัญชาที่ซื่อสัตย์ภักดีสี่คนนั้นของข้าว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น”