บทที่ 820 คุณหนูโม่ซาน
“พี่ชายของข้าทำการไม่โอ้อวด หลังจากสนามล่าสัตว์ในปีนั้น เขาก็หารือกับอ๋องจิ้งเรื่องเลี้ยงปศุสัตว์ อ๋องจิ้งยังรับปากเขาว่าหากไม่ถึงคราวคับขันจะไม่รบกวนเขาเด็ดขาด ตอนนี้ภายในเมืองเทียนเหยียนสถานการณ์น่าขนลุก พี่ใหญ่โจนเข้ามาอย่างไม่ยอมจำนน แต่อำนาจรอบกายของเขายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีปัญญาจะช่วยสองฝ่ายพร้อมกันจริงๆ” โม่ซ่านกล่าวอย่างผึ่งผาย หากไม่ใช่เพราะในมือของนางยังกำกระดาษแผ่นนั้นอยู่ กู้อ้าวเวยคงตกใจในความเฉียบแหลมทันข่าวของเด็กคนนี้เข้าให้จริงๆ
โยนกระดาษลงบนผิวโต๊ะ โม่ซานยังมิวายเอ่ยหนึ่งประโยค “พี่ชายข้าบอกว่า พี่สาวข้าร่างแผนการ”
“พวกเจ้าสามพี่น้องความสัมพันธ์ไม่เลวเลย” กู้อ้าวเวยชักมือกลับมาจากน้ำอย่างเนิบนาบ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับให้สะอาดอย่างสบายๆ ก่อนมองกลับไปทางโม่ซาน “เจ้าก็ส่งจดหมายไปให้พี่ชายของเจ้า ให้เขาจัดการเรื่องของซ่านจินจื๋อเสียก่อน รอให้ทางฝั่งเขาจัดการอย่างเรียบร้อยแต่เนิ่นๆ ฝั่งข้าก็คงปลอดภัยไม่น้อยแล้ว”
“ก่อนจะไปครั้งนี้ ทหารไล่กวดตลอดทาง ท่านหอบเอานักโทษคนนี้มาด้วย ไม่กลัวถูกฆ่าขึ้นมาจริงๆ เชียว” หว่างคิ้วของโม่ซานขมวดมุ่น
“ด้านนอกฟ้าสูงทะเลกว้าง มุมทั้งสี่ทิศของราชวังก็ยากจะทำการเข้าออก อย่างไหนสำคัญกว่าพี่ชายพี่สาวของเจ้าน่าจะรู้ดี” กู้อ้าวเวยปรายตามองนางปราดหนึ่ง ก่อนมองไปที่ซูพ่านเอ๋อในมุมห้อง ประสานมือน้อยๆ “รบกวนพวกเจ้าสามพี่น้องแล้ว”
“ตอนนี้ข้าไม่เชื่อว่าท่านคือกู้อ้าวเวยแล้ว ดูท่าทางเคารพนบนอบเหมือนประชาชนคนทั่วไปนี่สิ” โม่ซานเลื่อนเก้าอี้ออก ตบบ่าของกู้อ้าวเวยเบาๆ “ก่อนที่พี่ชายจะกลับมา ท่านก็ไม่ต้องไปแล้ว พอข้าจากไป กลไกของประตูในเรือนก็จะเริ่มขับเคลื่อน”
กู้อ้าวเวยอ้าปากค้าง โม่ซานได้วิ่งไปไม่เหลือแม้เพียงเงาแล้ว
ท้ายที่สุดนางก็ไม่เข้าใจถึงประโยคนี้ของโม่ซานว่ามีนัยยะอะไรกันแน่ ขณะที่ครุ่นคิดว่าควรเอาน้ำเย็นสดชื่นอีกอ่างให้ซูพ่านเอ๋อหรือไม่นั้น ซูพ่านเอ๋อที่อยู่ในมุมห้องก็ได้ปริปากเอ่ยเสียงเย็น “ผู้หญิงคนนี้ตัดสินใจเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ครั้นกล่าวเช่นนี้ กู้อ้าวเวยพลันก็เข้าใจขึ้นมาทันที
โม่ซานกำลังลังเล รอให้พี่ชายพี่สาวมาจัดการเรื่องนี้อยู่นั่นเอง
นางขบคิด ก่อนเปิดห่อสัมภาระออกเสียเลย นำวัสดุยาและข้าวของภายในนั้นออกมาบดให้หมด ไม่เหมือนจะยกสถานที่นี้ให้สำหรับคนอื่น จู่ๆ นอกหน้าต่างก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ โม่ซานส่งเสียงสบถด่าหลายครั้ง หิ้วกล่องข้าวขนาดเล็กที่ดูสะอาดสวยงามสองกล่องเข้ามา เพิ่งคิดจะวางลงบนโต๊ะ กลับพบว่าโต๊ะสำหรับทานข้าวและโต๊ะใช้อ่านเขียนเรียนตำราล้วนถูกแทนที่ด้วยวัสดุยาอยู่เต็มไปหมด นางผงะไปชั่วครู่
กู้อ้าวเวยได้ยินเสียงดังกึก พาดผ้าขนหนูผืนหนึ่งไว้บนบ่าของนาง ก่อนดันวัสดุยาบนโต๊ะไปไว้ด้านข้าง บ้างก็วางไว้บนชั้นที่อยู่ข้างๆ หยิบอาหารในกล่องข้าวออกมาทีละอย่าง หลังจากจัดเรียงเสร็จสรรพ ก็ปริปากเอ่ย “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับขับสู้ในช่วงนี้นะ”
โม่ซานลูบศีรษะ นั่งลงทานข้าวอย่างเงียบเชียบ กู้อ้าวเวยรินน้ำให้ซูพ่านเอ๋อส่วนหนึ่ง ยังไม่ลืมเอ่ยเตือนเฉกเช่นที่ผ่านมา “อย่าก่อเรื่องเชียว”
ตอนที่เอ่ยยังตบศีรษะของนางเบาๆ อีกด้วย อาการคล้ายเอ็นดู
ซูพ่านเอ๋อถือชามพลางนั่งลงเบาะนุ่ม แต่ยังคงสะดุ้งน้อยๆ
โม่ซานจดจ้องทุกอิริยาบถของกู้อ้าวเวยอย่างไม่เข้าใจ ทว่าตอนที่กู้อ้าวเวยหมุนกายรุดหน้ามาที่โต๊ะ สายตาคู่นั้นดูเยือกแข็งเสียจนโม่ซานต้องถูปลายจมูกอย่างกระดากใจ ไม่ได้มองซูพ่านเอ๋ออีก ทำเพียงเอ่ยเสียงกระซิบ “ดูเหมือนท่านจะเฉลียวฉลาดมาก”
“ขอบคุณที่ชมเกินจริง” กู้อ้าวเวยกำข้อมือพลางนั่งลง เริ่มทานข้าวอย่างเนิบนาบ
นอกหน้าต่างหยาดฝนโปรยปราย รอกระทั่งกินอิ่มหนำสำราญแล้ว โม่ซานกำลังครุ่นคิดว่าควรไปนั่งใต้ชายคาดีหรือไม่ ไม่เช่นนั้นการนั่งร่วมกับบุคคลเฉลียวฉลาดอย่างกู้อ้าวเวยนี้ออกจะกระดากใจเล็กน้อย ทว่ากู้อ้าวเวยได้เก็บชามตะเกียบของตนเอาไว้เรียบร้อย ก่อนมองนาง “ข้าจำได้ว่าเคยอ่านระเบียนของโม่อี หากเจ้าเป็นน้องสาวของเขา ก็คงจะไม่ทำให้ชื่อเสียงอันดีงามของเขาตกต่ำ”
“คนอื่นล้วนบอกว่าพี่ชายของข้าท่าดีทีเหลว เป็นโม่อีที่ไม่มีข้อดีเลยสักอย่าง” โม่ซานหัวเราะหยัน เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนกล่าวเช่นนี้
กู้อ้าวเวยกลับใช้ปลายนิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ มุมปากเลิกขึ้นน้อย “ฮูหยินของใต้เท้าทุ้งโจวดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของเขาด้วยเช่นกัน เจ้ามีนิสัยร่าเริง พี่ชายเจ้านิสัยเคร่งขรึม พี่น้องสามคนทั้งครอบครัวล้วนรักใคร่ปรองดองกัน ดูจากข้อนี้แล้ว เป็นบิดามารดาของเจ้าที่สั่งสอนได้เป็นอย่างดี บุคคลเช่นนี้ จะต้องมิใช่พวกไม่เอาไหนอย่างแน่นอน”
“นี่ท่านกำลังประจบประแจงอยู่?”
“หาใช่เช่นนี้ไม่” กู้อ้าวเวยส่ายนิ้วเบาๆ พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “คนบางคน เป็นเพราะเอาแต่น้อยใจโชคชะตา เรียวแรงไม่เพียงพอถึงได้ท่าดีทีเหลว แต่บางคน กลับทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว ดังนั้นถึงได้เรียกว่าท่าดีทีเหลว”
โม่ซานลูบปลายคางอย่างประหลาดใจ และยิ่งไม่เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ “นี่หมายความว่าอย่างไร”
“ก็เหมือนกับสัตว์เผชิญอันตรายล้วนต้องตื่นตัว มนุษย์มีศักดิ์เป็นสัตว์ย่อมต้องมีความตื่นตัวเป็นธรรมดา พี่ชายของเจ้าก็เป็นประเภทนั้น ถึงความเก่งกาจของเขาจะยังไม่เด่นออกมา แต่คนอื่นก็ยังคงตื่นตัวอยู่วันยังค่ำ” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้น ใช้คราบน้ำวาดของบางอย่างที่ดูเหมือนคนตัวเล็กอยู่บนผิวโต๊ะ และจุดเล็กๆ ลงตรงกลางท้อง “กุญแจสำคัญ ก็อยู่ที่บุญบารมีแล้ว”
“พี่ชายเคยเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” โม่ซานมองนางอย่างข้องใจ
“ข้าจำไม่ได้หรอกว่าพี่ชายของเจ้ามีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร แต่ข้ามองเห็นเจ้า” กู้อ้าวเวยยิ้มพิมพ์ใจ ยกมือขึ้นหยิบจานชามเหล่านั้นใส่เข้าไปในกล่องอาหารจนหมด ก่อนตบเบาๆ “คำพูดแบบนี้ ไม่พ้นแค่ทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายลงหน่อยเท่านั้น สถานที่แห่งนี้เป็นของเจ้า ข้าจึงจะเป็นแขก”
โม่ซานมองดวงตากลมโตคู่ที่พราวระยับของอีกฝ่าย หัวใจพลันเกร็งแน่น “ท่านเป็นปีศาจหรือ?”
“ข้าคือธิดาอสูร” กู้อ้าวเวยกะพริบตาปริบๆ เดินไปจัดการวัสดุตรงโต๊ะที่อยู่ด้านข้างเพียงลำพัง
ฝนพรำวันสารทยังคงตกอยู่ด้านนอก โม่ซานกลับไม่มีวี่แววจะไปนั่งเล่นข้างนอกเลย ถึงอย่างไรก็ค้นพบว่ากู้อ้าวเวยคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น จึงอดจะพูดอีกหลายประโยคไม่ได้
ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกสองวันติด เวลาแห่งการพักผ่อนนั้น กู้อ้าวเวยกำลังฟุบงีบลงบนผิวโต๊ะ
ตอนที่โม่อีกลับมาจากเมืองเทียนเหยียนอย่างเร่งรีบมิได้หยุดพักม้า ก็มองเห็นฉากนี้พอดี ยังไม่ทันอ้าปาก ก็ถูกน้องเล็กผู้กระตือรือร้นปิดปากลากเข้ามาในห้องของพี่รอง โม่อีเงยหน้ามองนางด้วยความไม่เข้าใจ “เรื่องราวไม่ชอบกล ข้าต้องพูดกับนางสักคำ”
“เบาเสียงหน่อย คำพูดก่อนหน้านี้ที่พี่รองให้ข้าพูด ข้าก็บอกนางไปหมดแล้ว นางบอกให้ท่านไปช่วยอ๋องจิ้งก่อนโดยไม่ได้ลังเลด้วยซ้ำ” โม่ซานทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง ดึงแขนเสื้อมาให้เขาดู “เมื่อคืนนางช่วยข้าเตรียมยาทั้งคืนเลย บอกว่านางจะช่วยข้ากำจัดรอยแผลเป็น จากนั้นก็จะช่วยดูแลชีวิตของลูกชายคนโตของนาง ซ้ำยังบอกว่าต่อจากนี้ลายคนโตของนางก็จะต้องเข้ามาในยุทธภพอย่างแน่นอน”
โม่อีมุ่นคิ้วมองไปที่รอยแผลเป็นบนมือของน้องเล็ก ตอนเด็กๆ น้องเล็กก็ซุกซน นี่ก็ไม่ทันระวังจนถูกลวกเข้า บาดแผลขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือสองรอยนั้นประทับบนร่างของอิสตรี ก่อนหน้านี้เขายังพยายามตามหาคนให้มาตรวจดู กลับคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้จะจับพลัดจับผลูเสียได้ ก่อนกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ลูกชายคนโตคนนั้นนางไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่อ๋องจิ้งกลับบัญชาให้เขาเป็นท่านอ๋องน้อย หลายวันก่อนนี้ก็ไปเอ่อตานแล้ว จะให้เจ้าปกป้องอะไรอีก?”
โม่ซานลูบศีรษะ “ข้าเองก็ถามแบบนี้ นางบอกนางรู้ว่าลูกชายต้องการอะไร ซ้ำบอกว่ายุทธภพและราชสำนักไม่เหมือนกัน พูดว่าภายภาคหน้าท่านอ๋องน้อยผู้นั้นจะเข้าสู่ยุทธภพ และพูดอีกว่าอาจจะให้คลุกคลีอยู่กับข้าด้วย?”
โม่อีจับความคิดของกู้อ้าวเวยไม่ถูก แล้วพลอยลูบศีรษะไปพร้อมกับโม่ซานด้วย จากนั้นก็คิดไปว่าท้ายที่สุดกู้อ้าวเวยก็ได้ทำเรื่องดีงามให้กับน้องสาวของตน จึงพยักหน้าพลางกล่าว “ฮ่องเต้ได้ส่งคนมาลอบฆ่านางแล้ว”
“เร็วเยี่ยงนี้เชียว?” โม่ซานเบิกตากว้าง
“ข่าวสารในวัง เพราะท่านอ๋องเลือกท่านแม่ของกู้อ้าวเวย แม่ลูกจะช่วยได้เพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงถูกทอดทิ้ง” เสียงของโม่อียังคงเบาหวิวเช่นเดิม เหลือบเห็นหว่างคิ้วของน้องเล็กขมวดมุ่น พลางกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “นี่หาได้ทรยศต่อความรักไม่ อย่างไรเสียหยุนหว่านฮูหยินก็ยังอยู่ในหัตถ์ของฮ่องเต้ แต่นางกลับอยู่ข้างนอก ถ้าหากเลือกเช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนต่างก็มีโอกาสรอด”
โม่ซานยังคงโกรธกรุ่นเล็กน้อย กลับเหลือบเห็นว่าเวลานี้กู้อ้าวเวยมายืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่ทันตั้งตัว คำพูดเมื่อครู่เหล่านั้นของโม่อีนางล้วนได้ยินอย่างชัดแจ้ง กลับทำเพียงขยี้ตา พลางยิ้ม “เขารู้จักเหตุการณ์โดยรวมจริงๆ ว่าแต่ยังให้พวกเจ้านำคำอะไรมาบอกอีกหรือไม่?”
โม่อีบอกเล่าความหมายโดยรวมที่ซ่านจินจื๋อพูดอย่างว่างาย “ท่านอ๋องบอกว่า ดื้อรั้นก็ควรมีขีดจำกัด อย่าได้ทำผิดซ้ำรอยของท่านแม่”