บทที่ 833 ไขความลับทีละชั้น
“ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่!?” โม่ซานมองไปที่นางแบบไม่อยากจะเชื่อ
“พวกเจ้ามองมันว่าคือการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ที่จริงมันก็คือวิธีการรักษาอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า แล้วหยิบตำราหนังสือออกมา แล้วชี้ไปที่ท่อนหนึ่งในนั้น แล้วให้แค่โม่ซานดู
มันเป็นประโยคที่ตระกูลยู่เขียนแบบคลุมเครือ ความหมายเหมือนจะบอกว่าผู้นำตระกูลหยุนรุ่นนี้เคยทดลองพิษจนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อมาได้ไปสร้างแท่นบูชาทำพิธีอยู่ที่ริมแม่น้ำทางทิศตะวันออกของหลิ่งหนาน สุดท้ายก็มีชีวิตอยู่ต่อจนถึงอายุหกสิบ แต่รายละเอียดระหว่างนั้นพวกเขาไม่ได้ระบุ
โม่ซานขมวดคิ้ว “หรือว่า แท่นบูชานั่นก็จะไม่ต่างกับศาลเจ้า”
“ใช่ แต่เพราะคนที่กำลังจะตายเพราะบาดเจ็บภายใน วิธีนี้มันใช้ไม่ได้ผล หากเป็นคนที่บาดเจ็บภายนอก แล้วยังมีลมหายใจสุดท้ายอยู่ น่าจะสามารถใช้การเปลี่ยนถ่ายเลือดให้เขาได้ ส่วนเรื่องของกระดูก คิดว่าพวกเขามีเจตนาปกปิดข้อมูล ไม่แน่ว่าตระกูลซ่านในเวลานั้นก็แค่อยากจะฝังร่วมกับตระกูลหยุนเท่านั้น เลยใช่การเปลี่ยนถ่ายเลือดก็เพียงพอแล้ว แต่ว่า การกินกระดูกของอีกฝ่ายมันก็น่าจะให้ผลที่เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่เข้าใจถึงหลักของมันเท่านั้น” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ แล้วลูบคางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ของมีตำหนิอย่างข้าต้องการ ก็คือการถอนพิษ การถ่ายเลือด แต่เพราะข้าเป็นคนที่ถูกพิษ อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่ได้รับบาดเจ็บภายนอก เลยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด”
ซูพ่านเอ๋อหน้านิ่งไป เมื่อฟังกู้อ้าวเวยพูดจบแล้ว นางก็พูดว่า “อมตะแก่แต่ไม่ตายมันเป็นแค่เรื่องโกหก”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า นางมาจากอีกโลกหนึ่ง เคยอยู่ในโลกที่มีกรุ๊ปเลือดที่แตกต่าง ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีพวกกินเลือดกินเนื้อคนไม่ได้เป็นคนบ้ามาก่อน ส่วนหลักการเรื่องยาของที่นี่มันก็ไม่เหมือนกัน โลกนี้มีเรื่องประหลาดมากมาย นางไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า จะตัดสินไปง่าย ๆ ไม่ได้
แต่ซูพ่านเอ๋อกลับยืนยันหนักแน่นจนตาแดง “มันไม่ใช่เรื่องจริง ที่จริงมันก็คือการเปลี่ยนถ่ายเลือดเพื่อการถอนพิษเท่านั้น อาศัยสารอาหารจากคนอื่นมาชดเชยเลือดที่เสียไป ขอแค่เมี่ยวหารได้รู้ ……”
“เจ้าเชื่อข้าเหรอ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมา แล้วมองไปที่นางอย่างแปลกใจ “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่ข้าพูดมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง?”
ซูพ่านเอ๋อตาโต แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
ส่วนโม่ซานมองไปหนังสือที่อยู่ในมือของกู้อ้าวเวย “รู้พวกนี้แล้วยังไง?”
“เรื่องการถอนพิษของข้าก็จะง่ายขึ้นเยอะ ต้นหญ้าเช่ออี้จื่อสามารถบรรเทาพิษได้ ส่วนข้ายังมีสูตรยาถอนพิษอยู่อีกหนึ่งสูตร ที่ศาลเจ้าข้าสามารถกินยาถอนพิษพร้อมกับถ่ายเลือดออกไปส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้หญ้าเช่ออี้จื่อค่อย ๆ ปรับสมดุล” กู้อ้าวเวยพูดมาแบบนี้แล้ว นางก็หันมามองตำรา “อีกอย่าง ประตูทางตายและประตูทางเกิดน่าจะยังมีความลับอย่างอื่นอีก ไม่อย่างนั้นทำไมจะต้องมีศาลเจ้าหรือไม่ก็แท่นบูชากันล่ะ …….”
พอคิดได้แบบนี้ กู้อ้าวเวยก็ตะลึงไป เหมือนนึกอะไรออก จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“อย่างนี้นี่เอง” นางบ่นอยู่คนเดียว
โม่ซานมองไปที่นางแบบแปลก ๆ จากนั้นก็ถูกไปที่มือที่เย็นเฉียบ “ข้าเหมือนจะตามความคิดของเจ้าไม่ค่อยทัน”
“สายน้ำในชางหลานทั้งหมดของเราเหมือนจะมีต้นน้ำมาจากเจิ้งสุ่ย บรรพบุรุษมีเขียนอธิบายไว้ว่า เจิ้งสุ่ยเป็นสถานที่ที่สำคัญมาก ปัญหามันเหมือนจะอยู่ตรงนี้” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากเลือดที่ถูกพิษถูกไหลไปตามสายน้ำ คนที่ว่ายอยู่ในน้ำจะถูกพิษด้วยหรือเปล่า?”
“พิษในตัวเจ้า เหมือนจะเป็นพิษร้ายแรง แต่ว่าสายน้ำมันไหลแรง …..” โม่ซานเหมือนจะยังไม่ค่อยเข้าใจ
กู้อ้าวเวยมองไปที่ซูพ่านเอ๋อ
ตอนนั้นซูพ่านเอ๋อใช้พิษฆ่าคน ก็จัดการฝังมันลงดินไป ต่อมามีดินบนเขาถล่มลงมา เศษพิษพวกนั้นก็ไหลไปตามแม่น้ำ ยิ่งไปกว่านั้นพิษในร่างกายของนางนั้นมันฝังอยู่ในร่างกายมานานแล้ว …….
“อาจจะมีปัญหานิดหน่อย พิษพวกนี้ หากเปื้อนถูกมันเข้าก็จะเหมือนถูกพิษที่ออกฤทธิ์ช้า” กู้อ้าวเวยไม่กล้าเสี่ยง นางพยายามคิดอย่างรอบคอบ แล้วพูดว่า “แต่ว่าเรื่องของน้ำอาจจะพออธิบายได้ ศาลเจ้าน่าจะมีประโยชน์อย่างอื่นอีก ……”
เถาวัลย์ ทรายและน้ำแข็ง
กู้อ้าวเวยพยายามนึกถึงตำแหน่งของสิ่งเหล่านั้น ทบทวนอยู่หลายรอบในที่สุดก็เข้าใจ
ด่านลั่วสุ่ยที่จริงแล้วไม่ควรจะอยู่ในภาวะอันตรายแบบนี้ สายน้ำที่ไหลเชี่ยวมันไม่น่าจะทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิต แต่หลังจากมีประตูทางตายที่เต็มไปด้วยพิษเกิดขึ้นมา ตรงนั้นก็เป็นที่ที่อันตรายขึ้นมาทันที ถ้าอย่างนั้น ประโยชน์ของศาลเจ้าก็น่าจะเป็นการจัดการกับพิษพวกนั้น ส่วนเศษพิษที่รั่วไหลออกไป ก็น่าจะถูกสายน้ำซัดไปหมดแล้ว หรืออาจจะถูกน้ำแข็งปกคลุมไปหมด หรือแม้กระทั่งโดนทรายกลบไป
ถึงแม้มันเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง แต่มันก็เป็นวิธีที่ไม่ทำร้ายคนอย่างหนึ่ง
ของที่เหมือนจะลึกลับจะค่อย ๆถูก เปิดออกทีละน้อย กู้อ้าวเวยนั่งลงอย่างนิ่ง ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็รู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา นางหดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงของสายฝนดังมา โม่ซานกอดดาบนั่งอยู่ที่มุมห้อง “ในยุทธภพมีข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าไม่น้อยเลยนะ”
“ข้า?” กู้อ้าวเวยชี้ไปที่ตัวเองด้วยความสงสัย
“ยุทธภพกับราชสำนักไม่มีหรอกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันจริง ๆ ชาวยุทธหลายคนก็มีกองกำลังของตัวเอง ส่วนเจ้ามันเป็นกรณีพิเศษ ก็เหมือนกับอ๋องจิ้งที่พอมาตามติดเจ้าแล้วก็ไม่ใช้ความรุนแรงกันอีก แม้แต่ทหารของเขาก็ไม่ค่อยจะใช้อาวุธบีบชาวยุทธจนไร้หนทาง อีกอย่างเจ้าเองก็เคยเข้าร่วมงานพบปะพวกชาวยุทธขององค์ชายสามมาก่อน ชาวยุทธหลายคนทำงานให้กับคนในราชสำนักทั้งนั้น ต่อไปได้ยศได้ตำแหน่ง เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีก” โม่ซานพูดออกมาทีละอย่าง เหมือนจะชมว่ามันเป็นผลงานของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยกลับอึ้ง ๆ นางนวดหัว “เรื่องนี้เป็นเรื่องของอ๋องจิ้งกับองค์ชายสาม ทำไมมาโยงถึงข้าได้ล่ะ?”
“ใครให้ยุทธภพมีข่าวลือว่าเจ้าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองเทียนเหยียนเลยนะ แม้แต่ตงฟางซวนเอ๋อที่เป็นหญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองยังสู้เจ้าไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถึงได้ทำให้ทั้งองค์ชายกับท่านอ๋องตามจีบเจ้ากันให้วุ่น ถึงแม้จะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ในยุทธภพก็มีหลายคนอยากจะเห็นหน้าเจ้าจริง ๆ สักครั้ง คนเราชอบของสวย ๆ งาม ๆ กันทั้งนั้นแหละ” โม่ซานมองไปที่ผมด้านหลังของกู้อ้าวเวยที่ใช้ปิ่นไม้ที่เหมือนตะเกียบรัดอยู่ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่น่าสะพรึงของนางนั่น มองตรงไหนว่าสวย “สภาพเจ้าแบบนี้ พวกเขาคงไม่มีใครจำได้แน่”
กู้อ้าวเวยค่อย ๆ ก้มหน้าลง นางหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
โม่ซานมองไปที่นางอย่างไม่สบายใจ จนกระทั่งกลางดึก หลังจากทั้งสองคนหลับไปแล้ว นางถึงได้คลุมเสื้อคลุมดำแล้วแอบออกไป นางเดินออกไปในที่เปลี่ยวจากนั้นก็เลียนเสียงนกร้อง ไม่นาน ก็มีองครักษ์ชุดดำปรากฎตัวขึ้นมา
“ส่งข่าวให้ท่านพี่ด้วย ดวงตากับร่างกายของกู้อ้าวเวยเหมือนจะมีปัญหามากมาย ก่อนหน้านี้นางไปหายู่จือเพื่อขอต้นหญ้าเช่ออี้จื่อ หากเรื่องนี้ส่งไปถึงอ๋องจิ้งได้ จะต้องบอกเขานะ” พูดถึงตรงนี้ โม่ซานก็หยุดไป นางขมวดคิ้วคิดอยู่นานถึงได้พูดว่า “เรื่องการถอนพิษน่าจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดทรมานมาก ใบหน้าของนางเสียหายหมดแล้ว หากวันข้างหน้าอ๋องจิ้งยอมรับนางได้ ก็อย่าได้ทำให้นางต้องเสียใจอีก”
“คุณหนูสาม พูดแบบนี้มันไม่เหมาะมั้ง เขาเป็นถึงอ๋องจิ้งนะ ต่อไปไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นฮ่องเต้ของชางหลานก็ได้นะ แม้แต่การแต่งงานกับคุณหนูตงฟางก็ตกลงแล้ว” องครักษ์ลับขมวดคิ้ว
“เจ้าไปบอกท่านพี่ตามนี้แหละ ไม่ใช่ผู้ชายทั้งโลกหรอกนะที่จะรักแต่แผ่นดินเหมือนเจ้า หากเป็นอย่างนั้น ต่อไปเวลาเจ้าเจอคนที่เจ้ารัก คงจะเห็นคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ที่จะร้องไห้ก็คงไม่มี” พอพูดมาแบบนี้แล้ว โม่ซานก็ยังแอบบอกถึงข้อสันนิษฐานที่คุยกันเมื่อกี้ แล้วก็ฟังองครักษ์ลับทวนคำพูดอีกรอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันแล้วค่อยจากไป
ฝนค่อย ๆ ตกลงมาจากฟ้า โม่ซานกลับไปให้ห้องเก็บฟืนอย่างเงียบ ๆ เห็นทั้งสองคนยังไม่ตื่น ก็วางใจแล้วก็หลับ