บุบผาร้อยเสน่ห์ – ตอนที่ 843

ตอนที่ 843

บทที่ 843 ตกปลา

“ในเมื่อทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นหยาเหมินท้องถิ่นก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน?”

กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปากขึ้นทันใด ปลายตาฉายแววเป็นประกายเสี้ยวหนึ่ง ยกมือขึ้นรินน้ำชาให้ตนเอง “ฮ่องเต้ทำทีเป็นอภัยโทษตระกูลหยุนหวนคืนเอ่อตาน แต่ในความเป็นจริงทรงนึกอยากให้ตระกูลหยุนเป็นแพะรับบาปอยู่ดี เมื่อครู่ข้ากลับเห็นว่าคนที่องค์ชายสามให้อยู่ที่นี่กลับไม่มีร่องรอยแล้ว ดูเหมือนว่าแม้แต่ประตูชีวิตและประตูมรณะพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดูเสียแล้ว”

“ไม่ดูประตูชีวิตและมรณะ แล้วจะรู้เจตนาของฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน” โม่ซานมุ่นคิ้ว

เจิ้งฉิงคุนกลับมองไปทางแม่นางทั้งสองที่ดื้อรั้นอภิปรายถึงจักรพรรดิเช่นนี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว

จิบชาใสไปหนึ่งคำ จอกชาหมุนหนึ่งรอบในมือของกู้อ้าวเวย จากนั้นจึงร่วงลงบนผิวโต๊ะอย่างหนักแน่นมั่นคง ปลายนิ้วสั่นระริกเบาๆ มองด้วยตาเปล่าเห็นได้ว่าเส้นเลือดสีเขียวบนข้อนิ้วของนางเปลี่ยนสี ทิ้งร่องรอยเถาวัลย์สีม่วงเอาไว้ โม่ซานและเจิ้งฉิงคุนต่างจ้องมองของนางอย่างเอาเป็นเอาตาย

นางกลับไม่ได้ไยดีต่อเรื่องนี้ด้วยซ้ำ “เพราะเจตนาของฮ่องเต้ไม่สำคัญอีกแล้ว”

โม่ซานออกท่าทางไม่เข้าใจ กู้อ้าวเวยล้วงแผนที่ออกมา ปลายนิ้วลากผ่านไปมา จดจำเส้นทางจากเมืองเทียนเหยียนจนถึงตรงนี้ทีละเส้น จากนั้นจึงปริปาก “ในเมื่อฮ่องเต้ต้องการจัดการเรื่องความเป็นอมตะให้ผู้คนดู แต่เวลานี้ด่านลั่วสุ่ยอลหม่านปั่นป่วน นอกจากจะทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว ยังสามารถแยกแยะได้ว่าใครกันแน่ที่ใจทรามหวังผลกำไร ขณะเดียวกัน ก็สามารถแยกแยะว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องปริศนาแห่งความอมตะบ้างกันแน่”

โม่ซานในฐานะคนยุทธภพคนหนึ่งฟังไม่เข้าใจ เจิ้งฉิงคุนที่หลายปีมานี้สัญจรไปมาผูกสัมพันธ์กับผู้คน…เวลานี้เริ่มจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว “แต่ด่านลั่วสุ่ยไม่ได้มีคนคอยดูแล อาจเพราะฮ่องเต้ทรงมีบัญชาลงมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เจตนาของฮ่องเต้ก็มีแต่ความเป็นไปได้เพียงไม่กี่อย่าง”

“หนึ่ง ก็เพราะเขาไม่สนใจสาเหตุการตายของคนในยุทธภพ และไม่รังเกียจจะให้ตระกูลหยุนแบกรับความผิด ไม่เชื่อความเป็นอมตะเลยแม้แต่น้อย”

“สอง เขาอาศัยเรื่องนี้มาคัดกรองคนที่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่งกับคนที่ใจทรามหวังผลกำไร พวกที่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่งจะต้องมีตัณหาต่อเรื่องความเป็นอมตะอย่างแน่นอน อาจช่วยแบ่งแยกจริงเท็จได้ ขณะเดียวกัน จะได้ถือโอกาสคลำทางหาสำนักที่อยู่เบื้องหลังคนที่ใจทรามหวังผลกำไรเหล่านั้น วันหน้ายามที่จัดสอบวิทยายุทธ์จะได้จับตามองสำนักเหล่านี้ เลี่ยงมิให้ใครบางคนจับปลาในน้ำขุ่น”

กล่าวสิ่งเหล่านี้จบ เจิ้งฉิงคุนกลับค้นพบว่ากู้อ้าวเวยยกมือขึ้นลูบปลายจมูกเบาๆ มองเขาอย่างจนปัญญา “ที่เจ้าคิดนั้นรอบด้านกว่าข้านัก”

เจิ้งฉิงคุนหัวเราะสองที พลางถาม “แล้วท่านคิดอย่างไร?”

“ความเป็นไปได้อย่างที่สามที่ข้าคิด ก็คือในมือของเขายังมีวิธีแห่งความเป็นอมตะอีกประการหนึ่ง เช่นเดียวกับฮ่องเต้ทรราชในปีนั้นไม่ผิดเพี้ยน เขาต้องการชีวิตผู้คนนับพันนับหมื่น เพื่อใช้ชีวิตแลกชีวิต” กู้อ้าวเวยยังไม่ทันคิดความเป็นไปได้ประการที่สองจริงๆ อาจเพราะหลายวันมานี้นางล้วนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิหารอารามอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้

น้ำเสียงสิ้นสุด โม่ซานที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นทางฝั่งข้ายังมีความเป็นไปได้ประการที่สี่”

เจิ้งฉิงคุนและกู้อ้าวเวยทั้งสองต่างมองไปที่นาง

“เพราะเขาไม่รู้ว่าองค์หญิงเอ่อตานตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่ การปล่อยข่าวลือ อันที่จริงก็เพื่อจะตกปลา” สายตาของโม่ซานโปรยตกไปที่ร่างของกู้อ้าวเวย “ท่านมีชีวิตอยู่ เขาก็จะตามหาท่านเพื่อเอาวิถีแห่งความเป็นอมตะ ท่านตายไปแล้ว เขาจะได้ไปเอาคำตอบจากคนเหล่านั้นที่คัดกรองออกมาแล้ว อีกทั้งยังเหมือนที่ท่านพูด ในมือของเขาอาจจะยังมีวิธีอื่นอีก แต่เอ่ยถึงเป้าหมายของตระกูลหยุนแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเพื่อขจัดความพิโรธและชื่อเสียง น่าจะทำไปเพื่อคนที่มีชีวิตอยู่มากกว่า”

ขบเค้นคำว่า‘คนที่มีชีวิต’ทั้งสามกลับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

ผ่านไปเนิ่นนาน กู้อ้าวเวยก็หัวเราะพรืดออกมา “รู้สึกว่าพวกเราสามคนดูเหมือนบุคคลผู้ไม่เอาไหนสามคนเหนือกว่าจูกัดเหลียงจริงๆ แน่นอนว่าการกระจายข่าวลือของตระกูลหยุน ไม่ได้เป็นผลเสียต่อทายาทตระกูลหยุนที่จากไปเลย ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก็เพื่อจับกุมผู้สืบทอดตระกูลหยุนที่ยังยืนอยู่ในชางหลานอย่างข้าคนนี้เท่านั้น”

ถึงแม้ไม่รู้ว่าบุคคลผู้ไม่เอาไหนสามคนเหนือกว่าจูกัดเหลียงหมายความว่าอย่างไร แต่โม่ซานได้เก็บดากเข้าฝักแล้ว พลางเลิกคิ้ว “ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่านี่คือกับดัก ท่านก็ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว ข้าเป็นคนยุทธภพคนหนึ่ง ไปรอยู่จือและยู่หงในเมืองก็พอแล้ว”

“ขอบคุณมาก” กู้อ้าวเวยประสานมือคารวะ เห็นโม่ซานงอนิ้วมือ ก็รีบร้อนโยนทองคำสองพวงให้นาง คราวนี้โม่ซานจึงจากไปด้วยความปีติยินดี

เจิ้งฉิงคุนที่อยู่ทางนี้ก็พลอยตบโต๊ะ “เช่นนั้นต่อไปจากท่านเตรียมการอย่างไร?”

“ตอนนี้ข้ามีสภาพเช่นนี้ ต้องถอนพิษก่อนเป็นอย่างแรก เจ้าส่งคนไปแจ้งฉีหรัว ให้ซ่านจินจื๋อและซ่านเชียนหยวนอย่าได้กระทำการโดยใช้อารมณ์ ยามที่หน้าหนาวใกล้เข้ามา ข้าจะใช้ตัวตนอื่นมุ่งไปเทียนเหยียน” กู้อ้าวเวยกะพริบตาปริบๆ ยังยื่นรูปแกะสลักไม้ขนาดเล็กในกระเป๋าให้เขาอย่างไม่วางใจ “รบกวนนำไม้แกะสลักอันนี้ไปให้ซ่านจินจื๋อด้วย บอกเขาว่าอ๋องจิ้งสามารถแต่งงานกับสาวงามสามพันคนได้ แต่ซ่านจินจื๋อจักต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

“ยังมีอีกหรือไม่?” มุมปากของเจิ้งฉิงคุนกระตุกขึ้น

“บอกเขาอีกว่า การถอนพิษทั้งเจ็บและทรมาน ต่อไปไม่แน่ว่าทุกคืนคงนอนหลับไม่สนิท อย่าให้เขาเสียวิทยายุทธ์สูญเปล่า เลี่ยงมิให้ตอนกลางคืนมีเครื่องนำความร้อนน้อยลง” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยีพลางยัดตั๋วเงินสองใบให้เจิ้งฉิงคุน “อีกอย่าง ถ้าหากกู้จี้เหยายังไม่จากไป เตือนนางให้รีบกลับไปที่ข้างกายกู่เซิง ข้ายังมีเรื่องอยากขอร้อง”

เจิ้งฉิงคุนกลัวว่าตนจะจำได้ไม่หมด จึงให้กู้อ้าวเวยพูดใหม่อีกรอบ เขาคัดลงมาอย่างละเอียด ก่อนจะออกไปยังตบกระหม่อมหนึ่งฉาด พลางถามนาง “เช่นนั้นต่อไปท่านจะไปไหน ข้าจะได้นำความไปบอกคุณหนูรอง”

“กู้อ้าวเวยตายไปแล้ว ข้ายังอยากเป็นคนของตระกูลหยุนเช่นเดิม” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างมีความสุข มองส่งเจิ้งฉิงคุนตามรถขนส่งของสำนักคุ้มภัยเฟิงไหล จากไป ในมือยังกอดห่อสัมภาระใบใหญ่เอาไว้ ด้านในบรรจุธูปคลายอารมณ์และหมอนยาเอาไว้บางส่วน

ถึงแม้นางเองจะไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อจะได้รับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ แต่นางก็อยากทำเช่นนี้อยู่ดี

มีเพียงการจากซ่านจินจื๋อและกุ่ยเม่ยเท่านั้น นางถึงได้พบว่าตนเองคิดถึงพวกเขามากแค่ไหน

มีกุ่ยเม่ยอยู่ข้างกาย กู้อ้าวเวยมักจะนอนหลับอย่างสบายใจ และมีแต่การอยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ อภิปรายเรื่องราวมากมายอย่างแลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือไม่ก็ขอแค่ต่างฝ่ายต่างทำงานของตนเงียบๆ เท่านั้น นางจึงรู้สึกสงบใจและมั่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็นความรู้สึกเหมือนบ้านหลังหนึ่ง

แต่ครั้งนี้กลับไม่มีแล้ว

ภายในห้องโรงเตี๊ยมอันว่างเปล่ามีเพียงนางคนเดียว นางไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อได้ยินข่าวที่นางตายไปแล้วเขาจะเชื่อหรือไม่ และเป็นห่วงว่าถ้าหากต่อไปนางกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เช่นนั้นนางต้องไม่ปรากฏกายต่อหน้าบุคคลใดๆ เลย เผชิญหน้ากับตัวเองเพียงลำพัง

ครุ่นคิดสักพัก นางคลี่เปิดห่อสัมภาระของตนออก และเล่นกับวัสดุยาในมือ

กลับได้ยินเสียงปังๆ สามหน บานประตูถูกเคาะ ตอนที่นางกำลังเปิดประตูนั้น เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งจะตะกายขึ้นมา กล่าวว่า “ด้านล่างมีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังตามหาท่าน ข้างกายยังมีชายคนหญิงคนด้วย”

กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจ กลับมองเห็นว่าปลายสุดทางเดินมีศีรษะของเด็กสาวคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา ด้านหลังยังมียู่หงผู้หน้าอัมพาตคนนั้นและยู่จือที่สวมชุดผ้าโปร่งสีทองทั้งกาย นางตกตะลึงเล็กน้อย โบกมือให้กับไม่กี่คนนั้น โยนเงินพวงหนึ่งใส่มือของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ “เอาสุรากับแกล้มมาหน่อย หากมีใครมาตามหาอีกให้บอกว่าข้าไม่อยู่ เปิดห้องใหม่อีก”

ดวงตาของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์จ้องเงินในมืออย่างเอาตาย จากนั้นจึงพยักหน้าวิ่งไปอย่างรีบร้อน

เมื่อเห็นเด็กสาวตัวเล็กคนนั้นพุ่งปราดมาเบื้องหน้าของกู้อ้าวเวยอย่างรวดเร็ว กอดห่อสัมภาระพลางบุ้ยปาก “คุณหนูนี่ท่านออกมาเป็นเด็กร่ำรวยแจกเงินแล้ว!”

บุบผาร้อยเสน่ห์

บุบผาร้อยเสน่ห์

Status: Ongoing

ฟิ้ววว นางข้ามพภแล้ว!!!แพทย์โดดเด่นทันสมัยกู้อ้าวเวยข้ามภพกลายเป็นลูกสาวคนโตของเฉิงเสี้ยง อยากฆ่าข้าหรือ?มีดผ่าตัดของข้าสามารถทำให้เจ้าพิการทั้งตัวเลยนะ เปิดร้านยา ช่วยชาวบ้าน ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็อยากมาคบหาข้า นี่ท่านอ๋องชายเลว เจ้ากำลังแกล้งข้าอยู่รึ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท