บทที่ 853 คนหรือนก
“ฮัดเช้ย……”
ขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังรอคอยการมาของกุ่ยเม่ยนางก็ได้จามอย่างแรง
โม่ซานที่พึ่งกลับมาจากการเก็บสมุนไพรเมื่อครู่ถึงกับมองหน้าด้วยความแปลกใจ แต่นางกลับบีบจมูกไปมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำ“ซ่านจินจื๋ออาจจะกำลังด่าข้าอยู่ก็เป็นได้”
พอพูดจบ นางก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน มองดูตัวเองผ่านกระจกที่สวมชุดคลุมขนสัตว์ทั้งตัว เสื้อผ้าด้านล่างแทบจะเต็มไปด้วยด้ายทองด้ายเงินกุ้ยเม่ยทำเพื่อให้คนอื่นรู้ว่านางเป็นใครตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น ตรงที่คาดเอวที่น้ำเงินเข้มยังมีสัญลักษณ์ของราชวงศ์เอ่อตานแขวนไว้ ทำให้หลังจากที่นางเปลี่ยนชุดออกไปแล้ว คนในโรงเตี๊ยมต่างโค้งคำนับนางอย่างเคารพ
อย่างไรเสียกุ่ยเม่ยยังต้องอยู่ในวังหลวงจนถึงกลางคืน พวกนางจึงทำการทดลองวิจัยยาถอนพิษอย่างละเอียด
หญิงสาวกลุ่มหนึ่งชุลมุนวุ่นวายอยู่กับเครื่องยา โม่ซานก็ถือโอกาสนี้ในการเรียนรู้เรื่องวิชาการทางแพทย์ไปด้วย
พอรอจนพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนจึงนอนรวมกันอยู่ภายในห้องเดียวกัน เต็มไปด้วยเตียงนอน กู้อ้าวเวยนอนอยู่ด้านนอกสุด รอกุ่ยเม่ยกลับมาผลักประตูเข้าไป นางจึงยิ้มกลุ้มกริ่มพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆประตู มองเขาอย่างตั้งใจ“พูดคุยกันหน่อยไหม?”
กุ่ยเม่ยพยักหน้า ในขณะที่เชิญนางออกมาก็เปิดประตูด้วย
เหล่าแม่นางที่อยู่หลังผ้าม่านต่างมีความคิดของตัวเอง เพียงแต่โม่ซานพบว่าคนที่ตั้งใจหลังจากนั้นก็ปิดตาลง แล้วค่อยๆหลับไป
แต่กู้อ้าวเวยขอร้องให้กุ่ยเม่ยดึงตัวนางขึ้นไปบนหลังคา มองดูเย่นเจียงที่ในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดของยารัตติกาล แม้แต่เสียงลมยังพัดเสียงดังเล็กน้อย
“ทางกู่เซิงเรียกร้องข้อเสนออะไรมาบ้าง?”กู้อ้าวเวยนั่งลงพลางเอ่ยปากถามขึ้น
“ดูท่าเขาแล้วจะไม่ค่อยสนใจเรื่องความเป็นอมตะนะ แต่เรื่องที่จะส่งเจ้าไปเทียนเหยียนนั้น เจ้าต้องส่งตัวกู้เฉิงมาให้เขาจัดการ”กุ่ยเม่ยพูดถึงตรงนี้ ก็บีบนวดคลึงตรงขมับอย่างปวดศีรษะ“มาวันนี้กู้เฉิงเป็นนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการขององค์ชายเก้า……”
“องค์ชายเก้ามีชีวิตได้ไม่นานแล้ว ส่วนกู้เฉิงข้าก็จัดการตัดเส้นเอ็นตรงขาของเขาแล้ว เขาต้องถูกแม่ของข้าจัดการเท่านั้น ข้าจะไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว”กู้อ้าวเวยพูดจบ สายตาก็มองไปที่กุ่ยเม่ยอย่างเคร่งขรึม“นอกจากนี้แล้ว เขายังได้เอ่ยข้อเสนออะไรอีกหรือไม่?”
“ต้องให้ตระกูลยู่เป็นราชครูของพวกเขา ดูไปแล้วเขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องความสามารถของตระกูลยู่ที่สามารถทำนายโชคชะตาผ่านการดูดวงดาวได้”กุ่ยเม่ยไม่แปลกใจกับคำตอบของกู้อ้าวเวยเลย
กู้อ้าวเวยถอนหายใจดังเฮือก แล้วพิงไปที่ไหล่ของกุ่ยเม่ย เหมือนกับตอนที่ทั้งสองต้องกินกลางดินนอนกลางทรายในตอนนั้นก็ไม่ปาน ปิดตาลงช้าๆ“เจ้าลองเดาดูสิว่าข้ายังมีวิธีอะไรที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีก?”
“ข้ารู้แค่เพียงว่าเอ่อตานจำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าว ข้าสามารถปฏิเสธได้ทั้งหมด”กุ่ยเม่ยหัวเราะขึ้นมาเบา ไหล่ของเขาก็ขยับไปด้วย“อำนาจกับตำแหน่งทำให้คนตาบอดได้ง่าย แต่ก็เป็นของดีจริงๆนั่นแหละ”
“นี่สิถึงเรียกว่าฉลาด”กู้อ้าวเวยหัวเราะขึ้นมา
“เอ่อตานกับเย่นเจียงแตกแยกไม่สามารถทำให้เอ่อตานสูญเสียอะไรได้ แต่ข้าแปลกใจว่าตกลงในมือของเขามีอะไรกันแน่ที่กล้าเอามาขู่ได้”กุ่ยเม่ยคิดวิเคราะห์
กู้อ้าวเวยบอกวิธีไขความกระจ่างทั้งหมดในวันนี้ให้เขาฟังไปจนหมด เอ่ยปากพูดขึ้นเสียงต่ำ“จุ้ยเวี่ยนนั้นหายาก อาจจะอยู่ในมือของเขา อีกทั้งนำเรื่องของคนตาย สรุปแล้วรู้ว่าต้องวางมือลงก่อน เขาต้องเก็บคนที่ไว้ใจได้มาเป็นราชทายาทอย่างแน่นอน”
“เขาทุ่มวางเดิมพันทั้งหมดในการเสี่ยงวัดดวงครั้งสุดท้าย เพื่ออะไรกัน?”
“มนุษย์เรายอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ นกต้องตายเพื่ออาหาร เจ้าลองเดาดูสิว่าเขาเป็นคนหรือนกล่ะ”กู้อ้าวเวยใช้มือยันกับบ่าของกุ่ยเม่ยแล้วลุกยืนขึ้น สายตาไปตกอยู่ในความมืด แม้แต่ตระกูลผู้ร่ำรวยก็จุดไฟน้อยมาก ทั้งเมืองหลวงเหมือนอยู่ในแคว้นสีทิศ แต่กู้อ้าวเวยกลับเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง กุ่ยเม่ยมองเห็นนางกางแขนออก จึงเอ่ยขึ้น“จะมีอำนาจใหญ่คับฟ้าก็ดี หรือจะมีฐานะร่ำรวยก็ช่างเถอะ แต่เรื่องพวกต่อรองราคาน่ะ พวกเขามักจะสนุกกับสิ่งเหล่านี้เสมอ”
“ไม่มีอาหารแล้ว ราษฎรเริ่มลุกขึ้นก่อกบฏ ใครจะไปสนใจว่าเจ้าเป็นจักรพรรดิผู้พาหนีพ้นความยากจน ไร้ซึ่งอาหาร ถึงจะมีเงินทองกองเท่าภูเขา ก็หนีไม่พ้นเถ้ากระดูกหรอก”
“ให้อาหารกับพวกเขา ถือเสียว่าเลี้ยงสุนัข สวมโซ่ล่ามตรวน ในภายภาคหน้ามันจะได้กล้ามากัดเจ้า”
“แต่มาวันนี้หากเจ้าปล่อยให้เขากัดเจ้าหนึ่งครั้ง เขาก็จะกลายเป็นหมาป่าผู้หิวโซ แต่เจ้าก็จะกลายเป็นคนที่โดนกัดเนื้อแหว่งไป การเจรจาต่อรองไม่สำเร็จ ไม้กระบองหนาในมือย่อมมีประโยชน์เสมอ”
กู้อ้าวเวยเหยียบอยู่บนกระเบื้องบนหลังคาแผ่นหนึ่งแล้วหมุนหนึ่งรอบ ดวงตาสีเทาหม่นแสงคู่นั้นมีความแดงฉานขึ้นท่ามกลางความมืดยามรัตติกาลเล็กน้อย และมุมปากนั่นยังคงยกยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ“เจ้าให้อาหารกับเขา ถ้าหากเขายังอยากกัดเนื้อของเจ้า เจ้าก็บิดคอของเขา”
“เจ้าก็จะยิ่งเหมือนกับคนที่มีอำนาจนั่งอยู่เหนือคนอื่น”กุ่ยเม่ยอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองไปที่นาง พระจันทร์สุกสกาวส่องแสงสว่างอยู่บนศีรษะของนาง ดูเฉียบคมมากกว่ามีดตัดนั่นหลายเท่า แต่แผ่นหลังของนางคือลม ปลายส้นของนางคือเหวลึก
“เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากนั่งเหนือคนอื่น เพราะฉะนั้นข้าถึงสามารถทำตามอำเภอใจได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวใครยังไงล่ะ”กู้อ้าวเวยหัวเราะพลางสูดลมหายใจเข้า เงยหน้าไปมองพระจันทร์ที่ส่องแสงสกาวระยิบระยับ แล้วเอ่ยออกมาอย่างช้าๆว่า“อิสระนั้นได้มายาก แต่ก็ปล่อยไปตามใจ”
กุ่ยเม่ยก็ลุกขึ้นยืนตามนาง แล้วกระชากนางเบาๆ“บิดคอผู้อื่น แล้วจะต้องตายอีกเท่าไหร่กัน”
“คนเราพอถึงเวลาก็ต้องตาย แต่พวกเขาเห็นด้วยที่กู่เซิงเป็นฮ่องเต้ของพวกเขา แน่นอนว่าต้องได้รับสิ่งที่ก่อไว้ แต่ขณะเดียวกันข้าก็จะช่วยชีวิตคนเหมือนกัน เพราะว่านี่เป็นหน้าที่ของข้า”กู้อ้าวเวยหัวเราะพลางกุมมือของกุ่ยเม่ยแน่น แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ“ถ้าเมื่อก่อนเจ้าคิดได้เร็วขนาดนี้ ข้าก็คงไม่ชอบซ่านจินจื๋อแล้วล่ะ”
“เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พวกเราทั้งคู่ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่พี่น้องกัน”กุ่ยเม่ยก็หัวเราะตาม ถ้าหากสามารถเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนได้ เขาคงจะมองหน้ากู้อ้าวเวยด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วล่ะ แต่มาวันนี้ กลับเข้าใจได้ในทันที
ไม่เพียงเขาจะไม่สามารถก้าวถอยหลังได้ ยังไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปได้อีกด้วย แต่จะต้องอบรมสั่งสอนสุนัขตัวนี้ให้ดี
กู้อ้าวเวยก้าวขึ้นมาข้างหน้าไม่กี่ก้าว แล้วผลักเขาออกไป พิงอยู่กับไหล่ของเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ“แต่ก่อนเรื่องที่ข้าขอร้อง ยังจำได้อยู่หรือไม่?”
“จำได้”สายตาของกุ่ยเม่ยดูเคร่งขรึมขึ้น แน่นอนว่าเขายังจำได้ว่าถึงคืนวันฝนตกของเอ่อตาน กู้อ้าวเวยเคยพูดอะไรไว้บ้าง เขายกมือขึ้นดึงกู้อ้าวเวยมาอยู่ตรงหน้าของเขา มีกระเบื้องแผ่นหนึ่งเคลื่อนตัวเบาๆ กู้อ้าวเวยรีบเก็บกลัวจะตกร่วงลงไป
แต่เหมือนกู้อ้าวเวยจะไม่ทันได้สังเกตเห็น จึงหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็จะกลับมาที่นี่ ในเจิ้งสุ่ยมีจิตวิญญาณของข้าในนั้น”
“เพราะเหตุใดไม่บอกกับท่านอ๋องตรงๆล่ะ?”
“ถ้าหากข้าเงียบงำไม่มีข่าวคราวใดๆ ก็ไม่ต้องไปบอกกับเขาแล้ว”กู้อ้าวเวยตบแล้วที่หลังของเขา“พาข้าลงไปเถอะ ข้าง่วงแล้ว”
กุ่ยเม่ยนำคนไปส่งถึงห้องของตนเอง ด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ไม่ได้หลับสบายมานานขนาดนี้แล้ว”กุ่ยเม่ยวางนางลงบนเตียง เขายังคงพิงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วหลับตาลงงีบเพื่อบำรุงร่างกาย บนตัวยังมีเสื้อผ้าที่สวมอยู่เพื่อแสดงตำแหน่งของเขา
ขยับเคลื่อนตัวอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลาย ทันใดนั้นกู้อ้าวเวยก็ไม่รู้สึกคิดถึงซ่านจินจื๋อมากขนาดนั้นแล้ว
วันที่สอง แม้แต่ถึงตอนค่ำมืดกุ่ยเม่ยก็ไม่ได้กลับไป จนกระทั่งถึงวันที่สามถึงได้บิดขี้เกียจอยู่ต่อหน้ากู้อ้าวเวย แล้วยกมือขึ้นนำขนมหวานยัดใส่อกของนาง แล้วบอกกับนางไปว่า“เมื่อทุกอย่างแก้ไขเสร็จแล้ว ราชทูตพวกนั้นจะกลับไปรายงาน”
“ทำได้อย่างไร?”
“ข้ามีวิธีตัดเสบียงอาหารทั้งหมดของเขา ให้พวกเขาหิวตาย”กุ่ยเม่ยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของกู้อ้าวเวย ยกมือขึ้นนำสิ่งที่สนับเข่าออกมาจากหน้าอกเพื่อสวมใส่ให้นาง ยังไม่ลืมที่พูดขึ้นมาอีกว่า“รีบสวมไว้ซะ ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องเห็นต้องมาหาเรื่องข้าแน่”
“ทำไมข้าฟังแล้ว เหมือนรอบกายข้ามีแต่สิ่งอัปมงคลล่ะ”กู้อ้าวเวยกระตุกยิ้มตรงมุมปาก คนที่อยู่ข้างๆไม่กี่คนต่างมองไปที่เขาเหมือนกับเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ท่าทางจงรักภักดี
“น้าหยุนกับพ่อของเจ้าต่างพากันตำหนิข้า อีกทั้งเจ้าเจ้าก็น่าจะรู้ด้วยว่าท่านอ๋องเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเพียงใด ข้าอยากเห็นเจ้ากลับไปด้วยบาดแผลมากมายเต็มตัวขนาดนี้ คนที่โดนจัดการคงจะเป็นข้าอย่างแน่นอน”
“นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสักหน่อย”
“แต่ข้ารับเจ้ามากลางทาง สงสารข้าเถอะ คุณหนูใหญ่”กุ่ยเม่ยตบไปที่เข่าของนางเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน มองไปตรงนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง“ข้าได้ส่งคนไปไปสร้างลานพิธีแล้ว”