บทที่ 856 สัญญาณอันตราย
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมีวิธี!”
“จะ……เจ็บจนตาย……”
“ลองเสี่ยงหนึ่งครั้ง……”
เสียงอื้ออึงดังอย่างไม่แน่นอน ความเจ็บปวดที่เหนือจากที่คาดการณ์ไว้แผ่ซ่านไปทั่วเส้นประสาททั่วร่างกาย นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับเลือดถูกจุดไฟสุ่มจนร้อนระอุ สถานการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้เต็มสมองของนางในตอนนี้ ชิงต้ายที่อยู่ในคุกร้องโหยหวนขึ้น มีดคมกรีดที่แทงทะลุเข้ามาบนหน้าอกของเขาในคืนวันเข้าหอ ยังมีร่างกายอันเย็นเฉียบดุจดั่งเหล็กกล้า และใบหน้าของคนผู้นั้นที่อยู่ท่ามกลางลมหนาวในหิมะ
กู้อ้าวเวยบัณฑิตที่เคยรักใคร่ยืนยิ้มอยู่ไกลๆ แต่กลับแหลกสลายเป็นฝุ่นธุลี บนพื้นดินเหลือไว้แต่เพียงหญ้าที่มีคราบเลือดเก่าอยู่บนนั้น ด้านหลังของป้ายหยาเหมินที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามีดวงตาของหมาป่าหลายคู่จับจ้องอยู่
ใบไม้ที่ปลิวกระจายไปทั่วท้องฟ้า ยังมียันต์ทองปายกู่นับไม่ถ้วน ฝนซัดกระหน่ำในเขาหยินซาน บทเพลงอันไพเราะของทิงเฟิงโหล
รอจนกระทั่งนางหวนย้อนกลับไปยังอดีตทั้งหมดแล้ว หัวใจของนางก็เหมือนก็มีใครเอามีดแทงเข้ามาอย่างแรง นางค่อยๆลืมตาอันหนักอึ้งขึ้นมา ม่านตาดำของนางหมุนวนเป็นวงกลมปรากฏสัญญาณอันตรายขึ้น ข้างๆหูมีเสียงร้องอย่างตกใจของกุ่ยเม่ยดังขึ้น“นางฟื้นแล้ว!รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีความรู้สึกว่าอะไรไหลผ่านเข้ามาในหลอดลม แล้วนางก็หลับไปอีกครั้ง
นางมองเห็นจุ้ยเวี่ยนมัดหนึ่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน
แต่นางไม่สามารถก้าวขาได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆตื่นจากภาพที่เห็นอยู่อย่างช้าๆ ไปแล้วก็หลับอีกนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งนางเงยหน้าขึ้นมา ตรงหน้าของนางคือสวนหย่อมในจวนอ๋องจิ้ง คนผู้นั้นจับถ้วยน้ำชานั่งอยู่ข้างกายของนาง แล้วยิ้มบางพลางพูดขึ้นมาว่า“เจ้าหลับใหลไปนานมากแล้ว”
นางตกตะลึงโดยไม่พูดเอ่ยอะไร ถ้วยน้ำชาในมือของคนผู้นั้นถูกวางลงมาพร้อมเสียง แล้วก็หายไปกับฝุ่นธุลี ในท่ามกลางฝุ่นธุลีนั้น มีเชือกแดงเส้นหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ ตอนแรกมันควรจะเป็นเชือกแดงที่มัดอยู่บนข้อมือของนาง
ตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ นางแทบจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง นางจับไปที่เสื้อบนหน้าอกแน่นในหูของนางได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ หัวใจของนางเหมือนมีมีดกรีดเฉือน กลุ่มแสงประหลาดในตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาแล้ว นางมองร่างของคนที่เข้ามาใกล้อย่างตกตะลึง แต่กลับกำหมัดแน่น
โม่ซานที่กำลังเฝ้าดูอาการอยู่ถูกท่าทีของนางทำให้ตกใจ จนต้องรีบเดินไปข้างหน้า ยื่นมือไปจับมือของนางจนแน่น สายตาไปตกอยู่ที่บาดแผลสองแถบบนแขนของนาง พอนึกถึงสิ่งที่ยู่จือสั่งไว้จึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“ข้าคือโม่ซาน”
“ข้าไม่รู้จักคนที่แซ่โม่แม้แต่คนเดียวถึงจะถูก”กู้อ้าวเวยรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจ
โม่ซานขมวดคิ้วเป็นปม ไม่เข้าไปใกล้อีก แต่รีบวิ่งออกไปตามกุ่ยเม่ยกับยัยไง่หงเข้ามา แต่คนที่อยู่บนเตียงสวมเพียงเสื้อตัวในกลับคว้าตัวของยัยไง่หง แล้วสายตาก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างสับสน“ข้า……รู้สึกแปลกใจเหลือเกิน”
ยัยไง่หงเบิกตากว้างเล็กน้อย รีบกระโดดขึ้นมาอยู่บนเตียงของกู้อ้าวเวยอย่างไม่คิดอะไรอีก พยุงนางนอนราบอีกครั้ง“คุณหนูเจ้าคะ ท่านต้องพักผ่อนก่อน พวกเขาเป็นสหายของคุณชายเจ้าค่ะ”
“ข้าแปลกใจมาก”กู้อ้าวเวยยังคงจับไปที่เสื้อตรงหน้าอกแน่น ดวงตาคู่หม่นหรี่ตาลงพยายามอยากทำให้รูปร่างของคนตรงหน้าชัดขึ้น แล้วเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งผาก“บัณฑิตผู้นั้น……เป็นใคร?”
ประโยคนี้ทำให้กุ่ยเม่ยหลุดจากภวังค์เล็กน้อย แม้แต่ยัยไง่หงยังไม่เข้าใจเลย
บัณฑิตผู้นี้ ก็คือคุณชายรองของพวกนางอย่างนั้นหรือ?
แต่ในตอนที่นางกำลังคิดที่จะถามต่อไป อ้ายจือที่อยู่ตรงประตูก็ส่ายหัวให้นาง ยัยไง่หงทำได้เพียงแค่อยู่ดูแลคอยปลอบขวัญกู้อ้าวเวยต่อไป กุ่ยเม่ยเดินออกไปจากประตูอย่างหัวเสียมองไปที่ยู่จือที่นิ่งสงบอย่างโกรธเคือง“นี่เป็นการพนันอย่างที่เจ้าบอกอย่างนั้นหรือ!”
“ลูกต้นแดงมีผลทำให้เจ็บปวด แต่พิษภายในร่างกายกับพวกสมุนไพรไม่สมดุลกันตั้งแต่แรกแล้ว พอเพิ่มลูกต้นแดงเข้าไปไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพูดกับพวกเจ้าแล้วว่า ลูกต้นแดงจะไปรบกวนระบบประสาทของคน มาวันนี้ความทรงจำของนางอาจจะตีกันจนวุ่นวาย รอผ่านไปครึ่งปีไม่ใช้ลูกต้นแดงแล้ว นางก็จะกลับมาเป็นปกติเองนั่นแหละ”บนใบหน้าของยู่จือมีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่กลับขยับเข้าไปข้างๆของยู่หงอย่างเงียบๆ
อ้ายจือรีบเดินเข้ามาขวางกุ่ยเม่ยด้วยความโกรธ แล้วมองไปที่เขา“สายตาของนางในตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย พวกเราต้องหาหมอมารักษานาง”
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าการชุบชีวิตครั้งแรกประสบความสำเร็จ?”
โม่ซานเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน กอดดาบไว้แนบอกแล้วเดินเข้าไปด้านใน“นางเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด แต่ถ้าหากความทรงจำสับสนวุ่นวาย จำเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นมา แล้วใครกันจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าการทดลองในครั้งนี้สำเร็จ ”
พอพูดจบ ทุกคนก็ตกอยู่ในภาวะความเงียบ
อ้ายจือกับยู่จืออาจจะไม่เข้าใจเหตุและผลในนั้นก็ได้ แต่ในที่สุดพวกนางก็ไม่ใช่คนที่สามารถรักษาคนได้
พอเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ โม่ซานก็ทำได้เพียงแค่เดินไปข้างหน้า แล้วตบบ่าของกุ่ยเม่ยเบาๆ“อย่างไรเสียนางก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว หลังจากนี้เพียงแค่ต้องให้เวลานางได้ทำความรู้จักกับพวกเราก็พอ ไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ ทักษะทางการรักษาก็จะเป็นของนางตลอดไป”
ในสายตาของโม่ซานมีรอยยิ้มเล็กน้อย ดูแล้วช่างผ่อนคลายยิ่งนัก
กุ่ยเม่ยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วพยายามสงบจิตสงบใจลงเล็กน้อย“ข้าใจร้อนมากเกินไปหน่อย”
“ถ้าหากพี่สาวกับพี่ชายของข้าพูดเช่นนี้ ข้าก็คงรู้สึกใจร้อนนั่นแหละ นี่เป็นเรื่องปกติ”โม่ซานตบบ่าของเขาเสร็จก็เดินออกไปข้างนอก ไปสั่งให้คนเตรียมอาหารเข้ามา
พอรอจนถึงกลางคืน ยัยไง่หงกว่าจะทำให้กู้อ้าวเวยที่อยู่ในอาการตกใจสงบลงได้ นางเดินคลำไปที่ห้องข้างๆ แล้วบอกกับกุ่ยเม่ยว่า“นางจำคุณชายของข้าไม่ได้แม้แต่น้อย จำข้าได้คนเดียว นางยังจำเจ้าได้ แต่ว่านางจำได้เพียงว่าเจ้าเป็นลูกกระจ๊อกของชิงต้าย อีกทั้ง……”
“อีกทั้งอะไร?”กุ่ยเม่ยกำหมัดแน่น
“นางบอกว่าคนที่อยู่ในใจของนางคือบัณฑิตคนหนึ่ง เป็นบัณฑิตที่หน้าตาสะสวยกว่าสตรี”ในตอนที่ยัยไง่หงพูดนั้น นางยังรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลย“ในความทรงจำของนางอ๋องจิ้งยังเป็นท่านอ๋องผู้เหี้ยมโหดอยู่ แต่ว่านางยังบอกอีกว่านางกับฉีหรัวมีความสัมพันธ์อันดี ยังถามข้าว่าชิงจือกับอี้จื๋ออยู่ไหน”
ใบหน้าของกุ่ยเม่ยเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เหตุใดนางถึงจำเรื่องพวกนี้ได้ ลำดับทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
ยู่จือที่กำลังนอนหลับไปอย่างเพริศพริ้มกลับหัวเราะเสียงดังออกมา“ตอนนี้พวกเจ้าใครอยากจะพานางกลับไปหาอ๋องจิ้ง ถ้าอย่างนั้นก็มีอะไรสนุกๆให้ดูแล้วล่ะ……หึๆๆ!”
ยู่หงยกมือขึ้นปิดปากของนาง แล้วมองไปยังกุ่ยเม่ย“นางเป็นแบบนี้ไปแล้ว เจ้าพานางกลับเอ่อตายไปเถอะ”
“นางคงไม่ยอมหรอก นางบอกว่านางจำได้ว่าตนเองจะต้องไปทำธุระที่เมืองเทียนเหยียนเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”ยัยไง่หงนั่งลงอย่างหัวเสีย“ตอนนี้นางยังกลัวอยู่เลยนะ เรื่องของพ่อแม่ก็เหมือนกับจะจำได้อย่างเลือนราง”
ไม่รู้จะพูดอะไร กุ่ยเม่ยนวดคลึงขมับอย่างปวดศีรษะ“นี่คือความเป็นอมตะอย่างงั้นหรอ……”
“ถ้าหากว่าข้าไม่แทงลงไป นางอาจจะตายไปแล้วไปได้ อีกทั้งพิษที่อยู่ในร่างกายนางในตอนนั้น ต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน ข้าเพิ่มเปิดประตูทางตายได้ไม่นานเองนะ”ยู่จือกอดอกแน่น แล้วตัวสั่นเทา นางจะไม่ยอมทดลองอะไรง่ายแน่
โม่ซานที่อยู่ตรงมุมห้องหัวเราะขึ้นมา“ข้ากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดี”
“หมายความว่าอย่างไร?”อ้ายจือถาม
“ของที่นางซ่อนเอาไว้เมื่อก่อน ตอนนี้ไม่มีที่จะให้ซ่อนแล้ว”โม่ซานแสยะยิ้ม ยกมือขึ้นชี้ไปที่ขมับของตนเอง
กุ่ยเม่ยตะลึงไปชั่วครู่ ในตอนนั้นเองเขารู้สึกว่าอาศัยช่วงจังหวะของคนที่กำลังมีความอันตรายเป็นวิธีที่ดี