บทที่ 861 ทดสอบความเท็จจริง
“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”
ซ่านจินจื๋อที่กำลังเช็ดผมที่เปียกชุ่มเดินอ้อมออกมาจากหลังม่าน สายตาของเขาไปตกอยู่ที่หญิงสาวที่ถูกเสื้อคลุมขนสัตว์ห่อหุ้มอยู่ด้านใน นางมุดตัวอยู่ในมุมๆหนึ่ง ใช้สองมืออุ้มเสี่ยวป๋ายขึ้นมา เสี่ยวฮัวกำลังนอนอยู่ตรงเท้าเล็กของฝ่ายตรงข้ามพลางเลียอุ้งมือไปด้วย ใต้อุ้งเท้ายังเหยียบถุงที่ถักขึ้นด้วยเชือกไว้ใส่ของของกู้อ้าวเวย
“เจ้าแมวดื้อ”ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยกำลังวาดผ่านบนหลังของเสี่ยวป๋ายไป
“อากาศหนาวขนาดนี้ ทำไมไม่ไปอยู่บนเตียง?”ซ่านจินจื๋อรู้สึกว่าขนอันอ่อนนุ่มบนตัวของเสี่ยวป๋ายช่างบาดตายิ่งนัก เขาเดินไปข้างหน้าอยากจะคว้าข้อมือบางของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับถูกเสี่ยวฮัวใช้กรงเล็บข่วนเข้าให้
“ข้าก็อยู่ค้างคืนที่นี่แล้วไง ข้ายังมีลูก เจ้ายังมีชายาที่ยังไม่ได้เข้าพิธี เรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อก่อนข้าสามารถคิดเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ไม่เลวนะ”กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆแล้วนำเสี่ยวฮัวเข้าไปในอ้อมกอด แมวทั้งสองตัวทำตัวสนิทอย่างน่าแปลกใจ ยิ่งติดกลิ่นหอมบนกายของนาง
ซ่านจินจื๋อหยุดชะงัก เสียงของเขาเย็นชาขึ้น“แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่……”
“แน่นอนว่าข้าจะปกป้องเจ้าเอง ช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าไม่เคยคิดที่จะใช้บุรุษร่วมกับใครมาก่อน”กู้อ้าวเวยกะพริบตาปริบๆด้วยดวงตาสีเทาคู่นั้นอย่างไร้เดียงสา มือข้างหนึ่งค่อยๆนำเสี่ยวป๋ายมาแนบอกอย่างเบามือ แล้วค่อยๆนำเท้ายัดเข้าไปในเสื้อคลุมขนสัตว์ หาท่าที่สบายที่สุดเอนกายลงไป
ในตอนนั้นซ่านจินจื๋อไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร สายตาของเขามีความเย็นยะเยือกเพิ่มมากขึ้น แล้วสุดท้ายก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“เจ้าขึ้นไปบนเตียง ตรงนี้มันหนาว”
“ตรงนี้ใกล้เตาผิงไฟหน่อย”กู้อ้าวเวยกดคอลงไป ใช้มือข้างหนึ่งอยากจะกดตัวของเสี่ยวฮัวเข้าไปในอ้อมกอด แล้วพูดต่อไปว่า“อีกทั้งตอนนี้ข้ายังไม่มีแผนจะเสี่ยงอันตรายใดๆทั้งนั้น เจ้าวางใจเถิด”
มุมปากของซ่านจินจื๋อกระตุกขึ้นเบาๆ คิดแล้วคิดอีก เขาตรงเข้ามาอุ้มคนขึ้นมา แล้วโยนขึ้นไปบนเตียง แล้วโยนเจ้าลูกแมวสองตัวที่เกะกะเข้าไปในรังนอนของพวกมัน ขยับเตาผิงไฟเข้ามาอีกหน่อยด้วยตัวเอง แล้วเปิดหน้าต่างแง้มออกเล็กน้อย“นอนเถอะ”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แต่กู้อ้าวเวยกลับไม่สับสนอะไรอีก
แต่นางก็ยังคงตามซ่านจินจื๋อกลับไปอย่างไม่ดื้อรั้น ส่วนใหญ่จะมาจากความเคยชินของร่างกาย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจกลับมีเสียงร้องเรียกอย่างโหยหวน อยากจะไปตามหาบัณฑิตคนนั้น ชายหนุ่มที่มีชีวิตอยู่ในความทรงจำของนาง
นางนอนหลับไป จนกระทั่งหลังจากที่แสงแดดส่องกระทบอยู่นาน นางถึงได้ค่อยๆตื่นขึ้นมา หรี่ตาลงแล้วพินิจพิเคราะห์ถึงม่านที่ไม่รู้ถูกปล่อยลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าก้อนกลมในอกร้องเรียกเมี๊ยวๆอยู่หลายครั้ง นางยิ้มบางแล้วดึงม่านออก ลำพังแค่หารองเท้าก็ใช้เวลาไปมากพอสมควรแล้ว หรี่ตาลงแล้วเดินออกไปด้านนอก แต่กลับชนเข้ากับนางกำนัลที่อยู่ตรงข้างๆประตู
นางกำนัลรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นอย่างเสียงดังว่าคุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย
กู้อ้าวเวยตกใจเป็นการใหญ่ รีบใช้มือจับตรงกรอบประตูเดินออกไปด้านนอก ในมือยังอุ้มเสี่ยวป๋ายไว้“ยู่จือล่ะ?”
นางกำนัลยิ่งร้องดังขึ้นไปอีก
เสียงรบกวนจนทำให้นางปวดศีรษะ กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นนวดคลึงไปตรงที่ขมับ กำลังคิดว่าถ้าหากถามพวกนาง นางสู้ไปตามหาเองดีกว่า ครั้งนี้เพื่อเป็นการไม่ให้ชนใครเข้าอีกนางเดินช้าลง แต่ก็กลับได้ยินเสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยดังขึ้นเรียกนางไว้“แม่นางยู่ชีงได้โปรดหยุดก่อน!”
นางหยุดฝีเท้า เห็นเพียงแค่เงาของคนกำลังพาคนเดินมุ่งตรงมาทางนี้ นางเอียงศีรษะเบาๆ“มีอะไรหรอ?”
“ข้าน้อยเป็นคนคอยรับใช้ข้างกายของฮ่องเต้ ท่านเรียกข้าว่าหวางกงกงก็พอแล้ว”หวางกงกงยิ้มตาหยีพลางพูดไปด้วย แต่ถ้าหากมองให้ดีๆแล้ว จมูกกับดวงตากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว อีกทั้งร่องรอยเทาขาวตรงลำคอภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ยังมีอยู่จางๆเล็กน้อย สีผิวก็เหมือนจะเป็นสีเทาขาว
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยถือว่าเป็นการตกลง อุ้มแมวน้อยแล้วเดินต่อไป
“แม่นางยู่ชีง ทางนั้นเป็นโรงครัวเล็กของพระตำหนัก……”ขันทีเล็กข้างหลังของหวางกงกงอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
“ประตูใหญ่อยู่ไหน?”กู้อ้าวเวยจึงทำได้แค่หันกลับมา ถึงสายตาของนางจะเห็นเป็นภาพเลือนราง แต่ตำหนักในวังหลวงทุกตำหนักดูจะใหญ่ไปหน่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาหินจำลองน้อยใหญ่และสายน้ำลำธารที่มีมากมาย เฉลียงก็สลับไปมาอย่างซับซ้อน นางเห็นเพียงแค่ภาพเลือนราง ความรู้สึกของนางไม่อาจแยกแยะได้
ขันทีเล็กที่อยู่ด้านหลังรีบชี้ทิศทางให้ กู้อ้าวเวยหมดคำพูด“ยืมแขนเสื้อหน่อย สายตาข้าไม่ค่อยดี”
หวางกงกงจึงต้องรีบรุดเข้าไปประชิด แต่ก็ไม่กล้ายื่นแขนเสื้อไปให้ ทำได้เพียงแค่พยุงแขนของนาง ในขณะเดียวกันหมอหลวงที่ถือกล่องปฐมพยาบาลอยู่ข้างก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วพยุงข้อมือบางของกู้อ้าวเวย แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบา“ให้กระหม่อมได้ดูดวงตาของท่านหน่อยเถิด”
“เจ้ามีวิธีรักษาหรอ?”กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น แล้วหยุดเดินให้เขาตรวจวัดชีพจร
แต่สีหน้าของหมอหลวงดูแปลกใจ ดึงมือกลับแล้วส่ายหน้าเบาๆให้หวางกงกง ถามขึ้นด้วยเสียงเบา“แม่นางยู่ชีงเคยได้รับอุบัติเหตุหรือ?”
“เพราะว่าตระกูลยู่ถูกตามไล่สังหาร โชคดีที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ แต่ภายในร่างกายกลับถูกวางยาพิษ พอถอนพิษแล้วก็ตาบอดเลย มาวันนี้กำลังฟื้นตัว ไม่รู้ว่าท่านพอมีวิธีไหนสามารถรักษาได้หรือไม่?”กู้อ้าวเวยเหมือนจะนำเรื่องที่กุขึ้นของกุ่ยเม่ยกับยู่จือฝึกท่องจนคล่องแล้ว
“ตอนนี้……ยังไม่มีวิธีรักษาขอรับ”หมอหลวงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกละอายใจ
กู้อ้าวเวยเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เพียงแค่ตบตรงมือของหวางกงกงเบาๆ“พาข้าไปหายู่จือหน่อย ไม่มีนางแม้แต่ทางข้ายังเดินไม่ได้เลย”
“ยังมีข้าอีกไม่ใช่หรอ?”เสียงของซ่านจินจื๋อดังใกล้อยู่ข้างๆ
สีหน้าของหวางกงกงซีดเผือด รีบนำคนรีบคุกเข่าลงทันที หมอหลวงคนนั้นรีบคุกเข่าลงพื้นด้วยความตกใจ กู้อ้าวเวยหันหน้ากลับไป เห็นเงาของคนผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางกอดเสี่ยวป๋ายที่อยู่ในอ้อมกอดจนแน่น
สังเกตเห็นท่าทางเล็กๆของนาง ซ่านจินจื๋อก็ถอนหายใจออกอย่างหนัก แล้วเดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าช้าลง“ใครให้เจ้าออกมา”
“ข้าอนุญาตให้ข้าออกมาเอง”กู้อ้าวเวยคืนเสี่ยวป๋ายไปให้เขา“ข้าไม่กลับไปอีก พวกนางก็บ่นข้าแย่สิ”
“ข้าอนุญาตให้เจ้าไปได้แล้วหรือ?”ซ่านจินจื๋อมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก เพียงแต่น่าเสียดายที่กู้อ้าวเวยไม่อาจมองเห็นเลยแต่นิดเดียว นำดึงเสื้อคลุมขนสัตว์บนบ่าของนางแน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า“ข้าไม่ใช่คนแคว้นชางหลาน เหตุใดต้องฟังคำของอ๋องแคว้นชางหลานเช่นเจ้าด้วย”
หวางกงกงสีหน้าซีดเผือด อยากจะเงยหน้าขึ้นเพื่อช่วยนางพูด แต่ซ่านจินจื๋อหัวเราะขึ้นเบาๆ“เจ้าพูดไม่ผิด”
“ถ้าอย่างงั้นข้าจะไปหายู่จือ เจ้าไปหาคนที่ชำนาญทางให้ข้าด้วยหนึ่งคน”กู้อ้าวเวยชี้ไปที่ตาของตัวเองซ้ำๆ
“ข้าจะพาเจ้าไปหาเอง”ซ่านจินจื๋อยื่นมือออกไป
พอได้ยินว่าจะได้เห็นยู่จือแล้ว กู้อ้าวเวยก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ยื่นมือไปจับแขนเสื้อของซ่านจินจื๋อแน่น พยักหน้าให้เขาหลายครั้ง ไปเถอะ
ซ่านจินจื๋อโยนเสี่ยวป๋ายที่อยู่ในอ้อมกอดไปให้ขันทีที่อยู่ข้างๆ ไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่พานางเดินไปข้างหน้า
หวางกงกงที่อยู่ด้านหลังกับหมอหลวงลุกขึ้นยืนอย่างโล่งจิตโล่งใจ ตอนนี้เองหวางกงกงพึ่งถามขึ้นมาว่า“เป็นเพราะยาบางอย่างใช่หรือไม่……”
“แม่นางยู่ชีงได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจริงๆขอรับ แต่ก็ล้วนเป็นเพียงบาดแผลผิวเผินไม่ใช่อาการบาดเจ็บภายใน เป็นบาดแผลที่ถูกคนใช้อาวุธทำร้าย อีกทั้งตามร่างกายของนางยังมีร่องรอยของยาพิษ ยังเป็นพิษที่ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนอีกด้วย เกรงว่าจะมีเพียงแต่คนของแคว้นเย่นเจียงก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เคยพบมาก่อน”หมอหลวงพูดอย่างตั้งใจ
หวางกงกงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก หากนางคือกู้อ้าวเวยจริงๆ เหตุใดถึงไม่มีความรู้สึกเหมือนคนก่อนหน้านี้ที่ยกตนข่มคนอื่น สายตาคู่นั้นถึงจะไม่มีชีวิตชีวาแต่กลับอ่อนโยน เสียงก็มีความแหบแห้งเล็กน้อย
อีกทั้ง นางยังเหมือนกับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเปรียบกับก่อนหน้านี้ที่ถึงคนจะยิ้มแต่ภายในไม่ยิ้ม อัธยาศัยดี มาวันนี้เหมือนจะมีความ……เอาแต่ใจเล็กน้อย