บทที่ 845 นามแฝง
ความลับในวังน้อยคนนักจะรู้ ตอนนี้เมิ่งซู่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้ตั้งแต่ยังน้อย และสามารถได้รับข่าวสารและการรายงานมากมายเยี่ยงนี้ แม้กระทั่งกู้อ้าวเวยยังอ้าปากค้างเล็กน้อย กระทั่งไม่รู้ว่านี่ฮ่องเต้จงใจเปิดเผยให้แก่เมิ่งซู่ หรือว่าวางพระทัยเมิ่งซู่จริงๆ กันแน่
นอนไม่หลับทั้งคืน กระทั่งฟ้าสาง เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ที่เข้าได้กับทุกคนก็ยิ้มตาหยีพลางยกอาหารเช้ามากมายเข้ามาส่ง ยังไม่ลืมกำชับกำชาเพิ่มอีกประโยค “ทุกท่านล้วนเป็นคนในยุทธภพ แต่อย่าเข้าไปหาเรื่องซวยที่ด่านลั่วสุ่ยเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นหากไปแหย่วิญญาณอาฆาตของตระกูลหยุนเข้า เกรงว่าจะตายอย่างไรยังไม่รู้เลย”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” กู้อ้าวเวยกล่าวถามขณะเอนกายลงบนเตียง
ยัยไง่หงยิ้มตาหยีแล้วโบกมือให้เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์คนนั้น ตนหยิบเอากล่องข้าวมาเตรียมอาหาร แล้วกล่าวว่า “คุณหนูถามเจ้าอยู่”
คราวนี้เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์จึงถูไม้ถูมือ นึกถึงหญิงสาวชุดคลุมดำคนเมื่อวาน แล้วกล่าวว่า “เช้าวันนี้เอง ที่ด่านลั่วสุ่ยมีคนยุทธภพตายเพิ่มอีกคนแล้ว ในห้องมีแต่เลือดเต็มไปหมด แต่กระดูกดันหาไม่พบ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตกใจจนลมจับ ด่านลั่วสุ่ยชุลมุนแทบแย่”
ยัยไง่หงอุดปาก เบิกตากว้าง “ชั่วร้ายขนาดนี้เชียว”
“ยังมีที่ชั่วร้ายกว่านี้อีกนะ!” เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์แผดเสียงสูง เบิกตากว้างจ้องยัยไง่หง “พวกสาวซักผ้าไหมในวันนี้ยังบอกอีกว่าน้ำในลำธารเปื้อนเลือด ไหลลอยไปทางตำแหน่งของศาลเจ้าริมน้ำนั่นจนหมดด้วย หลังจากลอยไปแล้วเลือดพวกนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงา น้ำใสสะอาดไหลรินลงมาด้านล่าง ดังนั้นคนในหยาเหมินถึงได้รีบร้อนไปที่นั่น ในปากของคนยุทธภพเหล่านั้นยังบ่นพึมพำว่าตระกูลหยุนเล่นพิเรนทร์อะไร ความเป็นอมตะนั้นใช้ชีวิตแลกชีวิต น่าตกใจแทบตายเชียว”
กู้อ้าวเวยที่อยู่บนเตียงเลิกเรียวคิ้วขึ้นน้อยๆ การเคลื่อนไหวในการพลิกหนังสือพลันชะงักไปในบัดดล
เลือดพวกนี้พอถึงศาลเจ้าแล้วหายวับไปในทันที มันค่อนข้างประหลาดอยู่จริงๆ
สืบข่าวเรื่องพวกนี้จากทางเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ ยัยไง่หงก็ยกน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตา ทางฝั่งโม่ซานเพิ่งกลับมาจากการฝึกวิทยายุทธ์พอดี ยัยไง่หงยิ้มตาหยีพลางยื่นผ้าเปียกหมาดไปให้ “รีบเช็ดเร็ว อีกเดี๋ยวเหงื่อแห้งแล้วจะไม่สบายเอา”
“ขะ…ขอบคุณ” โม่ซานรับผ้าเปียกหมาดเอาไว้ ยัยไง่หงยกอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะอีกครั้ง นำอาภรณ์ที่นางผลัดเปลี่ยนออกไปซัก ฟูกนอนหลังจากตื่นในตอนเช้านั้นสะอาดสะอ้าน แม้กระทั่งเสื้อผ้าสองชุดที่นางสะพายหลังมายังนอนอยู่ในห่อสัมภาระอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กู้อ้าวเวยเคยชินกับสิ่งเหล่านี้ตั้งนานแล้ว ยามที่หย่อนกายนั่งลงรับประทานอาหาร ก็ได้ยินโม่ซานเอ่ยปาก “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากเที่ยวตะลอนทั่วยุทธภพเสียแล้ว เป็นคุณหนูนี่มันช่างสบายเหลือเกินสินะ”
กู้อ้าวเวยส่งเสียงหัวเราะพรืดออกมา ยัดเสี่ยวหลงเปาหนึ่งชิ้นใส่ในชามของนาง “ยัยไง่หงทำงานจนเคยชินแล้ว ให้คนอื่นทำกลัวว่าคงปรนนิบัติไม่ครบครันเยี่ยงนี้”
โม่ซ่านบุ้ยปาก “คนเก่งกาจแบบพวกท่านล้วนเป็นเสียแบบนี้”
“แบบไหนกัน?” กู้อ้าวเวยทานเสี่ยวหลงเอาไปหนึ่งคำ ยามที่งับตะเกียบยังถือโอกาสเติมโจ๊กผักด้วยหนึ่งชาม กอปรกับใบหน้าที่ดูค่อนข้างน่ากลัวพวกนั้น รังแต่ทำให้ผู้คนมองดูแล้วขนลุกขนพองทั่วกาย
“เรื่องยิบย่อยพวกนี้มีคนคอยจัดการให้แล้ว วันๆ พวกท่านถึงได้เอาแต่คิดว่าควรจัดการเรื่องใหญ่อย่างไร แต่พวกเราชาวบ้านทั่วไปต่างกัน ตื่นแต่เช้าลำพังแค่หุงข้าวยังต้องตัดฟืนก่อไฟ ตักน้ำจากบ่อ ยังต้องซักเสื้อผ้าอีก ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ยามเช้าตรู่ก็หมดไปเสียแล้ว ตอนบ่ายออกไปทำธุระ รอถึงตอนค่ำยังต้องใคร่ครวญอีกว่าตะเกียงน้ำมันราคาแพงเท่าไร คิดๆ ดูแล้วไม่สู้ล้มหัวลงนอนดีกว่า ต่อให้จุดคบเพลิง นั่นก็ยังต้องทำงานเย็บปักถักร้อย หรือไม่ก็ทำงานฝีมือหาเงินอยู่ดี” โม่ซานบ่นพึมพำ
การเคลื่อนไหวของกู้อ้าวเวยชะงักงัน ลูบไล้กระหม่อม “เช่นนั้นพวกเจ้าไม่คิดเรื่องงานใหญ่ของแว่นแคว้นอะไรเลย?”
“ข้าวยังแทบไม่ได้แตะ ไฟก็ไม่กล้าจุด ใครจะสนใจว่าฮ่องเต้ชางหลานของท่านคือใครกัน สนใจไยดีแต่เรื่องพ่อแม่ของตัวเอง ก็กล้าแกร่งกว่าอะไรทั้งนั้นแล้ว” โม่ซานทานอาหารเช้าในมือเสร็จแล้ว เห็นว่ากู้อ้าวเวยยังเหม่อลอยอยู่น้อยๆ กล่าวถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ?”
“เพียงแต่รู้สึกว่าที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางพยักปลายคาง เมื่อรับประทานอาหารในมือจนเกลี้ยงแล้ว จึงเอ่ยปากพูดกับนาง “อีกเดี๋ยวไปที่โรงหมอเป็นเพื่อนข้าหน่อย วัสดุยาที่ใช้สำหรับบาดแผลของเจ้านั้นใช้ไปใกล้หมดแล้ว”
โม่ซานช้อนสายตาขึ้นมองสำรวจท่าทางในตอนนี้ของนางเล็กน้อย “ข้าไปเอายามาให้ท่านเอง”
“ก็ได้เหมือนกัน” กู้อ้าวเวยพยักหน้า เขียนใบรายงานแล้วยื่นไปให้
โม่ซานออกไปยังไม่ทันไร กู้อ้าวเวยก็เตรียมจัดเตรียมสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทันใด หมายจะรื้อฟื้นความจำลายสักที่อยู่บนหน้าของยู่จือ แล้ววาดมันเอาไว้
อย่างไรเสียพิษนี้ก็ตกทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อาจเป็นไปได้ว่าลักษณะมันอาจเปลี่ยนไปแล้ว ก็เหมือนกับคำว่าหยุนที่อยู่ใต้กระดูกไหปลาร้าของนางก็ดูบิดเบี้ยวเช่นเดียวกัน ถ้าหากคิดจะแยกแยะอย่างละเอียดคงยากเสียยิ่งกว่ายากจริงๆ นั่นแหละ นางได้แต่หาพลางจับคู่เองไปพลาง แบบนี้จึงจะไวที่สุด
ทว่าตอนที่นางวางข้าวของลงบนโต๊ะ บานประตูพลันถูกเคาะ
เปิดประตูออก ยู่จือถือกระดาษแผ่นหนึ่งเดินเข้ามา เหลือบมองสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือนั้นด้วยสายตาเย็นชา “เขียนจดหมายหรือ?”
“วาดลายสักบนใบหน้าของเจ้า” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แล้วหย่อนกายนั่งลงอีกครั้ง เลี่ยงมิให้หมวกม่านบังตา จึงไม่สวมชุดคลุมสีดำเอาดื้อๆ เรือนผมมวยไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ ส่วนรอยแผลเป็นสีดำที่ลุกลามถึงใบหน้า กลับกลายเป็นสีจางๆ บนหลังมือก็เป็นเช่นเดียวกัน
ยู่จือวางกระดาษแผ่นนั้นลงต่อหน้าของนาง “ข้าวาดเสร็จแล้ว”
กู้อ้าวเวยเหลือบมองแบบขอไปที ยกมือให้นางนั่งลง แล้วกล่าวว่า “บางทีอาจจะมีข้อแตกต่างจุดเล็กๆ ข้าจะวาดเพิ่มอีกแผ่น”
ยู่จือได้แต่นั่งลง สายตาโปรยตกลงบนมือที่เห็นแกนกระดูกชัดเจนของนาง และมองรอยแผลเป็นบนลำคอของนางซ้ำอีกปราดหนึ่งมันดูคล้ายจะเลือนรางลงไปเล็กน้อย จึงอดถามไม่ได้ “รอยพวกนี้บนตัวของท่านยังเปลี่ยนแปลงได้ด้วย?”
“มันจะกลายเป็นสีเทาอ่อน” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นทาบบนลำคอของตนเอาไว้ กล่าวเสียงเข้มว่า “ตอนที่พิษเพิ่งออกฤทธิ์ มันไม่ได้แล่นไปตามสายชีพจร แต่เอาพิษส่วนเกินไปครอบคลุมบนผิวหนังไว้ ดังนั้นจึงเป็นสีดำ และอาจจะมีตุ่มหนอง รอกระทั่งพิษแทรกซึมลึกสู่ปอด ความต้านทานก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น สีจึงค่อยๆ อ่อนลง และรอยแผลเป็นที่กลายเป็นสีอ่อนพวกนี้ เป็นผลข้างเคียงของยาที่ข้าทดลองกับตัวเอง”
“ท่านเอาตัวเองมาลองยา?” หัวคิ้วของยู่จือแทบลุกชันขึ้น “เช่นนั้นถ้าหากท่านหายาถอนพิษของตระกูลยู่พวกเราได้…”
“ต้องให้เจ้าทดลองยาอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยมองพวงแก้มของนางอีกปราดหนึ่ง “เจ้าไม่ถามบ้างว่าข้าจะทำข้อตกลงอะไร?”
“ท่านบอกเองว่าพวกเราเป็นเผ่าตระกูลเดียวกัน ซ้ำยังเคยพบกับพี่สาวข้า เช่นนั้นข้าย่อมไม่สนใจว่าเป็นข้อตกลงอะไร พี่สาวข้าจักต้องหารือกับท่านเรียบร้อยแล้ว” ยู่จือกล่าวอย่างสบายอารมณ์ นั่งลงบนเก้าอี้เตะขาเล่น แล้วกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายพี่สาวข้าจากไปก่อนวัยอันควร ยังไม่ทันปกป้องคนในดวงใจ และยังไม่ทันปกป้องตัวเอง ขอเพียงท่านเอายาถอนพิษให้ข้า รักษาชีวิตของข้ากับยู่หง มีข้อตกลงอะไรที่จะไม่เป็นผลสำเร็จกัน”
“เจ้าตัดสินใจแทนตระกูลยู่ได้หรือ?” บัดนั้นกู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมาอย่างเนิบนาบ
ยู่จือกลับส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาหนึ่งที ยกมือขึ้นชี้ที่เสื้อโปร่งสีทองบนไหล่ของตน “ย่อมได้อยู่แล้ว”
กู้อ้าวเวยกลับนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ยู่จือคลุมเสื้อโปร่งสีทองให้ตนมาก่อน ลองคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว บางทียู่จืออาจจะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพวกนางทั้งสองร่วมตระกูลกัน เพียงแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน คิดเช่นนี้แล้ว นางเองก็พลอยกระตุกมุมปากขึ้น “ก่อนหน้านี้ตระกูลหยุนของพวกเราเพิ่งจะรับตระกูลสาขาจูอยู่ในความดูแล ครั้งนี้ไม่สู้พวกเราสองตระกูลหลอมรวมกัน วันหน้าพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าทายาทเจียงเยี่ยนจะตามหาพวกเจ้าเพื่อแก้แค้น”
น้ำเสียงสิ้นสุด ยู่จือกลับหัวเราะเบาๆ “ท่านทำเพื่อตระกูลยู่จริงๆ หรือ?”
“แน่นอนว่าทำเพื่อท่านพ่อข้า พวกเจ้าวางพิษหนอนแมลงได้ วิธีการร้ายกาจเช่นนี้เอาให้แว่นแคว้นอื่น เอ่อตานของข้าคงจะใจบุญเกินไปแล้ว เจ้าทำงานให้ท่านพ่อข้า ท่านพ่อข้าจะมอบความรุ่งเรืองเฉกเช่นตระกูลหยุนให้แก่พวกเจ้า เจ้าว่าเป็นการค้าขายที่ดีอย่างหนึ่งเลยใช่หรือไม่” กู้อ้าวเวยหัวเราะพลางตบโต๊ะหนึ่งฉาด ซ้ำยังกล่าวว่า “แต่ก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะร่วมมือกัน ต้องช่วยข้าก่อนสักเรื่อง”
“ข้าก็อยากเป็นคนของตระกูลยู่ นามแฝงว่ายู่ชีง วันหน้าเจ้ายังต้องไปเมืองเทียนเหยียนเป็นเพื่อนข้าสักเที่ยวด้วย”