บทที่ 884 นิสัยเอาแต่ใจ
นางกลับไปยังที่นั่งเมื่อครู่ กู้อ้าวเวยก็มองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ถ้าพวกเขาไม่ปรากฏตัวออกมาเอง นางก็คงไม่รู้ว่าพวกนั้นตามมา ตอนนั้น มือของนางก็นวดขาและหัวเข่าทั้งสอง นางเริ่มปวดขากะทันหันขึ้นมานิดหน่อย
“แต่ฝ่าบาทให้พวกเราตามท่านมา แล้วสีหน้าท่านก็ไม่ค่อย………”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ถ้าพวกเจ้าเห็นราชทูตเย่นเจียงเป็นนักโทษแบบนี้ละก็ ก็ติดตามข้าต่อไป” กู้อ้าวเวยมองขวาง เห็นลางๆ เหมือนจะมี 4-5คน
พวกทหารก็หน้าเสีย เหมือนพวกเขาจะกำลังลังเล
กู้อ้าวเวยก็ไม่สนใจใคร แล้วก็นั่งนวดขาต่อไป เอามีดแกะสลักและไม้วางไว้ข้างๆ มาคิดดูพวกเขาก็คงไม่อาจจะขัดคำสั่ง “ถ้าพวกเจ้าไม่อยากลำบากใจ ก็ไปส่งข้าที่ร้านขายยาใกล้นี้ก็แล้วกัน”
“ท่านบอกตัวยาที่ต้องการ เดี๋ยวพวกเราไปหามาให้” คนตรงหน้าโน้มตัวลงมา ทำท่าชันเข่าลงตรงหน้านาง นางก็มองบน แล้วมาคิดดูว่าตนเองก็เดินไม่ไหว ก็เลยเอาชื่อตัวยาบอกพวกนั้นไป ให้พวกเขาจำมันไว้ แล้วไปซื้อมา
แล้วก็มีมือหนึ่งมาพยุงนางไว้ “แม่นางยู่ชีง ไปนั่งพักที่ร้านน้ำชาด้านข้างเถอะ”
“คนแคว้นชางหลานนี่ ไม่ต้องวางอำนาจได้ไหม ข้าไม่อยากขยับตัว” กู้อ้าวเวยปัดมือเขาอย่างโมโห แล้วก็กลับไปนั่งยังที่เดิมของตน แล้วทั้งสองมือของตนก็พันขาของตนเองไว้ แล้วก็มองขวางทหารพวกนั้น “ข้าไม่รู้จักองค์ชายสามที่ไหน และไม่รู้จักพระราชวงศ์คนไหนด้วย”
ทหารพวกนั้นก็ทำอะไรนางไม่ได้ ได้แต่รออยู่ข้างๆ
แล้วก็ได้ยินกู้อ้าวเวยพูดอีกว่า “เจ้าบังแสงข้า อย่ามาวุ่นวายที่นี่เลย ไปแอบตามข้าอย่างเมื่อครู่ก็ได้”
พวกทหารก็ถอยออกไป ไม่มาเสนอหน้าให้นางเห็นอีก ส่วน ฉีหลินที่แอบดูอยู่ ก็ได้ยินนางพูดทุกอย่าง แล้วใบหน้าก็เคร่งเครียดมากขึ้น
ถ้าเป็นกู้อ้าวเวยละก็ คำพูดคงจะไม่ทำร้ายจิตใจคนเช่นนี้ อย่างมากก็พูดเรื่องหลักการขึ้นมา แล้วให้พวกนั้นถอยออกไป หรือไม่ก็แกล้งซ้อนแผน ให้พวกนั้นออกไปทำงาน คงไม่ทำร้ายจิตใจของสองทหารเมื่อครู่ แล้วยังจะมานั่งข้างถนน ตามใจตนเองอีก
ไม่รู้ว่าอ๋องจิ้งเห็นจุดเด่นอะไรของนางคนนี้ แล้วนางยังเป็นน้องสาวของยู่จืออีกด้วย
ฉีหลินก็ได้ยินเรื่องที่ยู่จือทำกับกู้อ้าวเวยมาบ้าง ทั้งวางยาพิษ ทั้งควบคุม ยู่จือทำมาหมดแล้ว
พอคิดดู เขาก็รู้ว่าตอนนี้มีทหารตามมาด้วย ก็เลยไม่อยากเข้าใกล้มาก ได้แต่มองอยู่ไกลๆ
สักพัก ทหารก็ถือถุงยาน้อยใหญ่เข้ามา กู้อ้าวเวยรับเอาห่อยาพวกนั้นมาไว้ แล้วลืมตาเบาๆ แล้วสายตาของนางก็มองไปยังทหารพวกนั้น “ทางที่ดี อย่ามาให้ข้าเห็น ข้าจะเจ็บ หรือจะป่วยอะไร ล้วนเป็นเรื่องของลูกหลานตระกูลยู่ ไม่เกี่ยวข้องกับคนแคว้นชางหลานแม้แต่นิดเดียว”
ทหารพวกนั้น ก็ก้มหน้าเดินจากไป แล้วบางส่วนก็แอบเข้าไปในฝูงชน คอยมองอยู่ห่างๆ
กู้อ้าวเวยก็จับขั้นบันไดลุกขึ้น แล้วก็ไม่อยากเดินไปต่อ และเตรียมจะเดินไปกลับไปยังทางที่เดินมา ด้านหลังมีคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนแอบฟัง ถึงแม้นางจะไปสืบถามอะไรได้ แต่ก็คงถามไม่ได้อะไร
ครั้งหน้า ต้องให้กุ่ยเม่ยตามมาช่วยแยกแยะคนรอบๆ ไม่งั้นนางทำอะไรลงไป โดยไม่รู้ว่ารอบๆ นั้นอันตรายเพียงใด และไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของนาง กับคนพวกนั้นเป็นอย่างไร พูดจาก็ต้องระวังมากขึ้น
พอคิดถึงจุดนี้ นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง ตอนที่ยังไม่อยากเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงของ ฉีหลิน “เห็นเจ้าสายตาไม่ดีเช่นนี้ แล้วยังจะออกมาหาเรื่องทำไมกัน?”
กู้อ้าวเวยก็ตกใจ แล้วก็กอดห่อยานั้นแน่นขึ้น “ข้าพอใจ”
หญิงคนนี้ น่าหมั่นไส้เสียจริง
ฉีหลินเห็นทหารพวกนั้นออกไปหมดแล้ว ออกไปจากรอบๆ ของกู้อ้าวเวย แล้วไปหาร้านค้าชั้นสองสูงๆ นั่ง นั่งยกแก้วเหล้านั่งมองยู่ชีงเดินออกไปอย่างช้า การเดินนั้นมั่นคงเหมือนกับกู้อ้าวเวยเหมือนกัน
กู้อ้าวเวยถูกฉีหลินตามมองอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ค่อยสบายตัว เดินก้มหัวไปจนถึงเรือนรับรอง เดิมที คิดว่าจะโล่งอกแล้ว แต่พอเดินมาถึงห้องโถง ก็เห็นตงฟางซวนเอ๋อและองค์ชายสามนั่งอยู่ และกำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ นางก็ยืดอกเดินเข้าไป “ทั้งสองเตรียมจะมาขี้เกียจอยู่ที่เรือนรับรอง ไม่ไปไหนแล้วหรือ?”
“ก็คงต้องดูแลดีๆ หน่อย เมื่อครู่มีคนมารายงาน ว่าร่างกายเจ้าไม่สบาย” ตงฟางซวนเอ๋อวางตะเกียบและชามข้าวลงอย่างสง่างาม แล้วมองมาทางห่อยาในอ้อมกอดของนาง
“ครั้งก่อนคุณหนูตงฟางบุกเข้ามาห้องนาน ก็คงจะรู้ว่ายาพวกนี้ใช้ทำอะไร” กู้อ้าวศิลปวิทยาหัวเราะประชดออกมา กู้อ้าวเวยก็โน้มตัวเบาๆ ผมที่ไม่ได้มัด ก็ไหลลงมาพาดข้างๆ ใบหน้า แล้วดวงตาสีเทาๆ ของนาง ก็บังเกิดความน่ากลัวแปลกๆ ขึ้น เสียงนุ่มๆ นั้นก็เข้าไปยังโสตประสาทของตงฟางซวนเอ๋อ “ถ้าอ๋องจิ้งรู้ว่าเจ้าบุกรุกเข้าไปยังห้องนอนของเขาโดยไม่รายงานก่อน จะจัดการอย่างไรดี?”
จับกระโปรงไว้แน่น ตงฟางซวนเอ๋อก็มองกู้อ้าวเวยอย่างไม่เชื่อใจ และกลับมานั่งที่เดิมของตนเองด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วนางก็วางยาลงข้างโต๊ะ แล้วตนเองก็นั่งลงมาด้วย คนรับใช้ข้างๆ ก็เอาถ้วยกับตะเกียบมาให้นาง แต่ได้ยินนางพูดว่า “พี่สาวข้าไม่ค่อยสบาย แต่ก็ต้องกินอะไรหน่อย เจ้าไปเตรียมมา2ชุด จะดูว่านางชอบกินแบบไหน แล้วพรุ่งนี้ก็ทำตามนั้น แต่อย่าเข้าไปรบกวนนะ วางที่หน้าประตู แล้วเคาะประตูพอ พอเจ้าออกมาแล้ว นางก็จะออกมาหยิบเข้าไปเอง”
“รับทราบ แม่นางยู่ชีง” ตนรับใช้รีบไปจัดการ
กู้อ้าวเวยก็หยิบชามกับตะเกียบมา เพิ่งได้กินไม่กี่คำ ก็ได้ยินตงฟางซวนเอ๋อพูดว่า “ได้ยินมาว่า แคว้นเจียงเยี่ยนเคยเป็นสถานที่ ที่ฮวงจุ้ยดีมาก มีทิวทัศน์สวยงามนับไม่ถ้วน แม้แต่วังหลวงก็ยังใช้ทองคำสร้าง ซวนเอ๋ออยากจะเห็นสักครั้งหนึ่ง”
“ก็แค่เมื่อก่อน ถ้าไปตอนนี้ก็เป็นเพียงซากปรักหักพัง มีแต่กองกระดูกและรอยเลือด ไม่เพียงเท่านั้น ไม่มีทิวทัศน์สวยงามในโลกนี้แห่งใด ที่ไม่มีกองกระดูกและวิญญาณผี เพียงแต่เจ้าและข้าเป็นคนธรรมดา มองไม่เห็นมันเท่านั้น” กู้อ้าวเวยพูดเบาๆ แต่ก็ยังกินข้าวต่อไป ดวงตาที่เทาดำนั้น มองไม่เห็นความรู้สึกจากสายตาเลย
แต่ก็เหมือนจะมีความปลงในชีวิตอยู่บ้าง
นึกถึงวันที่อยู่ที่งานเสี้ยง นางก็พูดเรื่องที่ตงฟางซวนเอ๋อกับซ่านจินจื๋อไม่ชอบคอกัน ออกมาด้วยอย่างไม่สนใจอะไร
ตงฟางซวนเอ๋อก็กำหมัดโดยไม่รู้ตัว ซ่านเซิ่งหานก็คีบเนื้อปลามาใส่ในถ้วยของกู้อ้าวเวย “แม่นางยู่ชีกบาล,กระบาลมาแคว้นชางหลานเป็นครั้งแรก ปลานี่ จับมาจากถ้ำน้ำแข็ง เนื้ออร่อยมาก”
พอพูดไป ซ่านเซิ่งหานก็มองตงฟางซวนเอ๋ออย่างไม่พอใจ คิดว่านางพูดเกริ่นเช่นนี้ มันเกินไป ตงฟางซวนเอ๋อก็เลยล้มเลิก ในใจก็คิดว่าจะมีองค์ชายสามที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้มาช่วยดูแลราชทูตทำไมกัน
พอกินอิ่มกันแล้ว ซ่านเซิ่งหานก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน อากาศจะอุ่นขึ้น เดี๋ยวให้ข้าพาทุกท่านไปเที่ยวชมทะเลสาบดีไหม? ช่วงแรกเริ่มฤดูใบไม้ผลิ มันสวยงามมาก ถึงแม้แม่นางยู่ชีงจะสายตาไม่ดี ก็สามารถมองเห็นความสวยงามได้เหมือนกัน”
องค์ชายสามคิดจะทำอะไรกันแน่
ถึงแม้กู้อ้าวเวยจะไม่รู้ แต่พอคิดถึงเรื่องลูกเอ่อตันแดง ก็คงต้องสืบนิสัยใจคอขององค์ชายสามคนนี้เสียหน่อย ก็เลยตอบรับไปว่า “คงต้องรอหน่อย เพราะพี่สาวข้า …….นางเพิ่งมีประจำเดือน”
ยู่จือที่เพิ่งแอบเข้าทางหน้าต่างของเรือนรับรองเข้ามา แล้วก็จามใส่ยู่หงไปชุดใหญ่