บทที่ 987 คำทำนายพันปี
โพรงดินที่หลังจากถูกแช่ด้วยน้ำยากลายเป็นสีดำ
และโพรงดินที่ถูกขึ้นเจอนี้ มีกระดานชนวนที่ถูกไฟไหม้จนดำวางอยู่ ซ่านจินจื๋อก้มตัวลงปัดคลุกขี้เถ้าทั้งหมดบนนั้น เผยให้เห็นรูปร่างเดิม หลี่ซินพาคนมาช่วยกันปัดทำความสะอาด
“คุณหนู ท่านอ๋อง กระดานชนวนนี้น่าจะมีอายุถึงพันปี แต่ตัวอักษรที่สลักอยู่ด้านบนดูแล้วกลับไม่เหมือนสลักไว้ช่วงเวลาเดียวกัน” หลี่ซินมองดูอักษรที่ไม่เหมือนกันบนกระดานชนวนนี้อย่างละเอียด แต่เมื่อมองดูอักษรท้ายสุด หลี่ซินกลับมองเห็นไม่ชัด คิดไม่ว่าเป็นอักษรในยุคสมัยไหน
กู้อ้าวเวยก้มตัวลงไปจับดู ปลายนิ้วเคลื่อนผ่านร่องตัวอักษร
“บนนี้เขียนไว้ว่า ภัยพิบัติจากฟ้าตกลงมาสู่โลก คือเป็นลางร้าย พันปีมีครั้ง” หลี่ซินกลืนน้ำลาย หากสิ่งนี้เป็นสิ่งของเมื่อพันปีก่อนจริง นั่นก็แสดงว่าเป็นวันนี้
คนใช้ป่าวใช้รอบๆต่างก็แทบกลั้นหายใจ
กู้อ้าวเวยกลับเพียงแค่สัมผัสจารึกเล็กๆด้านล่างที่สลักในภายหลัง ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ด้านหลังมีอะไรเขียนสลักไว้ไหม?”
ซ่านจินจื๋อเดินอ้อมไปด้านหลังกระดานชนวน อ่านภาพพิมพ์เล็กๆ ที่เลือนรางนั่น แล้วขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “บรรพบุรุษตระกูลหยุนที่พวกเรารู้ มีต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้านประมง ที่นี่เขียนถึงบรรพบุรุษตระกูลหยุนเป็นเผ่านักเวทย์ก่อนภัยพิบัติจากฟ้า?”
“เห็นทีหมู่บ้านประมงเป็นเชื้อสายรุ่นหลังบรรพบุรุษตระกูลหยุน” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว ปลายนิ้ววางลงไปในเส้นเล็กๆเหล่านั้น นางรู้จักอักษรปัจจุบันที่เรียบง่ายเหล่านี้ดีอยู่แล้ว ทำให้นางรู้สึกแปลก ทำไมตอนนั้นบรรพบุรุษรู้ความจริงแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ใช้ภาษาของยุคโบราณนี้ กลับเลือกใช้ภาษาปัจจุบันที่มีคนรู้น้อยมาก
ค่อยๆลุกขึ้นยืนพูดว่า “สัญลักษณ์เทพเจ้าเป็นเทพเจ้าที่ตระกูลหยุนเคารพนับถือก่อนเกิดภัยพิบัติจากฟ้าในตอนนั้น และเมื่อตอนที่เกิดภัยพิบัติจากฟ้าเมื่อพันปีก่อน ตระกูลหยุนมีนักไสยศาสตร์ชายผู้มีฝีมือคนหนึ่ง ผู้คนต่างก็คิดว่านักไสยศาสตร์ชายผู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเลวร้ายทั้งหมด จึงได้ฆ่าเขาตายเมื่อวันที่เกิดภัยพิบัติจากฟ้า แต่ภัยพิบัติจากฟ้าก็ไม่ได้หยุด”
หลี่ซินมองดูกระดานชนวนอย่างไม่เข้าใจ
ซ่านจินจื๋อกลับมีสีหน้าบึ้งตึง “เป็นภาษาอักษรของพวกเจ้า?”
“มีเพียงพวกเราที่รู้จัก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในตอนนั้นบรรพบุรุษได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ประโยคสุดท้ายที่นางพูด หมายความว่าต่อให้ในแผ่นดินใหญ่มีภัยพิบัติบนจากสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องรออีกเป็นหมื่นพันปี การเปลี่ยนแปลงของโลกช้ากว่าคนอย่างมาก” กู้อ้าวเวยถอดถุงมือในมือ มองดูซ่านจินจื๋อ “นางแค่ให้อักษรภาษาของพวกเราเพื่อบันทึกเรื่องนี้ คงเพราะกลัวว่าจะมีใครมาทำลายสิ่งที่นางต้องการสื่อ แต่เสียดายเวลาที่ข้ารู้จากกระดานชนวนนี้ห่างไกลมาก”
“หากเป็นเช่นนี้ เดิมตระกูลหยุนก็คือเผ่านักเวทย์ ทำนายโหราศาสตร์?” ซ่านจินจื๋อเดินมาด้านข้างนาง
“บางทีเช่นนี้ ภาพในความฝันของข้า น่าจะเป็นตอนที่หญิงผู้เป็นที่รักของนักเวทชายคนนั้นตาย” กู้อ้าวเวยนวดขมับอย่างปวดหัว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่กระดานชนวนที่ตั้งยืนอยู่ข้างๆพื้น โหนกหน้าผากนูน “แต่ทำไมนางไม่ทำลายกระดานชนวนนี้….”
“คุณหนู นี้ไม่ใช่ก้อนหิน” หลี่ซินส่ายหัว แล้วก็เช็ดฝุ่นบนนั้นจนสะอาดหมดจด
ด้านล่างนี้เป็นหินขนาดใหญ่ที่จัดเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ แข็งแรงอย่างมาก
กู้อ้าวเวยเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ นางยังไม่เคยเห็นหินที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
“เห็นทีนางอยากทำลาย แต่ก็คงไม่มีปัญญา” ซ่านจินจื๋อสีหน้าเคร่งเครียด ใครกันที่สามารถพบหินแข็งชิ้นใหญ่เช่นนี้ได้ในตอนนั้น และได้ทิ้งคำทำนายพันฟีไว้บนนั้น ยิ่งเป็นการทำให้ผู้คนหลงเชื่อคำทำนายเกี่ยวกับภัยพิบัติจากฟ้านี้มากยิ่งขึ้น
หากบรรพบุรุษของตระกูลหยุนสามารถทำนายอนาคตได้จริง แล้วทำไมยังทิ้งคำนายนี้ไว้
กู้อ้าวเวยคิดอยู่อย่างไม่เข้าใจ แต่ยังคิดได้ไม่ถึงไหน ก็เห็นองครักษ์ลับที่อยู่บนชายคามุ่งหน้าไปยังเรือนที่พวกเด็กๆอยู่ กู้อ้าวเวยอึ้ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“รออยู่ที่นี่” ซ่านจินจื๋อตบบ่าของนางเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนหลังคา แล้วก็รีบก้าวเดินไปภายในเรือน
กู้อ้าวเวยมองดูกระดานชนวนที่อยู่ด้านหลัง แล้วถามหลี่ชินว่า “ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีทำลายทิ้งหรือ?”
“ทำลายยากมาก ตัวอักษรคำทำนายบนนี้ก็ไม่ใช่เป็นการสลัก” หลี่ซินพูดไปด้วย แล้วก็ถือยกค้อนขึ้นมา ทุบลงไป กลับพบว่าคำทำนายบนนั้นเป็นแผ่นหินทั้งแผ่น และด้านล่างกลับเป็นก้อนหิน ไม่มีใครรู้ว่าศิลปะแบบนี้มีมาจากไหน
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว หากตอนนั้นกู้เฉิงได้กระดานชนวนนี้มา แล้วทำไมเขาถึงไม่รอภัยพิบัติจากฟ้าแล้วค่อยแก้แค้น
“ช่วยด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของบ่าวใช้ดังขึ้น กู้อ้าวเวยอึ้งไปสักพัก แล้วก็ได้ยินเฉิงซานพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าจางไปช่วยแล้ว คุณหนูตามกระหม่อมไปที่ที่ปลอดภัยดีกว่า”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” กู้อ้าวเวยเดินตามอยู่ด้านหลังเขา
“เรือนนั้นถูกโจมตี เป้าหมายน่าจะเป็นคนคนนั้น” เฉิงซานพูดขึ้นอย่างกระชับ
และตอนนี้ ดาบในมือซ่านจินจื๋อตวัดขึ้นลง ศีรษะของมือสังหารคนสุดท้ายก็แยกออกจากกัน
ข้าวของในเรือนที่เด็กๆอาศัยอยู่กระจัดกระจายหมด พวกเด็กๆต่างก็ถูกพาตัวไป ซ่านจินจื๋อทันอุ้มเพียงเด็กที่ได้รับบาดเจ็บที่เท้า เอาดาบเล่มยาวในมือโยนให้ลูกน้อง “ลงทุนกันขนาดนี้ ไม่เหมือนการกระทำของเสด็จพี่”
เด็กๆซบพิงไหล่ของเขา แต่ทั่วทั้งเรือนก็มีศพหลายสิบศพนอนอยู่รอบๆ
เลือดนองเต็มร่องรอยต่ออิฐ
“ท่านอ๋อง ส่งคนไปไล่ตามไหม?” ลูกน้องเดินเข้ามาถาม
“ส่งคนไล่ตามไป” ซ่านจินจื๋อลูบตบหลังเด็กบนบ่า แล้วหันกลับไปพูดขึ้นว่า “พาเด็กทั้งหมดไปอยู่ที่ด้านข้างเรือนหลัก หากจะเรียนหนังสือก็ค่อยหาสถานที่ว่าง”
เมื่อกลับมาถึงข้างกายกู้อ้าวเวย นางกำลังคิดค้นยาถอนพิษให้กับหลิงเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อ มองเห็นรอยเลือดบนตัวซ่านจินจื๋อแล้วก็ตกใจถามขึ้นว่า “นี้เกิดอะไรขึ้น?”
เล่าเรื่องทุกอย่างเมื่อกี้ แล้วก็หยิบผ้าออกมาเช็ดรอยเลือดบนตัว ส่ายหัวพูดว่า “บนตัวเด็กคนนั้นมีความลับอะไรกันแน่?”
“ใครจะไปรู้ แต่เรื่องภัยพิบัติจากฟ้าข้าวางใจแล้ว ดูยาของหลิงเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อก่อนว่าสามารถทำได้บ้างไหม” กู้อ้าวเวยยกมือไปเช็ดเลือดบนใบหน้าของเขา “จางเหยียงซานดูยาสมุนไพรในหมู่ตึกหมดแล้ว ปรุงยาถอนพิษได้ง่ายอยู่แล้ว”
“ยุ่งขนาดนี้เลยหรือ?” ซ่านจินจื๋อก้มตัวลงเพื่อให้นางเช็ดได้สะดวก แล้วก็มองดูหลิงเอ๋อร์ที่นั่งอุ้มผลไม้กวนอยู่ด้านข้าง แววตาเยือกเย็น “เฉิงซาน ไปตามคนมาเพิ่ม”
“ประเจิดประเจ้อเกินไปไหม” เฉิงซานขมวดคิ้ว
“อย่าให้ข้าต้องพูดอีกครั้ง” ซ่านจินจื๋อพูดน้ำเสียงที่ต่ำลง กู้อ้าวเวยลูบตบหน้าของเขาเบาๆ “เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เจ้า ก็เป็นข้า อย่ากลัว”
ถูกคำพูดของกู้อ้าวเวยทำให้ขำ พูดเช่นนี้ แสดงว่าเขาไม่ตาย ก็คือนางตาย
ถึงแม้คำพูดนี้จะดูไม่ค่อยเป็นมงคล แต่ทั้งสองคนกลับพูดได้อย่างสบายอกสบายใจ กู้อ้าวเวยถอยกลับไปยังที่โต๊ะ ซ่านจินจื๋อยังคิดจะตามไปอีก กลับมองเห็นลูกน้องวิ่งมาอย่างร้อนใจ พูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “สถานที่ที่คนพวกนั้นหายไป เป็นเรือนเก่าของกุ้ยมามาข้างกายฮองไทเฮา ตอนที่พวกลูกน้องเข้ามา ภายในห้องก็ไม่มีคนแล้ว”
ทั้งสองคนมองตากัน ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นว่า “ข้าจะเข้าวังไปดูหน่อย”
“ระวังตัวด้วยนะ”