บทที่ 1021 สภาพอารมณ์ขึ้นลง
กล้าได้อย่างไร!
ซ่านต้วนโฉงพุ่งเข้าไปในตำหนักราวกับคลุ้มคลั่ง
“กู้อ้าวเวย เจ้า…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็มองเห็นยู่จุนนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง อาภรณ์ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งทั่วตัวถูกกู้อ้าวเวยผลัดเปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่ายสดใหม่สะอาดสะอ้านด้วยตัวเอง
ไม่ได้ขาวซีดเย็นเฉียบอยู่ในโลงน้ำแข็ง และไม่ได้มีกลิ่นอายในโลงน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย
มองด้วยตาเปล่าช่วงอกของนางกระเพื่อมแผ่วเบา แต่ปลายนิ้วที่แต่เดิมควรจะแข็งทื่อเวลานี้กลับกำอยู่บนฝ่ามือของกู้อ้าวเวยเบาๆ
เห็นว่าซ่านต้วนโฉงหมายจะพุ่งเข้ามา กู้อ้าวเวยพลันกำมือของยู่จุนแน่นขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน กล่าวเสียงกดต่ำ “ฝ่าบาทโปรดอย่าเข้าใกล้ กลิ่นสุราบนกายพระองค์ยังไม่ซา ซ้ำยังเจือความหนาวเย็นของหยาดฝนอีกด้วย”
กล่าวเช่นนี้ไปพลาง ปลายนิ้วกู้อ้าวเวยเลิกแขนเสื้อยาวสองนิ้วขึ้น หลังจากตรวจชีพจรให้ยู่จุนแล้ว จึงกล่าวต่อว่า “นางมีลมหายใจแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาแปดเก้าวันกว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม หม่อมฉันยังต้องให้นางนอนในโลงน้ำแข็งอีกหนึ่งคืน แม้นางอาจหนาวจนคร่ำครวญ ก็ขอให้ฝ่าบาททรงอย่าแตะต้องนาง”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่นางก็…”
“อากาศเย็นในโลงน้ำแข็งแทรกซึมเข้าไปภายในกายของนาง ตอนนี้ยากจะแยกสองช่องออกจากกัน ย่อมต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็เพราะนางถูกปลุกให้ตื่นแล้ว การต้องความหนาวเย็นอาจปวดจนคร่ำครวญก็เป็นเรื่องธรรมดา” กู้อ้าวเวยอธิบายอย่างหงุดหงิด ค่อยๆ คลายมือของยู่จุนออกเล็กน้อย จากนั้นก็ให้นางกำนัลสองคนประคองนางขึ้น ปลายนิ้วกวาดไล้ผ่านไปทั่วจุดฝังเข็มของนางทีละจุด เม็ดเหงื่อค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมหน้าผาก
ซ่านต้วนโฉงอึ้งงันอยู่กับที่ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังกลับคิดจะถอดดาบก้าวเข้ามาแล้ว ดูสิว่าจะมีใครกล้าพูดจาเยี่ยงนี้กับฮ่องเต้อยู่หรือไม่
“ไม่ต้อง” ซ่านต้วนโฉงปั้นหน้านิ่งขวางองครักษ์เอาไว้ แล้วผลัดเปิดหลังตำหนักออกแบบไร้สุ้มเสียง
ส่วนหยูนซีที่เมื่อคืนนี้ไม่ได้กลับมา เวลานี้ยังคงถูกล่ามโซ่ตรวนใหม่อีกครั้ง นอนขดอยู่ในมุมกำแพง หัวเราะเบาๆ “อีกเดี๋ยวท่านจะได้รับทุกสิ่งที่ปรารถนาแล้ว”
“ชีวิตนี้ของเจ้าก็อยู่มาพอสมควรแล้ว” สายตาของซ่านต้วนโฉงเย็นยะเยือก ราวกับจะกรีดเฉือนหยูนซีที่อยู่ต่อหน้าทั้งเป็น
มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ เอ่อล้นออกมา สายตาของหยูนซีพร่าเลือนแต่ยังคงมองเห็นใบหน้าด้านข้างที่แลดูจริงจังของกู้อ้าวเวย ปลายนิ้วสั่นระริกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “หากนางฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เห็นข้า เจ้าจะอธิบายอย่างไรกันเล่า”
ความเงียบแทนคำตอบ
อารมณ์ทางแววตาของซ่านต้วนโฉงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ท้ายที่สุดก็มีเพียงเสียงถอนหายใจที่เบาจนเกือบไม่ได้ยิน
กู้อ้าวเวยที่อยู่ในตำหนักหลังทอดมองชุดเข็มอย่างเหม่อลอยน้อยๆ ครู่ใหญ่ให้หลังถึงได้ม้วนเข็มพวกนี้อย่างดีอีกครั้งอย่างท้อแท้ บัญชากับเหล่านางกำนัล
“อีกประเดี๋ยวค่อยนำตัวนางใส่ไปในโลงน้ำแข็งอีกครั้ง อย่าลืมยาลูกกลอน ทำธุระเสร็จแล้วเอาซุปยาแช่น้ำอาบ อย่าให้ปนเปื้อนแม้แต่น้อย รู้หรือไม่”
บรรดานางกำนัลพยักหน้า แล้วเห็นกู้อ้าวเวยลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอาการผิดแผก ซวนเซหลายก้าวกว่าจะทรงตัวอยู่ กดมุมขมับก่อนก้าวเท้าเข้าสู่โถงด้านหน้า เห็นนัยน์เนตรซ่านต้วนโฉงเปี่ยมแววกังวลระคนสงสัยใคร่รู้ หลังจากนั้นทำเพียงถวายคำนัยเรียบง่าย กล่าวว่า “อาการของนางไม่สู้ดีนัก โลงน้ำแข็งจะทำให้นางหลงเหลือผลข้างเคียงได้ง่ายๆ ทำได้แค่รอจนกว่านางจะตื่นแล้วพักฟื้นนานหลายปี และอาการบ่วยทั้งหมดของนางก่อนหน้านี้ยิ่งดูเหมือนโรคอวัยวะล้มเหลว ยามนี้ดีที่ได้โลงน้ำแข็งช่วยบรรเทา ผลสุดท้ายเวลามีจำกัด”
หัวใจที่เคว้งคว้างพลันกลับสู่ที่ก้นบึ้ง
ปลายนิ้วของซ่านต้วนโฉงจิกเข้าที่พักวางแขนอย่างแน่นหนา ยังอยากซักถามต่ออีกหลายประโยค
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องตรัสถามอีกแล้ว เรื่องนี้คงอธิบายไม่ชัดเจนเพียงชั่วครู่ชั่วยาม หากท่านทรงเป็นห่วงยู่จุนจริงๆ ก็ทรงอดทนรอ บางทีแค่พึ่งตัวนางเองก็อาศัยเวลาสองสามปีในการคิดวิธีหาทางออกได้แล้ว”
กล่าวคำพูดที่บอกว่าจะตายก่อนหน้านี้ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
แต่มีเพียงกู้อ้าวเวยเท่านั้นที่รู้ ถ้าหากอยู่ในยุคปัจจุบันมีเพียงต้องเปลี่ยนถ่ายไตที่ล้มเหลวเท่านั้นจึงจะมีทางรอด แต่ในยุคโบราณที่ไร้เทคโนโลยีเช่นนี้ โรคอวัยวะล้มเหลวมีแต่ต้องตายสถานเดียว หากบอกว่ายังมีวิธีอะไร น่าจะหาได้แต่วิธีที่นอกเหนือการแพทย์เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นยันต์เหลืองที่เรียกนางมาก่อนหน้านี้ จึงจะมีโอกาสรอดชีวิตต่อไป
“ข้าจะส่งคนไปสร้างศาลเจ้าที่ด่านลั่วสุ่ย เจ้าจะต้องมีหนทางใช้วิธีคืนชีพจากความตายของตัวเองมายืดอายุให้แก่นางเป็นแน่”
ซ่านต้วนโฉงกล่าวอย่างจริงจังมั่นใจยิ่ง ดวงเนตรเจือแววทรงอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธ
เกือบถูกคำพูดนี้ของซ่านต้วนโฉงกดทับจนสูดหายใจไม่เข้า กู้อ้าวเวยกำแขนเสื้อแน่นเซนั่งลงบนเก้าอี้ “วิธีนี้เป็นวิธีที่ยาก ตอนแรกถึงแม้ข้าจะเฉียดตายมาหวุดหวิด ก็ยังต้องขอบคุณยู่จือที่เปิดรูบริเวณหน้าอกให้ข้า ถึงรอดชีวิตมาได้”
“เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่”
นี่ก็คือบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จ
ซ่านต้วนโฉงสบมองด้วยสายตาเย็นเยียบ “ยังหายู่จือไม่พบ เจ้ายินดีสืบข่าวบางส่วนจากซ่านจินจื๋อให้ข้าหรือไม่”
“ข่าวของยู่จือ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า”
“เขาพรากไทเฮาไปจากข้างกายข้า แผนกดูดาวก็ถูกข้าพลิกหาทุกซอกทุกมุมแล้ว ผลสุดท้ายไม่เห็นเงายู่จือเลย” ซ่านต้วนโฉงมองด้วยสายตายะเยือก “หากเจ้ายังอยากให้งานแต่งงานของฉีหรัวจัดขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ ข้าให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง”
จัดขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ?
กู้อ้าวเวยหน้าเปลี่ยนสี ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ระฟ้าเป็นที่เรียบร้อย มองทางซ่านต้วนโฉงอย่างไม่อยากเชื่อ “ซ่านเชียนหยวนเป็นบุตรของท่าน ฉีหรัวยิ่งเป็นสะใภ้ในอนาคตของท่าน เหตุใดท่าน…”
“ใครใช้ให้พวกเขาสนิทชิดเชื้อกับเจ้าและซ่านจินจื๋อกัน หากไม่มีพวกเขาคอยเป็นหมาก ข้าคงรั้งพวกเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ”
“ท่านถึงกับ…”
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยชีวิตยู่จุน และยิ่งต้องการให้ซ่านจินจื๋อมาเอาของที่เดิมทีเป็นของเขากลับคืนไป แบกรับแว่นแคว้นที่ควรเป็นของเขาตั้งแต่ต้น”
คำพูดกระชับได้ใจความ น้ำเสียงของซ่านต้วนโฉงเจือแววพิโรธอยู่หลายส่วนตั้งแต่ต้นจนจบ
การเคารพให้เกียรติฉันท์พี่น้องที่มีต่อซ่านจินจื๋อหลายปีมิได้เสแสร้ง เพียงแต่ความคับอกคับใจก็ใช่ว่าจะคลี่คลายเพียงชั่วข้ามคืน
แว่นแคว้นนี้ก็คืออ่าวที่ยากจะข้ามผ่านระหว่างเขากับยู่จุน และเป็นเพราะยามที่พวกเขาสองแม่ลูกขัดแย้งกันจนเผยโฉมหน้าที่แท้จริง หลายปีมานี้ซ่านต้วนโฉงทรงงานขยันขันแข็งไม่หย่อนยานงานราชสำนัก ที่ทำไปก็คงไม่พ้นรู้สึกละอายแก่ใจ และเพื่อหาเหตุผลทำร้ายผู้อื่นให้เขาสักข้อ
เขาเป็นจักรพรรดิทรงธรรมองค์หนึ่ง จัดการแคว้นชางหลานแห่งนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
ฆ่าคนสักสองสามคนเพื่อให้ยู่จุนฟื้นขึ้นมา แล้วอย่างไรเล่า
แยกแยะดีชั่วไม่ได้ต่างหากที่เป็นแรงจูงใจ
ยามนี้กู้อ้าวเวยมองดวงเนตรที่ดูสงบปานสายน้ำคู่นั้นของซ่านต้วนโฉ. กล่าวราบเรียบว่า “ท่านเป็นฮ่องเต้ทรราชเสียดีกว่า”
“ไฉนข้าถึงไม่เคยคิดเยี่ยงนี้มาก่อน ลูกหลานเชื้อพระวงศ์มีขีดจำกัดมากมาย คงเทียบกับการกระทำบุ่มบ่ามของพวกเจ้าไม่ได้ แต่ยามนี้ แม้ยู่จุนจะฟื้นขึ้นมามือข้าก็เปื้อนคราบเลือด แต่แว่นแคว้นสันติสุขในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลับมิใช่ควรชื่นชมข้าหรอกหรือ” ซ่านต้วนโฉงหัวเราะเย็นชา ความเย็นยะเยือกนั้นแทรกซึมเข้าสู่ช่องว่างในใจของกู้อ้าวเวย บังเกิดความเจ็บปวด แต่ละวรรคแต่ละคำก็ตกค้างอยู่ในสมองของนาง “อำนาจสังหารและถือกำเนิดทั่วแคว้นชางหลานอยู่ในมือข้า ข้าสังหารคนเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวหรือส่วนรวม ทั้งหมดล้วนเป็นสิทธิ์ที่พวกเจ้ามอบให้ข้าทั้งนั้น”
ได้รับอำนาจแล้วก็เพื่อการฆ่าคนโดยไม่มีชนักติดหลัง
หากอยู่ในยามปกติ กู้อ้าวเวยจักต้องพูดว่าน่าขันสักหนึ่งหนเป็นแน่ แต่ยามนี้ นางไม่รู้ดีชั่วถูกผิดทั้งนั้น
“อย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ในเมื่อข้ารับปากท่านว่าจะช่วยชีวิตยู่จุนย่อมไม่อาจหยุดกลางคัน” กู้อ้าวเวยคร้านจะยื้อยุดเรื่องนี้อีกต่อไป ทำเพียงกล่าวเสียงต่ำ “แต่เรื่องของยู่จือ ไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน หากท่านอยากให้หม่อมฉันทำอะไร ก็ล้วงหมากที่ควรค่าให้ข้าลงมือออกมา”
“งานแต่งงานของฉีหรัว เจ้าไม่สนใจสักนิด?”
“นั่นเป็นงานแต่งครั้งยิ่งใหญ่ของหลานชายเขา และเป็นงานแต่งครั้งยิ่งใหญ่ของพี่บุญธรรมของหม่อมฉัน หากฝ่าบาทกล้าลงมือ เช่นนั้นชางหลานก็คงต้องเปิดศึก นอกในโกลาหล คนตายและความเคียดแค้นกลายเป็นอาชญากรรม บางทีอาจไม่ตกอยู่ที่ตัวฝ่าบาทเอง เนื่องจากทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่หับหญิงงาม” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก จู่ๆ พลันนึกถึงเรื่องของเฉิงกุ้ยเหรินขึ้นมา ถามขึ้นมาอีกว่า “การตายของซู๋เซ่อฮองเฮาองค์ก่อน มีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามหรือไม่”
ซ่านต้วนโฉงถูกถามพลันอึ้งงันก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นจึงส่ายหน้า “คนของหานเอ๋อข้าขวางไว้ตั้งแต่ต้น การตายของซู๋เซ่อ ไม่เกี่ยวกับเขา”