บทที่ 1042 ฟื้นขึ้นมา
ภายในตำหนัก ซ่านเซิ่งหานพึ่งตื่นได้ไม่นาน
ก็ถูกฉีหรัวพาคนเข้ามาบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พอเสร็จแล้วก็กลับรู้สึกปวดหัวอย่างมาก ยกมือขึ้นกุมขมับ: “คนชุดดำพวกนั้นมีวรยุทธกล้าแกร่ง ข้าก็สู้กับเขาอยู่นาน ไม่คิดว่าจะมีอีกกลุ่มมาช่วย ข้าเห็นเขาถูกนำตัวไปก็เลยสมาธิแตก ถึงได้ติดกับ”
พอพูดจบ พวกหมอหลวงก็พยักหน้าเบาๆ: “คนผู้นี้มีพิษอยู่บนฝ่ามือเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่องค์ชายที่รีบหยุดการต่อสู้ เกรงว่าวันนี้ก็คงจะยังไม่ตื่น”
หมอหลวงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ฉีหรัวเห็นหมอหลวงยังไม่ออกไปเสียที จึงต้องพูดให้ออกไป
ตลอดทั้งคืน คนภายในวังที่ควรรู้เรื่องนี้ก็รู้หมดแล้ว พวกที่ไม่ควรรู้ก็รู้แค่ว่าช่วงนี้มีลมพัดแรง ที่ไหนก็ต่างไม่สันติ
และภายในวังกลับมีคนแบบนี้ปรากฏขึ้น พิสูจน์ได้ว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยเหมือนที่คิดไว้
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดวิตกไม่หยุด ซ่านเซิ่งหานสั่งลูกน้องไปสั่งคนให้ตามหากู้อ้าวเวย
“องค์ชายสาม”
ได้ยินแค่ด้านนอกมีเสียงคนพูดขึ้นเสียงเบา ทุกคนหันขวับไปพร้อมกัน ก็เห็นตงฟางซวนเอ๋อในชุดขาวย่างก้าวเข้ามาช้าๆ ขอบตานางดำเล็กน้อย ก็รู้ได้ว่านางคงไม่ได้หลับทั้งคืน เส้นเลือดฝอยในดวงตาก็เห็นได้อย่างชัดเจน นางคุกเข่าลงข้างเตียง: “ภายในวังมีโจรงั้นเหรอ องค์ชายทำไมถึงไม่สั่งคนให้ไปสืบให้ชัดเจนล่ะ กลับสนใจชีวิตผู้หญิงคนเดียวได้ยังไงกัน!”
นางคงเข้ามาคิดจะสอบปากคำกระมัง
ฉีหรัวสีหน้าเย็นชาทันที: “ความหมายของคุณหนูตงฟางคือ องค์ชายสามลำเอียงเหรอ?”
“ไม่เพียงแต่องค์ชายสาม อ๋องจงผิงก็คงเป็นเช่นนี้?” ตงฟางซวนเอ๋อไม่กล้าสบตาองค์ชายโดยตรง แต่ก็ยังกล้าพูดตอบโต้ฉีหรัว ในสายตามีแต่ความโกรธ: “อ๋องจิ้งเคยนำเรื่องฮองเฮาก่อนที่ถูกลอบสังหารให้อ๋องจงผิงทำ ตอนนี้ความจริงก็ยังไม่ปรากฏ ท่านป้าถูกลอบสังหาร ตอนนี้ก็ต้องลำบากองค์ชายสามไปด้วย ถ้าองค์ชายทั้งสองไม่ใช่คนของราชวงศ์ เกรงว่าตอนนี้หัวคงตกพื้นแล้วกระมัง”
คำพูดนี้ทำเอาฉีหรัวตอบโต้กลับไม่ออก โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไม่หมด ไม่อยากจะพูดอะไรกับนางต่อ
เรื่องนี้อ๋องจิ้งกับอ๋องจงผิงทำไม่ดีจริง
ซ่านเซิ่งหานกลับขมวดคิ้ว ลุกยืนขึ้นมา: “คุณหนูตงฟางรู้ได้อย่างไร คนที่ฆ่าฮองเฮาองค์ก่อนกับตงฟางฮองเฮา เป็นคนเดียวกัน?”
พอพูดคำนี้ออกไป ก็เห็นตงฟางซวนเอ๋อเลิกคิ้วขึ้นไม่พอใจ: “ก็แค่การคาดเดา”
“ก็แค่การคาดเดา คุณหนูตงฟางก็บังอาจมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าข้ากับว่าที่พระชายาอ๋องจงผิงงั้นเหรอ?”
ซ่านเซิ่งหานไม่พูดอีก พอเห็นสีหน้าซีดขาวของตงฟางซวนเอ๋อ ก็ยังพูดต่อว่า: “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าที่กตัญญูต่อเสด็จแม่ วันนี้เจ้าคงจะถูกเฆี่ยนสักสามสิบครั้ง เพื่อเป็นตัวอย่างแล้วล่ะ”
แต่ละคำพูดล้วนแต่เป็นการเตือนทั้งนั้น
สีหน้าตงฟางซวนเอ๋อซีดขาว ยังคงคุกเข่ายกมือขึ้นช้าๆ: “ขอองค์ชายสามทำโทษ”
ซ่านเซิ่งหานปัดมือ: “คุณหนูตงฟางจำไว้ เรื่องนี้ไม่ต้องให้คุณหนูอย่างเจ้ามีส่วนร่วมหรอก”
องค์ชายสามที่อ่อนโยนตอนนี้กลับมีสีหน้าที่โหดเหี้ยม ตงฟางซวนเอ๋อก็ตัวสั่นไปทั้งตัว และไม่กล้าถามอะไรต่ออีกเลย
เรื่องนี้กลับถูกปล่อยไปลวกๆอย่างนั้น ตงฟางซวยเอ๋อในใจรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อกี้นอกจากหน้าประตู ก็พูดว่า: “ทั้งที่กู้อ้าวเวยเป็นคนฆ่าท่านป้า พวกเขากลับปกป้องคนร้าย ข้าว่านะ แม้นางจะตายแล้ว ก็ไม่เกี่ยวข้องกับชางหลานของ……โอ๊ย!”
ตงฟางซวนเอ๋อกุมแก้มที่แดงแสบของตัวเองไว้แน่น และล้มลงพื้นไป
เห็นแต่เงาดำเดินผ่าน ต่อมาก็เป็นเสียงหัวเราะในลำคอของซ่านเชียนหยวน: “ตอนนี้ยังมีคนกล้าแตกคิ้วของเสด็จลุง ตบนี้ ก็นับว่าเบาแล้ว”
ซ่านเชียนหยวนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ตงฟางซวนเอ๋อกลับนั่งลงพื้นไม่ได้สติอยู่นาน แต่กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายนางสั่นเทาอย่างหนัก มีเลือดกบปากบางๆ สาวรับใช้ข้างๆพูดซุบซิบกัน นางก็ไม่ได้ยินแล้ว
การตบนี้ ไม่น้อยไปกว่าแซ่สามสิบครั้ง
……
ภายในวังหลวง ข่าวลือเหมือนลมที่พัดไปอย่างรวดเร็ว
และซ่านต้วนโฉงกลับยังคงอยู่ในตำหนักที่เย็นเฉียบของยู่จุน กุมมือยู่จุนอย่างระมัดระวัง
ความสวยของเมื่อคืนเปลี่ยนเป็นหิมะละลายในวันนี้ ฤดูหนาวเริ่มมีลมพัดแรง
หยูนซีที่นอนอยู่บนเตียงนุ่ม กลับหยิบเสื้อขึ้นมาด้วยนิ้วสีแดงที่เย็นเฉียบอย่างขี้เกียจ เอามาใส่ไว้ง่ายๆ สาวรับใช้สองคนเดินขึ้นไปปลดล็อกโซ่ที่ล็อกไว้นาน ข้อมือได้รับความอิสระ ใบหน้านางยังคงมีรอยยิ้มแขวนอยู่ หน้าตาคล้ายกับคนในโลงน้ำแข็ง ทำเอาสาวรับใช้ต้องอึ้งทันที
“พยุงข้าขึ้นมาทำยาก็พอ”
หยูนซียกมือขึ้น สาวรับใช้ก็รีบยื่นมือเข้าไปพยุงไว้เหมือนพยุงสนม
เปลี่ยนเสียงหัวเราะจากใจของหยูนซีมาได้ แต่รอยช้ำแดงม่วงภายใต้เสื้อผ้านั้นกลับทำเอาคนไม่กล้ามอง
ภายในวังเหลือแต่ความหนาวเหน็บ ซ่านต้วนโฉงเฝ้าอยู่ข้างยู่จุนไม่ไปไหน ไม่สนใจว่ามือคู่นี้จะแตะต้องผู้หญิงอื่นมา แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิ จนกระทั่งขันทีที่รวบรวมความกล้ามาเชิญฮ่องเต้ไปห้องหนังสือ ซ่านต้วนโฉงลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา เดินผ่านหยูนซีไป
ไม่ทันตั้งตัวถูกคนผู้นั้นดึงแขนเสื้อไว้ เวลาเหมือนกลับไปเมื่อก่อน
ใบหน้าของหยูนซีมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น และพูดว่า: “ข้าไม่วิ่งหนีแล้ว บอกพวกเขาอย่ามาหาข้าอีก ได้หรือไม่?”
คงเป็นเพราะเมื่อคืนหมดอารมณ์ หรือเพราะเรื่องที่อนาคตยู่จุนที่ตื่นขึ้นมาได้ ซ่านต้วนโฉงจึงตอบตกลง แต่กลับสั่งให้สาวรับใช้ขันทีเฝ้าอยู่ด้านนอก จะปล่อยนางออกไปไม่ได้
หยูนซีก็ดีใจอย่างมาก ส่งซ่านต้วนโฉงออกไป
พอทุกคนออกไป ประตูถูกปิดลง
ตลอดสิบปีมานี้ ในที่สุดก็ไม่มีดวงตาเป็นสิบที่จ้องมองนางอย่างนั้นแล้ว
และหยูนซียังคงมีสีหน้าที่ซีดขาว ลุกขึ้นมาช้าๆ เดินไปหายู่จุนด้วยสีหน้าที่มืดหมน
“ในเมื่อตื่นแล้ว ทำไมไม่พูด?”
คนที่อยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงเป็นสีอำพัน
ยู่จุนขยับปากเล็กน้อย แต่กลับหัวเราะเสียงเบา: “ในโลกนี้ยังมีคนที่หน้าด้านเช่นเจ้าไหม?”
“ยังมีเจ้าไม่ใช่เหรอ?” หยูนซียิ้มเย็นชา โน้มตัวลงมองนาง: “เขาไม่คุ้มค่าพอให้เจ้ามีเยื่อใยหรอก เมื่อคืนจะเสียใจเพราะเรื่องนี้ทำไม? เอาตัวเองเข้าไปด้วยก็ไม่สนใจหรือไง”
ใบหน้าของยู่จุนมีความเจ็บปวดลอยขึ้น แต่น่าเสียดายที่สองมือไร้เรี่ยวแรง ทำได้แค่เอามือยันเตียงไว้: “เจ้าล่ะ? มีอะไรที่อยากได้?”
หยูนซีกลับมองนางและยิ้มแห้ง เดินออกไปด้วยร่างกายที่อ่อนแอ
ยู่จุนกลับลุกขึ้นมานั่งบนเตียงช้าๆ น้ำตาอาบแก้มสองข้างร้องไห้เสียงดัง
สาวรับใช้ขันทีก็ต่างก็เข้าไป เจ้าของตำหนักนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
ไม่นาน ขันทีก็เรียกซ่านต้วนโฉงกลับมา
โผล่เข้ากอดยู่จุนเหมือนได้ของล้ำค่า ร้องไห้ไม่หยุด
แต่กลับไม่เห็นสายตาที่เสียใจของหญิงทั้งสอง