บทที่ 1071 มีผู้ช่วย
ยื่นนิ้วออกมาเคาะโต๊ะ ซ่านจินจื๋อได้รับข่าวมาไม่น้อยว่ามีขุนนางมากมายกำลังสืบข่าวเกี่ยวกับพระชายาจิ้งในปีนั้น รวมทั้งเรื่องของหมอเทพในตอนนี้ด้วย เพราะว่ากู้อ้าวเวยใช้ใบหน้าของนางไปทำเรื่องมากมาย แล้วทุกครั้งที่เปลี่ยนแปลง ก็จะมีตำแหน่งที่สูงส่งตลอด ทั้งยังไม่มีเกี่ยวข้องกันด้วย ทำให้คนคิดไม่ตกไปตามกัน ขุนนางเก่าแก่บางกลุ่มก็คิดแค่ว่าอาจจะมีใบหน้าที่คล้ายกันเท่านั้น
แต่ตอนนี้หมอเทพหายตัวไป ซ่านต้วนโฉงก็ส่งคนออกไปตามหา
นางได้เลื่อนขั้นในเวลาไม่นาน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการหมอเทพมารักษาจริงๆ แต่ขอเพียงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้ ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ ดังนั้นก็เลยมีคนเล็งเห็นถึงจุดประสงค์ภายใน
พระชายาจิ้งในตอนนั้น ก็คือลูกสาวของเฉิงเสี้ยงคนก่อน ชื่อว่า กู้อ้าวเวย
ส่วนองค์หญิงเอ่อตานและหมอเทพ แทบจะไม่รู้จักชื่อจริงเลย ส่วนพระชายาจิ้งและหมอเทพ มีจุดที่เหมือนกันก็คือ รู้การแพทย์
ทำให้ตอนนี้แม้แต่จี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) เอง ก็ถูกจับตามอง โชคดีที่เห้อจิ้นหล่างจัดการได้ดี ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าจี้ซื่อถาง (ร้านขายยา) และตำหนักอ๋องจิ้งเกี่ยวข้องกัน
“ต่อให้พวกเขาพบอะไรเข้า แล้วอย่างไร?” ซ่านจินจื๋อมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง เอามือนิ้วหว่างคิ้วด้วยอารมณ์เหนื่อยกายเหนื่อยใจ “ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป มีคนนิ่งดูสถานการณ์ มีคนเห็นครั้งนี้เป็นโอกาส ก็แล้วแต่พวกเขาจะทำอะไร ขอเพียงวางกำลังทหารแยกออกไปร้อยลี้โดยรอบ พอเห็นใครคิดไม่ซื่อ ก็จัดการเสีย”
เฉิงซานได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้จะแยกกำลังทหารของท่าน ก็เลยออกราชโองการให้ท่านนำตำราพิชัยสงครามเข้าเฝ้า แต่ท่านเอาแต่ปฏิเสธ ถ้าทำให้ฮ่องเต้โมโหละก็………”
“ที่ฮ่องเต้จะพบข้านั้น คงไม่ใช่แค่เรื่องกำลังทหารเพียงเท่านั้นแน่”
ซ่านจินจื๋อก็เงยหน้าขึ้น พี่ชายของเขาถึงแม้จะให้อำนาจอันยิ่งใหญ่กับเขา แต่ก็สามารถควบคุมได้ตอนที่เข้าวัง ให้เขาวางอำนาจได้ แต่จะมาผิดกฎหมายของประเทศไม่ได้ และไม่อาจจะต่อกรกับอำนาจโอรสสวรรค์ได้
นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงซ่านต้วนโฉงเชื่อใจเขา ก็อาจจะเป็นเพราะว่าซ่านต้วนโฉงเองก็มีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ ก็เลยไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเล็กน้อยที่เขาก่อขึ้นในเมืองเทียนเหยียน
“เมื่อก่อนนี้ ข้าอยู่ชายแดน ไม่มีใครกล้าต่อกร พอกลับมาเมืองเทียนเหยียนก็มีผลงานสูงกว่าเจ้านาย ท่านพี่ก็มักจะอาศัยกำลังของข้าไปคานอำนาจของพวกเหล่าขุนนาง ทำให้ตระกูลของสนมต่างๆ ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร ตอนนี้จะยึดอำนาจกำลังทหารของข้า ก็ต้องมาคิดเสียหน่อยว่า ข้างหลังข้ามีเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อรอคอยอยู่”
ยิ้มเบาๆ ซ่านจินจื๋อก็สะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น
เขาช่วยเหลือเรื่องในราชสำนักของซ่านต้วนโฉงมามาก ได้มาซึ่งการเสพสุขภายใต้ความสงบของบ้านเมือง
ตอนนี้ซ่านต้วนโฉงอยากจะมาตีน้ำที่กำลังสงบเงียบ เขาก็ต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านไปพร้อมกับซ่านต้วนโฉง
“ท่านอ๋องจะไปไหน?” เฉิงซานรีบตามมาด้านหลัง
“เวยเอ๋อน่าจะตื่นแล้ว”
“คุณหนูใหญ่ตื่นนานแล้ว แต่ไม่ได้อยู่ในห้อง” ชายรับใช้ด้านข้างพูดขึ้น แล้วเห็นท่านอ๋องมองมาหน้านิ่งๆ ก็เลยรีบพูดว่า “คุณหนูใหญ่ไปหาใต้เท้ากุ่ยเม่ย บอกว่าจะกลับตำหนักอ๋องจิ้งเสียหน่อย”
……
ในกำแพงสูงสีแดงจตุรทิศ
ยู่จุนนั่งหน้าบึ้งบนเก้าอี้หวาย สิ่งที่เห็นเมื่อเงยหน้ามอง ก็มีแต่ความหนาวเหน็บของเหมันตฤดู
ร่างกายที่อ่อนแรงซบลงไปยังเก้าอี้หวาย ใบหน้าที่ผอมเล็กไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอาง ในดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาคู่นั้นห่อหุ้มไปด้วยความโดดเดี่ยวโศกเศร้า ร่างกายที่ผอมบางถูกเสื้อคลุมขนมิ้งห่อร่างกายอย่างหนาแน่น มีเพียงมือหนึ่งคู่ที่ถูกลมหนาวพัดโชยใส่จนแดงก่ำและกำลังจับหยกที่ยังไม่ได้แกละสลักเล่นไปมา
สี่ด้านมีขันทีและนางในนั่งล้อมอยู่10กว่าคน ด้านข้างที่ใกล้ที่สุดมีนางในนั่งคุกเข่าลงอย่างตกใจกลัวตัวสั่น
“ลมในฤดูหนาวจะเย็นมาก เชิญแม่นางยู่จุนเข้าไปด้านในตำหนักเถิด เดี๋ยวจะป่วย”
ตอนนี้เพียงแค่ทำให้นางมือแดงขึ้นมาเพาระหนาวเย็น ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงโทษเช่นไร
ถ้าเป็นเช่นนี้ไปอีก……
กลัวว่าพวกนางจะเอาชีวิตไม่รอด จากนั้นทุกคนก็โขกศีรษะขอร้องต่อยู่จุน
แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านในของตำหนัก แล้วเสียงโซ่ตรวนก็ดังตามออกมา
เห็นหยูนซีปาดเส้นผมอันดกดำไปทางด้านหลัง โซ่ตรวนที่ข้อเท้าก็ถูกลากมาจนสุด แต่ใบหน้าของนางก็ยังคงแฝงรอยยิ้มเล็กๆ แล้วนั่งลงที่พื้น ในมือก็ถือหนังสือหนึ่งม้วน “เจ้ากำลังคิดใช่ไหมว่าจะทำอย่างไรให้ได้นางมา?”
ยู่จุนค่อยทำตาหยีลง มือก็บีบพยักแขนเก้าอี้แน่นขึ้น
“เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่านาง……” ยู่จุนจ้องมองนางอย่างโมโห
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ตอนนั้นนางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่ตอนนั้นเจ้าสนิทกับนางมาก แล้วยังให้ยันต์แก่นาง แล้วสอนนางว่าหลังจากไปแล้ว ให้คนมาแทนที่”
ในลำคอของหยูนซีส่งเสียงหัวเราะแหลมๆ และสั้นๆ ออกมา แล้วตามด้วยการเอาม้วนหนังสือนั้นมาปิดปาก
สีหน้าของยู่จุนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก “ในช่วงเวลานั้น ข้าเห็นนางไม่ทำอะไรเลย วิชาการแพทย์ก็ไม่สู้หยุนหว่านที่มีพรสวรรค์มากมาย ส่วนยันต์นั้น…….เอ่อ ข้าก็แค่หวังว่าจะให้นางตายไปในวันนั้นเท่านั้นเอง เจ้ารู้ไหมว่าข้าวางยาพิษไว้ในยันต์นั่นมากแค่ไหน นางจับมันทุกวัน ทุกวันนี้ยังกลับรอดมาได้”
“แต่นางเป็นคนของตระกูลพวกเรานะ เป็นสายเลือดหลักอีกสายหนึ่ง”
หยูนซีพูดออกมาอย่างไม่กลัว จากนั้นก็ขยับกุญแจโซ่ตรวนบนร่างตนเอง แล้วพูดต่ออีกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้าเป็นตัวแทนของเจ้า เจ้าก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเข้าใกล้นาง”
“ในโลกนี้ คนที่พูดกับข้าแบบนี้ได้ ก็มีแต่เจ้า” ยู่จุนมองด้วยสายตาเย็นชา แล้วออกมาจากเสื้อคลุมขนมิ้ง ภายใต้เสียงตกใจของพวกขันทีและนางในทั้งหลาย ก็เอาผ้าคลุมขนมิ้งที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้คลุมที่ไหล่ แล้วก็คุกเข่าลงพื้นที่พื้น
“ฮ่องเต้เคยบอกไว้ว่า ไม่ให้ท่านเข้าใกล้แม่นางหยูนซี”
“วันข้างหน้าพวกเจ้าก็จะเป็นคนรับใช้ของตระกูลยู่ตระกูลหยุน ยังจะกล้ามาเอาความข้าอีกหรือ?” ยู่จุนมองด้วยสายตาโกรธ ดวงตาอันงดงามคู่นั้นมองไปยังไหล่ของหยูนซี แล้วพูดเบาๆ ว่า “ถูกขังมาสิบกว่าปี เจ้าก็ไม่ได้บ่นอะไร อยากจะต่อกรกับข้าหรือ?”
หยูนซีกระชับผ้าคลุมขนมิ้ง แล้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เหมือนกับเจ้า ข้ายังมีห่วงที่ต้องจัดการ”
“นางไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูของเจ้า จะห่วงอะไร?” ยู่จุนตาเป็นประกาย แล้วก็จับคางของนางอย่างแรง แล้วจ้องมองดวงตาที่ไม่มีการเคลื่อนไหวคู่นั้น “หรือว่า เจ้าจะคิดจริงๆ ว่า เจ้าทำให้ลูกสาวตัวเองเป็นบ้า พวกนางจะให้อภัยเจ้าหรือ?”
หยูนซีหลบสายตาไป แล้วก็ยกมือขึ้นมาปัดยู่จุนออก “ยั้งมือเถอะ เรื่องในอดีตนั้นมันได้ ………..”
“สำหรับข้า มันไม่ใช่เรื่องอดีต” ยู่จุนหัวเราะพุ่งออกมาเบาๆ แล้วก็จับไปที่หัวไหล่ของหยูนซีอย่างแรง ด้วยความโกรธถึงขีดสุด “ภัยพิบัติของมหันตภัยจากฟ้า ต่างก็เห็นๆ กันอยู่ ข้าก็ไม่คิดว่าจะใช้เสียงนี่ไปพบเขา ส่วนเจ้าก็ลองทายดู ว่ากู้อ้าวเวยใช้ยันต์แล้วไม่ตาย แล้วใครที่เป็นอยู่ในเสียงนั่น?”
หยูนซีทำหน้านิ่งไป “เจ้านี่มันบ้าไปแล้ว นั่นเป็นเพียงความฝันของเจ้า ไม่ใช่ชาติที่แล้วของเจ้า”
“แต่ในความฝันที่ไม่สิ้นสุดนั่น ข้าได้ยินนางหักหลังข้า ข้าเองก็ได้ส่งนางไปยังปรโลกด้วยมือข้าเอง” ยู่จุนหัวเราะออกมาอย่างโง่ๆ ส่วนมือ ก็อยากจะจิกลงไปที่เนื้อของหยูนซี “พวกเราเป็นตระกูลเดียวกัน …….กู้อ้าวเวยก็ได้”
หยูนซีมองนางอย่างลึกซึ้ง “นางไม่สนใจ”
“ขอเพียงซ่านจินจื๋อหักหลังนาง นางก็จะรับรู้ได้ว่า ทั้งหมดนี้มันน่าขำสิ้นดี” ยู่จุนหัวเราะแล้วยกมือของหยูนซีขึ้น มือที่บิดเบี้ยวไปเพราะถูกโว่ตรวนล่ามไว้หลายปี
“ในสายเลือของตระกูลหยุนและตระกูลยู่ที่ไหลเวียนนั้น เต็มไปด้วยความแค้น ดังนั้นพวกนางจะช่วยข้าได้”
ยู่จุนพูดยิ้มออกมาเบาๆ หยูนซีกลับมองไปยังผู้หญิงที่ตามพวกขันทีเข้ามาอย่างองอาจ
“ตระกูลหยุนมีภาพลวงตบตาคนได้ พวกเราตระกูลยู่ ก็มีผู้ช่วยเช่นเดียวกัน”