บทที่ 1064 คำใบ้รู้หรือไม่
โต๊ะยาวล้มลงกับพื้นภายใต้ดาบเล่มยาว หม้อน้ำมันรากเต็มพื้น เกือบกระเด็นถูกชายเสื้อของซ่านเซิ่งหาน
ส่วนซ่านจินจื๋อเพียงแค่โยนดาบเล่มนั้นให้กับลูกน้องที่ยืนด้านข้าง น้ำมันร้อนกระจายไปกับลมแรง ไม่มีสิ่งที่ไม่ปนเปื้อน ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างกัดฟันรับมีดมา แต่ก็เดินมาตั้งหลายก้าวกว่าจะหยุดได้
ไม่มีใครกล้ายืนรออยู่รอบๆ
สีหน้าซ่านเซิ่งหานเรียบเฉย ไม่มีความตื่นตระหนกหลังจากที่ถูกเปิดเผยความจริง ตรงกันข้ามกลับมีท่าทีเหมือนรู้แต่แรกแล้ว รวบแขนเสื้ออย่างเร่งรีบ ยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าซ่านจินจื๋อภายใต้ฝุ่นขี้เลื่อย
มีเพียงแสงสีเงินแวววาวอยู่ตรงหน้า ใบมีดฝ่าผ่านลมภายในร้าน เสียงดังระเบิดขึ้นในหูทันที
มาพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยม ทำให้สีหน้าซ่านเซิ่งหานเปลี่ยนไปทันที ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่นั่งลงบนม้านั่งยาวตัวนี้อย่างมั่นคง แล้วก็กัดฟันแน่นยับยั้งความดันโลหิตที่พุ่งขึ้นมาไว้ตรงหน้าอกกับช่องท้อง พูดขึ้นด้วยความโกรธว่า
“เสด็จอา หยิ่งผยองเพราะเป็นที่โปรดปรานมากไปแล้วนะ” ซ่านเซิ่งหานกอดทนต่อความไม่พอใจ ฉีกยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
ดวงตาสั่นไหว ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังทั้งสองต่างก็ชักดาบเข้าหากัน ดาบยาวตรงหน้าห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว แม้กระทั่งตรงคอของซ่านเซิ่งหานถูกบาดแล้วหนึ่งแผล ไม่ใกล้ไม่ไกล ถึงมีบาดแผล แต่ไม่มีเลือดไหลสักหยด
ความตั้งใจจากการฆ่าด้วยดาบยาวไม่ลดน้อยลง สีหน้าซ่านจินจื๋อเยือกเย็น ในมือถือดาบไว้นิ่งไม่เคลื่อนไหว
“เจ้าเอาเวยเอ๋อมาคืนข้า ข้าจะไม่เอาความโปรดปรานที่เสด็จพี่มีให้มาทำอะไรตามใจ”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นหลานแท้ๆของข้า จะไม่ฆ่าเจ้าโดยที่ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว แต่ว่าจับคนข้างกายของเจ้าไม่กี่คนใช่ว่าจะทำไม่ได้”
“อย่างเช่น…พระชายาองค์ชายสาม”
เพราะอย่างเจ้าเล่ห์ ดาบในมือซ่านจินจื๋อก็ถูกรวบเก็บ
ในหูทุกคนได้ยินเหมือนดั่งเสียงฟ้าผ่า หึ่งดังอยู่ในหู เมื่อได้สติกลับมา ดาบยาวนั้นก็แทงทะลุพื้นอิฐไปแล้ว ไม่เพียงไม่แตกหัก แต่แสดงถึงการข่มขู่ ส่วนซ่านจินจื๋อกางเท้านั่งลง มือทั้งสองข้างซ้ายและขวาวางบนต้นขาอย่างเกียจคร้าน ค่อยๆโน้มกายไปด้านหน้า
“หากเสด็จพี่โหดเหี้ยมอำมหิต งั้นข้าก็จะดึงเขาลงมา หานเอ๋อฉลาดหลักแหลม วันนี้แทนที่จะมาโกหกกัน มาร่วมมือกับข้าลับๆไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่เป็นการทำให้เวยเอ๋อผิดหวังในความที่อุตส่าห์เชื่อถือ”
น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความหัวเราะ ดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนดั่งพายุ เห็นทีไม่ได้ให้ซ่านเซิ่งหานมีทางเลือกอื่น
ใครจะไปคิดว่าสีหน้าของซ่านเซิ่งหานเปลี่ยนไปแล้วก็เปลี่ยนอีก หลังจากนั้นค่อยไอแล้วพูดขึ้นว่า
“เช่นนี้เสด็จอาหมายความว่าอย่างไร เสด็จพ่อมีความตั้งใจที่จะยกบัลลังก์ให้กับข้าแล้ว ยังมีความจำเป็นต้อง…”
“จำเป็นหรือไม่ หลังจากนี้แล้วส่งคนไปบอกกับข้าก็พอ เพียงแต่วันนี้ที่มา ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า หากเจ้าดูแลเวยเอ๋ออย่างดีไม่ทำร้ายเวยเอ๋อ ต่อไปจะยอมยกให้อยู่ที่สูงกว่า จะยอมเป็นแค่ประชาชน หากเจ้าคิดแต่จะทำเพื่อความต้องการส่วนตัว ยังอยากที่จะได้มีโอกาสเสพสุขดื่มสุรากับสาวงาม ก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิต”
เพิ่งพูดเสร็จ ซ่านจินจื๋อค่อยลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
มีเพียงตอนนี้ ซ่านเซิ่งหานค่อยมองเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา นั่นก็คือหงเซียวที่ควรติดตามอยู่ข้างกายฉีหรัว
ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นกำลังจ้องมองดูเขาอยู่ สุดท้ายจึงก้มลงเก็บดาบเล่มยาวที่อยู่บนพื้นแล้วเก็บเข้าฟัก
ไม่มีใครรู้ว่าหงเซียวมาได้อย่างไร และยิ่งไม่รู้ว่าหงเซียวเอาดาบเล่มยาวนี้ยื่นให้กับซ่านจินจื๋อเมื่อไหร่
หากซ่านจินจื๋ออยากที่จะเอาชีวิตตน เมื่อกี้ก็สามารถทำได้แล้ว
ยกมือยันข้างหนึ่งแล้วลุกขึ้น ก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะจากไปเพียงแค่มองดูเขาอย่างเย็นชาหนึ่งที แล้วก็พาคนออกไป มองดูทิศทางที่จากไป เหมือนกำลังตัดสินใจมุ่งหน้ากลับจวน ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะไปตามหาคนด้านนอกเมืองอีก
ตรงหน้ากระจัดกระจายวุ่นวาย แล้วซ่านเซิ่งหานก็อ้วกเลือดออกมาหนึ่งก้อน
หลานเอ๋อร์รีบเข้ามาประคองเขาไว้ ชันเข่าไว้บนพื้นแล้วพูดว่า “ท่านยังไหวไหม? ให้หลานเอ๋อร์ไปตามหมอมาให้ไหม?”
“ไม่เป็นไร” ซ่านเซิ่งหานจับแขนของหลานเอ๋อร์ไว้แล้วก็ยืนตัวตรง ชายแขนเสื้อลวดลายด้ายทองกับด้ายเงิน เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง เขาขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ตกลงกู้อ้าวเวยอยู่ที่ไหน?”
“ดูท่าทีของท่านอ๋องจิ้งเมื่อกี้นี้ คุณหนูใหญ่น่าจะไร้ร่องรอยแล้วจริงๆ” หลานเอ๋อร์รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้กับซ่านเซิ่งหาน แล้วพูดอีกว่า “เมื่อกี้หลานเอ๋อร์พยายามถามท่านอ๋องจิ้งแล้วว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ท่านอ๋องจิ้งก็ไม่ยอมพูด เมื่อกี้ก็มาด้วยท่าทีโหดเหี้ยม เกรงว่าคงเชื่อแน่แล้วว่าคุณหนูใหญ่อยู่ในมือของท่าน”
รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยเลือดรอบริมฝีปาก แล้วด้านนอกหน้าต่างก็มีแสงสว่างสาดส่อง มีร้านค้าเปิดเต็มถนน คึกคักยิ่งนัก
ซ่านเซิ่งหานครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แล้วค่อยถามว่า “ทำไมเขาถึงได้คิดเช่นนี้?”
“หลานเอ๋อร์ก็ไม่รู้” หลานเอ๋อร์ส่ายหัวอย่างจนใจ เมื่อกำลังที่จะลุกขึ้น กลับมองเห็นบนโต๊ะที่กระจัดกระจายนั้นยังมีเส้นสีแดง จึงโน้มตัวไปเก็บขึ้นมา
ซ่านเซิ่งหานมองดูแว๊บหนึ่ง แล้วก็ยื่นมือรับเส้นสีแดงนั้นมา
หลานเอ๋อร์ถามขึ้นยังแปลกใจว่า “เส้นสีแดงนี้ขาดเป็นสองท่อน หมายความว่าอย่างไร?”
“เห็นที เขาไม่ได้มาขอคนจากข้า”
ซ่านเซิ่งหานพูดพึมพำ สะบัดชายแขนเสื้อแล้วลุกขึ้น เก็บสายเชือกสีแดงนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าอย่างไร้ร่องเลย
สายเชือกสีแดงนี้ เป็นสายเชือกสีแดงที่กู้อ้าวเวยสวมใส่ไว้บนข้อมืออยู่ตลอด
เหลือไว้ครึ่งหนึ่งนี้ ไม่ใช่เป็นการข่มขู่ แล้วหมายความว่าอย่างไร?
เดินออกไปแล้วอย่างเร่งรีบ หลานเอ๋อร์มองดูความกระจัดกระจายวุ่นวายภายในห้องนี้ หัวเราะออกมาเสียงดังแล้วก็เรียกคนรับใช้เสี่ยวเอ้อทั้งหมดมาสั่งว่า “ยังไม่รีบไปเก็บกวาด อีกสองชั่วโมงก็จะต้องเปิดร้านแล้ว”
ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายกัน นางกลับเรียกชายคนใบ้คนนั้นมาด้านข้าง พูดกระซิบว่า “เจ้ามองเห็นอะไรไหม?”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่ต้องถาม” ชายคนใบ้เมื่อได้อ้าปากพูดแล้วก็ กลับพูดออกมาอย่างไม่มีมารยาท
หลานเอ๋อร์เบ้ปาก แล้วก็ตรงไปทำงาน ก่อนไปนางเพียงแค่มองดูชายคนใบ้อย่างเย็นชา แล้วก็เก็บกระดาษที่เจอพร้อมกับเชือกสีแดงเมื่อกี้นั่นไว้อย่างไร้ร่องรอย
……
ซ่านจินจื๋อกลับมาถึงจวนอ๋องจิ้ง ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง
พวกกองกำลังทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกเมือง ต่างก็ถูกแบ่งออกไปประจำการยังบ้านริมน้ำโล่เสีย แล้วรอฟังคำสั่ง ภายในเมืองเทียนเหยียนก็เกิดความโกลาหล พวกขุนนางไม่น้อยต่างก็ไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องกำลังคิดที่จะเล่นอะไรกันแน่
ยังไม่ได้เจอคนที่ต้องการพบมาหา อ๋องจิ้งยังคงใช้ให้เฉิงซานคนสนิท เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่
“ท่านอ๋องเดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ระหว่างทางถูกลอบทำร้ายถูกวางพิษยังไม่หายดี การรักษาตัวในครั้งนี้ จะไม่พบผู้ใด”
เมื่อเฉิงซานพูดเช่นนี้ ประตูจวนเปิดออกกว้าง พวกทหารองครักษ์ต่างก็พากันออกมา ยืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าประตูจวน ถึงขั้นไม่ให้คนของพวกขุนนางรออยู่ด้านนอกประตูนาน และก็ไม่สนใจประชาชนที่ผ่านไปมา
ภายในหนึ่งชั่วโมงประตูเมือง ถูกเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวด มีเฝ้าเวรยามเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ส่วนซ่านจินจื๋อที่อยู่ในจวนตอนนี้ กำลังอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนสวมชุดนักรบสีขาว หงเซียวที่ตามอยู่ด้านหลังยิ่งพูดกับเขาว่า “ถึงเวลาควรที่จะล้างให้สะอาดแล้วก็ไปพบคุณหนูใหญ่แล้ว”
“ช่วงนี้ไม่ได้พูดจาทะเล้นต่อหน้าหงเซียว ก็เลยกล้าที่จะมาพูดหยอกล้อถึงข้าแล้วนะ”
ซ่านจินจื๋อมองดูเขาอย่างเย็นชา หงเซียวกลับยิ้มไม่พูดอะไร ตั้งใจรีบเดินตามอยู่ด้านหลัง
เดิมคิดอยากที่จะไปเจอกู้อ้าวเวย กลับเจอกุ่ยเม่ย ที่อยู่ด้านหน้าประตูบอกให้รู้ว่ายาอายุวัฒนะก่อนหน้านี้เป็นสูตรยาที่ผิด เขาจึงต้องเข้าไปหากู้อ้าวเวยเพื่อให้นางบอกด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงหน้าประตู กลับได้ยินเสียงโม่ซานที่กำลังสอบถามอยู่ดังแว่วมา
“เราชอบหมาหมาแมวแมว หามาเลี้ยงไว้ตั้งมากมาย ไม่ใช่เพราะชอบความที่เป็นบ้านหรือ?”
ซ่านจินจื๋อหยุดฝีเท้า ฟังด้านในเงียบไปสักพัก เสียงของกู้อ้าวเวยบวกกับเสียงกรนของแมวดังขึ้นว่า “บางทีอาจจะใช่ ที่จริงข้าไม่ชอบการอยู่คนเดียว ตอนเด็กยังคิดอยู่ว่าถ้าในบ้านมีคนอยู่เป็นเพื่อนข้าเยอะๆก็คงดี ดีที่สุดมีพี่น้องอีกหลายคนก็คงดี”