บทที่ 1091 อดทนไม่ไหว
ความหวาดกลัวเหมือนกับความสงสัย เมื่อมีแล้วเพียงนิดสักวันหนึ่งก็จะกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน พัวพันอยู่ในหัวใจและความคิด ดูดซับความมีเหตุผลที่ลดน้อยลงอย่างไร้ยางอาย ดูดซับความมีเหตุผลให้ลดน้อยลงอย่างไร้เหตุผล
แม้แต่กู้อ้าวเวยก็ไม่สามารถยกเว้น
จางเหยียงซานมองดูกู้อ้าวเวยดื่มน้ำยารสขมลงไปอย่างเป็นปกติ เมื่อวางถ้วยที่ว่างเปล่าลง แล้วก็หยิบผลไม้ไปทานด้วยสีหน้าปกติ
บางทีอาจจะเป็นเพราะได้พูดสิ่งที่หวาดกลัวอยู่ในใจออกมาก เมื่อกู้อ้าวเวยนั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเกียจคร้าน ทั้งร่างกายดูผ่อนคลาย นางหยิบเสื้อคลุมสีเขียวน้ำมาพาดบ่า ผมยาวสลวยได้รวบมัดและใช้กิ่งไม้ปักไว้อย่างเรียบง่าย บางส่วนฟาดไหล่และห้อยลงมาจนถึงเอว เต็มไปด้วยเสน่ห์อ่อนช้อย
เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของจางเหยียงซาน กู้อ้าวเวยจึงหันหน้ามามองดูเขา
“ทำไมหรือ? รู้สึกว่าข้าสวยหรือ?”กู้อ้าวเวยอมยิ้ม รู้สึกว่าท่าทางงุนงงของจางเหยียงซานนี้น่าสนใจมาก
“ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงอ่อนหวานน่ารัก อายุยี่สิบแปด ตามหลักแล้วอายุของเจ้าถือว่าเป็นผู้หญิงที่แก่แล้ว จะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักได้อย่างไร มองดูแล้วมีแต่จะทำให้รู้สึกขนลุก ไม่เข้ากันเลย”
จางเหยียงซานเพิ่งได้สติ คำพูดที่พูดออกมา ทำให้กู้อ้าวเวยแทบจะอ้วกออกมาเป็นเลือด
ยกมือมาตีแขนของเขาเบาๆหนึ่งที กู้อ้าวเวยกลอกตามองบนอย่างไม่งาม พร้อมพูดว่า “ใครดูแก่ ตอนนี้ข้าถือว่าอยู่ในช่วงอายุที่กำลังดี”
“เป็นช่วงที่กำลังดีจริง คนอื่นเขาร่างกายแข็งแรง แต่อีกไม่นานเจ้ากลับต้องนอนอยู่บนเตียง เป็นช่วงเวลาที่กำลังดีของชีวิตแล้วยังไง? มันสะท้อนให้เห็นในความรุ่งโรจน์ในปัจจุบันของเจ้าได้ไหม…เห้ย เจ็บ”
ถูกกู้อ้าวเวยแตะไปหนึ่งที จางเหยียงซานยังร้องขึ้นมาแล้วล้มนั่งลงเก้าอี้ จับขาของเขาแล้วพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “ข้าก็แค่พูดความจริง เจ้าก็อดทนไม่ไหวขนาดนี้แล้วหรือ?”
“ปากของเจ้าทำไมถึงร้ายขนาดนี้ ข้าที่เป็นอาจารย์เคยสอนเจ้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
พูดเหมือนต่อว่า แต่กู้อ้าวเวยก็เอามือข้างหนึ่งวางบนศีรษะ และบนใบหน้าก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ก็คิดอยากทำให้อาจารย์โกรธตาย จะได้ฮุบสมบัติไง”จางเหยียงซานหัวเราะพร้อมพูดขึ้น พร้อมหยิบพู่กันหมึกกระดาษและหินหมึกที่อยู่ข้างมือขึ้นมา เขียนใบสั่งยาที่ยังต้องลองอีกหลายสูตรลงไป เก็บไว้ให้นางเว้นวันลองด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ กู้อ้าวเวยก็ได้เขียนสิ่งของที่ตนเองขาดลงไป รออีกสักสี่สัปดาห์เมื่อทุกอย่างเงียบลงแล้ว ค่อยส่งคนเอาสิ่งของพวกนี้มาเตรียมไว้ใช้
เมื่อกระดาษสองแผ่นนำมาแลกกัน กู้อ้าวเวยกลับจับกระดาษของตนเองไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองจางเหยียงซาน ถึงแม้จางเหยียงซานจะไม่ใช่ชายหนุ่มหล่อเหลา แต่หลายปีมานี้ก็ทำงานได้อย่างใจเย็นแน่วแน่ ตอนที่เป็นศิษย์ของนางก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เวลาส่วนใหญ่ล้วนเอาไปศึกษาเทคนิคทางการแพทย์ ยิ่งแลดูมีความตระหง่าน สุภาพอ่อนโยนสูงส่งสง่างามดุจหยกอันล้ำค่า
“เจ้าไม่มีผู้หญิงที่ชอบหรือ?”กู้อ้าวเวยถามขึ้นอย่างอดทนไม่ไหว
จางเหยียงซานนิ่งอึ้ง แล้วก็หัวเราะหยิบกระดาษในมือของนางมา พร้อมพูดว่า “เห็นว่าตัวเองมีเวลาไม่มากแล้ว ก็เลยคิดที่จะหาภรรยาให้ข้าหรือ?”
“เพียงแค่แปลกใจ ผู้ชายสุภาพอ่อนโยนอย่างเจ้า ไม่มีสาวคนไหนในเมืองเทียนเหยียนที่รักชอบหรือ?” กู้อ้าวเวยดึงเขามันนั่งด้านข้างเหมือนดั่งพี่สาว ใบหน้ายังยิ้มแย้มพร้อมพูดขึ้นว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะปกติเจ้าจริงจังและตรงไปตรงมาเกิน คนอื่นก็เลยไม่ชอบ”
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำร้ายอาจารย์ทำลายบรรพบุรุษ”
“ศิษย์อกตัญญู ถึงแม้ข้าจะรับได้ที่เจ้าอยู่เป็นโสด แต่ในชีวิตเจ้านอกจากข้าแล้วก็ไม่มีเพื่อนสักคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังไงเจ้าก็ลองคบดูบ้าง”
กู้อ้าวเวยตบหน้าอกของเขาเบาๆหนึ่งที แล้วก็หยิบเอาตั๋วเงินด้านข้างมาให้เขา พร้อมพูดว่า “ในเมืองเทียนเหยียนมีซ่องโสเภณีอยู่ไม่น้อย เจ้าลองไปคุยดูไหม…โอ๊ย เจ็บ”
ถูกลูกศิษย์ตนเองเขกหน้าผากอย่างไม่มีวี่แวว จางเหยียงซานเหน็บตั๋วเงินไว้ในอ้อมแขนด้วยความอ่อนโยน พร้อมพูดเตือนนางว่า ห้ามพูดจาไม่เป็นมงคลอีก แล้วก็รีบจากไป
ภายในเส้นทางลับมืดมืดไม่มีแสงสว่าง จางเหยียงซานฟังเสียงฝีเท้าของตนเองพร้อมกับเหม่อลอย
บางทีกู้อ้าวเวยเองยังไม่รู้ตัว ว่านางได้เตรียมการไว้เมื่อตนไม่อยู่ในอนาคตแล้ว เหมือนกำลังทำทุกอย่างเพื่อคนรอบข้างให้เรียบร้อยแล้วถึงจะวางใจ
นางรู้สึกหวาดกลัวแล้วจริง
จางเหยียงซานคุกเข่าอยู่ด้านล่างประตูทางลับ ได้ยินเสียงสาวใช้ของฉีหรัวร้องเรียก จึงรีบมุดออกมา ฉีหรัวกำลังขมวดคิ้วมองดูศพที่ยังไม่ได้จัดการบนพื้น เอาผ้าปิดจมูกไว้ บ่นขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ผ่านไปตั้งหนึ่งวันแล้ว ทำไมยังไม่จัดการที่นี่ให้สะอาด?”
“พระชายา นี่….”
“เรียกข้าว่าคุณหนูฉีก็พอ” ฉีหรัวพูดขึ้นอย่างเย็นชา หันไปมองดูขุนนางที่อ้วนเหมือนหมู แลดูเป็นคนใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวยคนนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายในเมืองเทียนเหยียน เดิมข้าก็ไม่ได้อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่พวกเจ้าทำงานกันชักช้าแบบนี้ เห็นทีคงต้องให้ท่านอ๋องทั้งสองมาดูแลเอง”
ได้ยินว่าท่านอ๋องสองท่าน พวกคนในหยาเหมิน (ที่ทำการรัฐ)ต่างก็รีบเร่งกันขึ้นมาทันที กลัวที่จะได้รับความผิด
ตอนนี้ผู้หญิงในเมืองหลวงที่ไม่มีใครกล้ามีเรื่องด้วย นั่นก็คือฉีหรัว
ตอนนี้ฉีหรัวเป็นพระชายาของอ๋องจงผิง รักใคร่กันมาก เมื่อก่อนยังเคยเป็นเพื่อนรักของพระชายาจิ้ง หลังจากที่พระชายาจิ้งสิ้นแล้วก็ฝังไว้ในสวนดอกนี้ ฉีหรัวก็ยิ่งกล้าเชิดหน้าใส่อ๋องจิ้งผู้โหดเหี้ยมคนนั้น อ๋องจิ้งกลับส่งคนไปซื้อของที่สำนักเยียนหยู่เก๋อมาให้กับสาวใช้ในจวนอยู่ทุกวัน สนับสนุนการค้าทุกอย่าง ถึงแม้จะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่น่าอับอาย แต่ก็เป็นการกระทำที่แฟงไปด้วยความรักที่เมื่อรักใครแล้วก็จะรักสิ่งหรือคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย
หากล่วงเกินไป กลัวว่าหากวันหนึ่งท่านอ๋องทั้งสองคนนี้ใครคนใดคนหนึ่งได้เป็นฮ่องเต้ หัวของพวกเขาก็คงต้องได้หลุดจากบ่า
ไม่มีใครสังเกตเห็นประตูลับ ที่จางเหยียงซานกับสาวใช้คนนั้นวางกลับไปเหมือนเดิม
ส่วนฉีหรัวกลับพูดเสริมขึ้นอีกว่า “โต้กลับรวดเร็วขนาดนี้ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าสถานที่นี้ฝังศพพระชายาจิ้งองค์ก่อนไว้? หากเสด็จอ๋องจิ้งรู้ว่าพวกเจ้าทำให้สวนดอกนี้ปนเปื้อนไปด้วยเลือด ต่อไปแม้แต่ข้าก็จะรักษาชีวิตพวกเจ้าไว้ไม่ได้”
ขาทั้งคู่ของขุนนางคนนั้นอ่อนลง จนแทบล้มกองบนพื้น พูดขึ้นด้วยดวงตาเบิกโตว่า “นี่…นี่ฝังศพพระชายาจิ้ง….”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะพูดถึง” ฉีหรัวโบกมือ แล้วสายตาก็ทอดมองไปยังป้ายหลุมศพที่ถูกซ่านจินจื๋อทำลายแล้ว ตอนนี้ ตรงนั้นเหลือไว้เพียงศิลาหินหักครึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “หลายวันนี้ส่งคนมาเฝ้าดูเยอะหน่อย อย่าให้ใครเข้ามาทำลายความสงบของที่นี่”
“ได้ๆพะยะค่ะ ข้าน้อยจะรีบจัดการเรื่องนี้ทันที”
คนของหยาเหมิน (ที่ทำการรัฐ)หลายคนเร่งรีบกันขึ้นมาทันที มือเท้าก็ว่องไว้ขึ้นมาในทันใด
จางเหยียงซานขึ้นไปบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีหรัวจึงสั่งความอีกไม่กี่ประโยคแล้วก็จากไป ได้รู้สถานการณ์ของนางบางส่วนจากปากจางเหยียงซาน ทำให้ฉีหรัวโกรธจัด พูดขึ้นด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าโกรธจนอยากที่จะสั่งสอนเขาสักตั้ง”
“คุณหนูหมายถึงอ๋องจิ้งหรือ?”จางเหยียงซานกลืนน้ำลายลงคอ เคยได้ยินถึงฉายานามของคุณหนูใหญ่คนนี้แต่แรกแล้วว่า เป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้นอย่างดุเดือด
“เป็นเขาอยู่แล้ว เขามักจะพูดจาที่ทำให้คนฟังไม่รู้เรื่อง กลับก็ยังต้องเข้าใจ ไม่ว่ากู้อ้าวเวยจะอยู่ในฐานะอะไร ยังไงก็ยังเป็นคน ในเมื่อเป็นคน ก็ย่อมต้องมีอารมณ์โกรธเสียใจและดีใจ กลัวเป็นเจ็บเป็น เขากลับเห็นทุกอย่างนี้เป็นสิ่งปกติ คำพูดหวานเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถหว่านล้อมใจกู้อ้าวเวยไว้ได้แล้ว เจ้าว่าข้าควรโกรธไหม?”
ฉีหรัวจ้องมองจางเหยียงซานอยู่เนิ่นนาน เหมือนเห็นเขาเป็นตัวแทนของซ่านจินจื๋อ
จางเหยียงซานเหงื่อไหลเหมือนดั่งฝน สักพักค่อยได้ยินฉีหรัวพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ช่างเถอะ เปลี่ยนเส้นทางไปจวนอ๋องจิ้ง ความโกรธนี้ข้าเห็นแก่หน้าหยวนเอ๋อ จึงอดทนกลั้นไว้มานาน วันนี้ข้าอดทนไม่ไหวแล้ว”
จางเหยียงซานเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ฟังน้ำเสียงของหยวนเอ๋อ
ไม่รู้ว่าทำไมคำเรียกชื่อของสองคนนี้ ถึงได้เลี่ยนขนาดนี้