บทที่ 1104 เลือดชำระด้วยเลือด
การถูกโยนทิ้งลงพื้นตามอำเภอใจ สำหรับนางเป็นเรื่องที่เริ่มคุ้นเคยเสียแล้ว
เส้นผมสยายลงมาด้านข้างกาย นางไม่ใช่คนที่มีคนคอยปรนนิบัติไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเอง ถูกพี่จื๋อประคบประหงมตามใจจนโตเป็นสาวสวยน่ารัก ถูกตามใจจนกลายเป็นคนหยิ่งผยองเห็นแก่ตัว เกิดความแค้นฝังลึกต่อซ่านจินจื๋อ คาดไม่ถึงว่าเวลานี้กลับได้มานั่งอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา ด้วยใบหน้าที่ไม่มีความรู้สึกอะไร
ซ่านจินจื๋อลืมเลือนหน้าตาของซูพ่านเอ๋อไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่กลับรู้ว่านางยังติดค้างกู้อ้าวเวยมากมายยังไม่ได้ตอบแทน เขาเองก็ไม่รู้ว่าในตอนนั้นเป็นเพราะอะไรกู้อ้าวเวยถึงยังไว้ชีวิตนาง เวลานี้เมื่อมองดูนาง ก็ไม่ได้แตกต่างกับการมองดูมดตัวหนึ่ง
เฉิงอีใช้โซ่เหล็กมัดมือและเท้าทั้งสองของนางเอาไว้ แล้วค่อยลุกขึ้นมาถอยกลับมายืนที่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ
ยืนในตำแหน่งที่ปกติแล้วเป็นที่ของเฉิงซาน
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ซูพ่านเอ๋อได้แต่ใช้หัวไหล่ยันร่างของตนเองเอาไว้ เงยหน้ามองซ่านจินจื๋อที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงลิบลิ่วมาโดยตลอด แต่ก็มองเห็นเพียงคราบเลือดจางๆ ที่ชายเสื้อของเขาเท่านั้น
“ในเมื่อตอนนั้นเจ้าใช้เลือดของนางมาปรุงยาได้ มาวันนี้ นางก็จะต้องสามารถใช้เลือดของเจ้ามาทำเป็นยาได้เช่นกัน”
ซ่านจินจื๋อพูดออกมาอย่างเย็นชา เคาะปลายนิ้วสองครั้ง
ซูพ่านเอ๋อได้ยินเสียงฝีเท้าสองข้างดังขึ้นที่ด้านหลัง และแล้วจางเหลียงซานก็ถูกเฉิงเอ้อผลักเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว ปากเขาถูกยัดเอาไว้ด้วยผ้าจนไม่สามารถส่งเสียงพูดออกมาได้ เฉิงเอ้อพูดด้วยเสียงต่ำว่า “วันนี้ท่านหมอจางคิดจะไปพบคุณหนูกู้อีกแล้ว ถูกพวกข้าพบเข้าเสียก่อน”
“ให้เขาเข้ามาดูสิ ว่าสามารถใช้เลือดของซูพ่านเอ๋อมาปรุงยาได้หรือไม่?”
ซ่านจินจื๋อบีบหว่างคิ้วด้วยความปวดศีรษะ มองดูจางเหลียงซานอย่างอับจนปัญญา พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของนาง แล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรกับเจ้า หากว่าเจ้ารักษาอาการป่วยของนางไม่ได้ ข้าจะส่งนางไปอยู่ในมือของยู่จุน แล้วเจ้าก็อย่านึกเลยว่าจะมีใครสามารถช่วยเจ้าได้”
มือเกาะบีบขอบโต๊ะแน่นพลัน จนเกิดเสียงดังก๊อกขึ้น เศษไม้ร่วงหล่นลงมา
ดวงตาทั้งคู่ของจางเหลียงซานเบิกกว้าง เขาถูกเฉิงซานคลายมัดเชือกและดึงผ้าออกมาปาก ไอเสียงดังออกสองสามครั้ง ค่อยพูดกับซ่านจินจื๋อด้วยน้ำเสียงอันขุ่นมัวว่า “นางไม่ปรารถนาให้ท่านทำเช่นนี้”
“พวกเราล้วนแต่ทำเพื่อให้นางดีขึ้น” ทันใดนั้นซ่านจินจื๋อพลันหัวเราะเยาะเย้ย
ทันใดนั้น จางเหลียงซานพลันรู้สึกว่าที่ลำคอถูกเฉิงเอ้อบีบรัดเอาไว้แน่น จนยากที่จะหายใจออกมา
ซูพ่านเอ๋อตกใจจนหัวใจกระตุก ขยับดิ้นรนอยู่บนพื้น แต่ก็เฉกเช่นเดียวกันพลันมีมีดมาพาดไว้ที่ลำคอ จนยากที่จะขยับตัวได้อีก
สีหน้าของจางเหลียงซานเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายเขายังคงกัดฟันโค้งกายไปจับชีพจรของซูพ่านเอ๋อ
คราวนี้ใบหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น จางเหลียงซานพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ใช้ได้ นางบำรุงร่างกายด้วยอาหารและสมุนไพรหลากหลายชนิดมานานหลายปี เสริมด้วยยาบำรุงอื่นๆอีก เพื่อช่วยเสริมสรรพคุณของยา ไม่ถึงสองเดือนเลือดของนางก็เอามาผสมลงในยาได้แล้ว”
ลูกตาดำของซูพ่านเอ๋อหดเล็กลง ขยับไปที่ด้านข้างด้วยความหวาดกลัว ผ้าตรงหน้าอกของนางถูกมีดแหลมกรีดลึกจนเกิดรอยเลือดเป็นแผลยาว ปรากฏเลือดไหลซึมออกมา เฉิงอีใช้เท้าช่วยดันร่างนางให้มั่นคงขึ้น เขาถอนมีดกลับพร้อมพูดว่า “เลือดของเจ้ายังมีประโยชน์”
คนรับใช้ที่ด้านข้างตรงเข้ามาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ช่วยห้ามเลือดจากคมมีดให้กับนาง
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ จางเหลียงซานถึงกับซวนเซถอยกายไปด้านหลังหนึ่งก้าว
“ข้าน้อยมาช้าไป”
ที่ประตูมีเสียงของเฉิงซานดังแว่วเข้ามา ในดวงตาของเฉิงซานคละเคล้าไปด้วยความสับสนมึนงง
เขาโค้งกายคำนับ ซ่านจินจื๋อไม่ให้ความสำคัญกับเขาเหมือนดั่งแต่ก่อน แต่กลับหันมองไปยังเฉิงเอ้อที่ด้านข้าง พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เฉิงเอ้อและเฉิงอีก็ต้องเรียนรู้ประสบการณ์อีกมาก ทุกเรื่องล้วนไม่อาจที่จะให้เจ้าจัดการเพียงผู้เดียว”
“ขอรับ” ร่างของเฉิงซานยิ่งโค้งต่ำมากกว่าเดิม แล้วก็ออกไปจากห้องนี้อย่างเงียบกริบ
เฉิงเอ้อเข้าใจสถานการณ์ดี เขาลากจางเหลียงซานมายืนที่ด้านข้าง แล้วใช้เชือกผูกมัดมือทั้งสองข้างเอาไว้อย่างแน่นหนา
ก่อนที่จะจากไป จางเหลียงซานยังอดไม่ได้ที่จะต้องมองไปยังซูพ่านเอ๋อที่ยังอยู่บนพื้น คิ้วขมวดแน่นพร้อมพูดขึ้นว่า “เมื่อทำความผิดก็ต้องได้รับโทษ ไม่ควรต้องมาอาลัยอาวรณ์ ความรู้สึกที่ท่านอ๋องมีต่อนาง เป็นความรู้สึกที่แท้จริงแล้วหรือ?”
“คำพูดหยาบคาย สมควรถูกกักบริเวณ”
ซ่านจินจื๋อระงับอารมณ์โกรธภายในใจ แต่ก็ยังคงโบกมือให้เฉิงเอ้อที่ด้านหลัง
หลังจากที่จางเหลียงซานหันกลับไปแล้ว เฉิงเอ้อจึงได้เก็บมีดเข้าฝัก ทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน
สถานการณ์เลวร้ายจนไม่สามารถย่อนคืนกลับมาได้แล้ว ซ่านจินจื๋อหวนกลับไปเป็นคนตกอยู่ในห้วงแห่งความหมกมุ่นเหมือนอย่างที่เคย
เลือดของซูพ่านเอ๋อถูกห้ามให้หยุดไหลไปแล้ว นางถูกเฉิงอีลากตัวขึ้นมา พร้อมกับปลดโซ่เหล็กที่ขาของนางออก โซ่เหล็กถูกเขวี้ยงไปด้านหน้า ก่อนที่นางจะถูกลากไปที่เบื้องหน้าของซ่านจินจื๋อ
“ซ่านจินจื๋อ นางกับข้าในตอนนี้มีอะไรที่แตกต่างกันเล่า?”
ซูพ่านเอ๋อหัวเราะพรวดออกมา สิ่งที่ได้กลับมาคือฝ่ามือของเฉิงอีตบลงบนหน้าของนาง แล้วค่อยถูกคนด้านข้างลากตัวออกไป
ซ่านจินจื๋อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ดวงตาอึมครึมไม่บ่งบอกอะไร
เหตุใดทุกคนถึงได้มัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีตไม่ยอมปล่อยล่ะ?
เขาชดเชยกลับเรื่องที่ผิดพลาดทำไปในอดีตอย่างมากมายมหาศาลแล้ว นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ?
เขาค่อยๆ หลับตาลง จนกระทั่งเฉิงเอ้อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ย่อกายคุกเข่าที่เบื้องหน้า พูดขึ้นเสียงเบาว่า “หวางกงกงนำคำพูดของแม่นางยู่จุนมา ตอนนี้รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว”
“เข้ามา”
สูดลมหายใจเอาความขุ่นมัวออกมา เขาปล่อยมือจากมุมโต๊ะที่ถูกบีบจนแหลกละเอียด ก่อนวางมือลงบนเข่าอีกครั้ง
หวางกงกงเดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าในห้องยังคงถูกตบแต่งอย่างเรียบง่าย จะมีเพียงของตบแต่งเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่บ่งบอกถึงความไม่ธรรมดา ส่วนซ่านจินจื๋อกำลังนั่งอย่างสงบเงียบอยู่บนเก้าอี้หยก สายตาแหลมคมดั่งใบมีด ทำให้เขาต้องลนลานคุกเข่าลง ไม่กล้ามองให้มากจนเกินไป
“ไม่ต้องมากมารยาท พูดออกมาเลย”
คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่หวางกงกงก็ฟังออกว่าในนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความโกรธเคือง
หลังจากที่ลุกขึ้นยืนแล้วเขาก็ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมาอีก ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาต่ำลงก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “แม่นางยู่จุนบอกว่าคนถูกส่งมาถึงแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะพึงพอใจ นอกจากนั้น ก่อนหน้านั้นที่ส่งยามาให้คิดดูแล้วท่านหมอเทวดาคงจะใช้ไปพอสมควรแล้ว วันนี้เลยให้ข้าน้อยมาถามว่า ท่านอ๋องยังหวังว่าจะลดปริมาณยาลงเพื่อบำรุงร่างกายของนาง หรือว่าต้องการ……จะให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทำให้ท่านหมอเทวดาสติเลอะเลือน……”
“ข้าต้องการให้นางหายเป็นปกติ”
ซ่านจินจื๋อคิดยังแทบไม่ต้องคิด พูดตัดบทคำพูดของหวางกงกง สายตาแดงก่ำจนน่าหวาดกลัว
“อย่างนั้นข้าน้อยจะกลับไปรายงานตามนี้”
หวางกงกงรีบตอบคำ แล้วเร่งร้อนจากไปทันที
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เฉิงซานล้วนแต่เห็นด้วยสายตา แต่เขาเองก็ยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตู เคร่งขรึมไม่เอ่ยคำ
ส่วนซ่านจินจื๋อกลับย่างกรายเหยียบย่ำพื้นช่วงปลายของหิมะแรกออกไปยังเรือนพักของกู้อ้าวเวย
ในสวนแห่งนี้ปลูกดอกเหมยเอาไว้อยู่บ้าง กลิ่นของดอกไม้หอมละมุน ทำให้รู้สึกสงบเงียบ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าลายชิงโยว
ในบริเวณเรือนยังมีห้องอยู่อย่างกระจัดกระจาย โดยมีกำแพงกั้นขวางเอาไว้ ห้องหนึ่งเป็นห้องปรุงยาของจางเหลียงซาน ส่วนอีกหลายห้องในนั้นล้วนแต่แบ่งให้เด็กรับใช้ทั้งชายหญิงพัก เพื่อที่จะได้สะดวกในการมาปรนนิบัติดูแลกู้อ้าวเวย แม้กระทั่งในยามค่ำคืนก็จะต้องมีคนคอยเฝ้ายามสองคน ด้านนอกของลายชิงโยว ก็จะมีองครักษ์คอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม การป้องกันเป็นไปด้วยความแน่นหนา เพียงแต่ว่ากู้อ้าวเวยไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง
ในห้องอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ กู้อ้าวเวยกำลังเอนกายพิงเตียงหลับตาพักผ่อน ในมือยังถือไว้ด้วยชามยาที่ว่างเปล่า
เมื่อยาถูกกลืนลงคอไปแล้ว ก็รู้สึกง่วงงุนขี้เซาอยู่บ้าง
ซ่านจินจื๋อเดินไปนั่งที่ข้างกายของนางอย่างเงียบกริบ ถามเด็กรับใช้ที่ด้านข้างว่า “นางสังเกตรู้หรือไม่ว่ายาผิดปกติ?”
“ไม่เจ้าค่ะ พวกข้าน้อยระมัดระวังกันเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นเด็กรับใช้ที่พูดคุยกับฮูหยินก็ได้รับเงินค่าปิดปากไปแล้ว ว่าต่อไปจะไม่พูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่าท่านเป็นคนสั่งการ” หัวหน้าเด็กรับใช้รับเอ่ยปากบอก
ซ่านจินจื๋อพยักหน้า เฉิงเอ้อกลับแจกจ่ายเงินให้กับเหล่าเด็กรับใช้ในเรือน
ไม่เพียงแต่ด้านหน้าจะต้องเฝ้าระวังอย่างแน่นหนาแล้ว ข่าวคราวที่แพร่งพรายออกไปก็เฉกเช่นเดียวกัน