บทที่ 1117 หลานเอ๋อร์คอยปรนนิบัติ
เหมือนอย่างที่ยู่จุนพูด ตราบใดที่กู้อ้าวเวยไม่ได้สูตรยาอายุวัฒนะ
นางก็จะไม่ทำอะไรกู้อ้าวเวยกับอี้จื๋อ
แต่ตอนนี้ซ่านจินจื๋อรีบเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าองครักษ์แล้วก็ออกจากวัง ไปสืบเรื่องนี้ในจวนองชายสามอย่างลับ ในใจกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข ถึงแม้เขาจะเคยเตือนเฉิงซานให้ปกป้องกู้อ้าวเวย แต่สภาพกู้อ้าวเวยเมื่อกี้ ในที่สุดก็ถูกเขาทำร้ายจิตใจแล้ว
เป็นเพราะช่วงหลายวันนี้ยู่จุนส่งคนเข้ามาในจวนอย่างไม่หยุด ทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะบอกความจริงเลย
ภายในลานชิงโยวเต็มไปด้วยคนของตำบลเหยสุ่ย มีเพียงเงื่อนไขนี้ ยู่จุนถึงจะไม่ทำอะไรซ่านต้วนโฉง ยิ่งไม่สั่งให้คนตำบลเหยสุ่ย เอายาพิษพวกนั้นไป แบบนี้ถึงจะปลอดภัย
เพียงแต่ปิดบังกู้อ้าวเวยไว้ เพียงคนเดียว
เมื่อออกจากวัง ได้รู้จากปากเฉิงยีเฉิงเอ้อว่าเฉิงซานไปหลบอยู่ในจวนอ๋องจงผิง เมื่อค่อยโล่งอก ก็ยังไม่ลืมที่จะถามทั้งสองคนว่า “เรื่องตระกูลฉางขนลำเลียงยาพิษ ได้สืบอย่างแน่ชัดแล้วหรือยัง?”
“สืบรู้แน่ชัดแล้ว ภายในสุสานของบรรพบุรุษตระกูลหยุน มีกล่องไม้มากมาย ภายในมีชิ้นส่วนของยาพิษอยู่ไม่น้อย สิ่งเดียวที่ซ้ำก็คือพิษมหันตภัยไฟจากฟ้าในตอนนั้น สูตรนั้นไม่ผิดพลาดเลยซักตัว และอย่างสะอาดเหมือนใหม่ คิดว่าน่าจะมีคนเพิ่งไปในเร็วๆนี้ ส่วนตระกูลฉางเดิมก็ค้าขายชาอยู่แล้ว เดินทางน้ำบ่อยครั้ง เวลาตรวจค้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่เรือทุกลำแทบจะเดินทางผ่านตำบลเหยสุ่ยทุกครั้ง ส่วนในบัญชีตำบลเหยสุ่ย ก็มีบันทึกไว้ว่าซื้อยาสมุนไพรมีพิษมากมาย นับดูแล้วตำบลเหยสุ่ยได้รวบรวมซื้อยาพิษพวกนี้มานานกว่าหลายสิบปีแล้ว”
เฉิงยีตั้งใจพูดด้วยเสียงต่ำ และรวดเร็ว
ในใจซ่านจินจื๋อก็พอรู้แล้วอยู่บ้าง
สารพิษพวกนี้มีหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ ตระกูลหยุนตระกูลยู่จะต้องมีช่วยเหลือไม่น้อยแน่ ผู้หญิงตระกูลหยุน เมื่อเติบโตแล้วส่วนมากก็เสียชีวิตอยู่ในพระราชวังเมืองเทียนเหยียน ทั้งสองตระกูลเหมือนได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ความจริงแล้วตระกูลหยุนต้องใช้แต่ละชีวิตเป็นฐานที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้า บรรพบุรุษตระกูลหยุนจะโกรธเกลียดก็ถือเป็นปกติ
ตอนนี้สารพิษมีกระจายไปทั่วแคว้นชางหลาน คงไม่ใช่แค่หลายสิบปีง่ายๆแค่นี้แน่
รถม้าค่อยๆขับเข้าไปในจวนองค์ชายสาม คนใช้มองดูคนที่สวมชุดองครักษ์คนนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงไปตามแม่นางเยว่มา เยว่ในฐานะที่เป็นสนมขององชายสาม กำลังเดินมาอยู่อย่างเชื่องช้า พูดขึ้นอย่างถือตัวว่า “ให้นางเข้ามาเอาของ”
“ขอรับ ฮูหยินรอง”ทุกคนพยักหน้า แล้วก็รีบปล่อยทั้งสามคนเข้ามา
ไม่มีใครเห็นถึงความผิดปกติ เยว่พาทั้งสามคนเข้าไปในเรียนที่ค่อนข้างลึกลับ
ภายในเรือนมีเพียงเรือนเล็กสูงสองชั้น ต้นไม้สูงเรียงราย เมื่อเปิดประตูใหญ่เรือนนั้นออก ก็ได้กลิ่นหวานเลี่ยนฟุ้งออกมา ภายใต้ฤดูหนาวหิมะตกเช่นนี้ ลูกเอ่อตันแดงสดพวกนี้ ยังคงแขวนอยู่บนเถาวัลย์ แต่ภายใต้ลูกเอ่อตันแดง กลับมีผลไม้มากมายเน่าเสียร่วงหล่นเต็มพื้น เต็มไปด้วยโคลน
เยว่ยื่นยาถอนพิษมาให้อย่างเคารพ แล้วค่อยพาทั้งสามคนเข้าไปภายในตามถนนลูกรังเส้นเล็ก
เมื่อเข้าไปภายใน ก็เห็นหลานเอ๋อร์ที่เดิมควรตายไปแล้ว กำลังรินน้ำชาให้กับซ่านเซิ่งหาน ส่วนฉางอีฉินกลับเอนพิงอยู่ด้านข้างอย่างเกียจคร้าน หัวเราะอยู่อย่างไม่หยุด ดวงตาเหลือเพียงแววตาที่ความสับสนวุ่นวาย เหมือนคนเสียสติแล้ว
“เสด็จอาเชิญนั่ง”ซ่านเซิ่งหานชี้ที่นั่งตรงข้ามอย่างอ่อนน้อม
ซ่านจินจื๋อสะบัดเสื้อคลุมแล้วนั่งลง หลานเอ๋อร์เดินมารินน้ำชาให้กับเขา พร้อมพูดอธิบายขึ้นว่า “แม่นางกู้มีบุญคุณต่อกับข้า ข้าไม่มีทางทำร้ายแม่นางกู้แน่นอน ก่อนหน้านี้เป็นการหลอกล่อไม่ให้ศัตรูเกิดความสงสัย เพราะคนใบ้ตำบลเหยสุ่ย พบว่าข้าเป็นไส้ศึก”
“เกี่ยวข้องอะไรกับข้า?”ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว หลานเอ๋อร์หายใจแทบไม่ออกขึ้นมาทันที ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ถึงค่อยดีขึ้น
ซ่านเซิ่งหานขมวดคิ้วแน่น รู้สึกเหมือนซ่านจินจื๋อไม่สนใจการการฆาตกรรมที่ท่วมท้นของตนเองเลย ไอเบาๆพร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จอามาในครั้งนี้ สิ่งที่อยากเห็นก็ได้เห็นแล้ว อย่าข่มขู่หลานเอ๋อร์อีกจะดีกว่า”
“เจ้าเก็บผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนี้ไว้ที่นี่ เพื่ออะไร?”
ซ่านจินจื๋อค่อยเก็บอาการ เพราะไม่อยากฟังคำพูดแสร้งที่มีต่อกู้อ้าวเวย
หลานเอ๋อร์กัดฟันแน่น สีหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ
“ที่ข้าช่วยชีวิตหลานเอ๋อร์ เพราะนางยังมีประโยชน์” ซ่านเซิ่งหานวางถ้วยชาในมือลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เสด็จอายกนางกับอี้จื๋อไปเป็นตัวประกันแล้ว หลานนับถือจริงๆ”
ซ่านจินจื๋อเก็บงำอารมณ์โกรธไว้ แล้วยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาดื่มจนหมด พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าปลูกลูกเอ่อตันแดงพวกนี้ไว้ ลำเลียงยาพิษให้กับยู่จุน เพราะต้องการให้ผู้คนในโลกนี้พบกับความหายนะอันเนื่องมาจากสิ่งเก่าๆหรือ?”
พูดถึงตรงนี้ ซ่านเซิ่งหานกลับหัวเราะ ยกมือโอบกอดฉางอีฉินคนบ้าคนนั้นที่กระโจนมาหา พร้อมหัวเราะไม่พูดอะไร
แล้วก็เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินอ้อมออกมาจากฉากกั้นด้านข้าง หน้าตาคล้ายฉางอีฉินมาก หากมองดูดีๆ ก็จะรู้ว่าคนคนนี้คือท่านชายรองของตระกูลฉาง น้องชายของฉางอีฉิน
ท่านชายรองตระกูลฉางมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา หรี่ตาพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้อยากให้เกิดภัยพิบัติ เพียงแค่มีสิ่งพวกนี้อยู่ในมือ แม่นางยู่จุนให้คำมั่นสัญญาต่อตระกูลฉางว่า จะยกให้อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ลูกเอ่อตันแดงมากมายพวกนี้….ขอเพียงเสด็จอ๋องจิ้ง กับพระชายาอ๋องจิ้งมอบสูตรยาอายุวัฒนะออกมา ก็จะตายอยู่ในเรือนนี้ ไม่ได้ถูกส่งออกไป”
“แต่หากอ๋องจิ้งกับพระชายาอ๋องจิ้ง ไม่สนใจใดๆ ก็แค่ต้องตาย”
ท่านชายรองตระกูลฉางหัวเราะอยู่อย่างบ้าคลั่ง อย่างไม่กลัวตาย
เพื่ออำนาจและทรัพย์สิน แม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้วหรือ?
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วแน่น หลังจากสักพักแล้วค่อยได้ยินซ่านเซิ่งหานพูดขึ้นว่า “บรรพบุรุษตระกูลฉางเคยมีขุนนางต้องโทษ พวกเขาทั้งเจ็ดรุ่นล้วนไม่มีใครสามารถเป็นขุนนางในราชสำนัก ประสบภัยที่ไม่มีเค้ามาก่อนเช่นนี้ เหมือนระหว่างตระกูลซ่านกับตระกูลหยุน เลยใช่ไหม?”
ต่อให้เป็นแค่คนที่ถูกดึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็มีความเกลียดแค้นไม่น้อย
เหมือนขุนนางจากครอบครัวยากจนที่มีความรู้มากนั้น มีความทะเยอทะยาน แตกกลับถูกเมินเพราะมาจากตระกูลที่ไม่ร่ำรวย
ซ่านเซิ่งหานให้ความช่วยเหลือขุนนางจากครอบครัวยากจนมาตลอด จึงทำให้ตระกูลฉางยิ่งพอใจ
แต่คนรุ่นหลังของขุนนางต้องโทษได้เป็นขุนนาง เป็นเรื่องที่ไม่เคยสามารถทำได้จนถึงทุกวันนี้ ทำให้ในใจตระกูลฉางเกิดความเกลียดแค้น
“ถึงแม้จะเป็นคนที่น่าสงสาร แต่เพื่อความต้องการส่วนตัวแล้วฆ่าคนมากมาย น่าเกลียดชังยิ่งกว่า”
ซ่านจินจื๋อวางถ้วยชาลง มองดูซ่านเซิ่งหาน พร้อมพูดว่า “เจ้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้ที่ทำเพื่อประชาชนแล้วหรือ?”
ครั้งนี้ กลับเห็นเพียงรอยยิ้มอย่างดูถูกของซ่านเซิ่งหาน
จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “อย่าพูดจาเที่ยงตรงเจิดจรัสขนาดนั้น เสด็จพ่อทำเพื่อยู่จุน ยอมที่จะยกแผ่นดินนี้ให้กับคนอื่น หากข้าอยากที่จะสมปรารถนา ก็จะต้องเลือกนายอีกคนเท่านั้น”
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเอากู้อ้าวเวยกับอี้จื๋อไปเป็นตัวประกัน ไม่มีข้อต่อรองอะไรอีก ตำแหน่งฮ่องเต้ที่ยู่จุนให้คำมั่นสัญญา ไม่แน่ว่าจะต้องตกอยู่ในมือของเจ้า”
พูดเสร็จ ซ่านเซิ่งหานสั่งคนส่งท่านชายรองตระกูลฉางกลับบ้าน แล้วก็ยกหลานเอ๋อร์ให้กับเขา
ก่อนจากไป ซ่านเซิ่งหานพูดขึ้นเพียงว่า “ข้างกายนางก็ควรที่จะมีคนที่จงรักภักดี หลานเอ๋อร์ไม่เลว”
“เจ้ายังไม่เคยปล่อยวางอ้าวเวย”ถ้วยน้ำชาในมือซ่านจินจื๋อร่วงหล่นกลายเป็นผง
ซ่านเซิ่งหานมองดูเรือนแห่งหนึ่งภายในจวน นั่นเป็นเรือนหลังเล็กที่เขาเคยสร้างไว้เพื่อกู้อ้าวเวย
เหมือนกำลังคิดถึงเวลาในตอนนั้น มุมปากของเขาอมยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ตลอดชีวิตนี้ คงปล่อยวางไม่ลง หากเจ้ายังสามารถคนที่จงรักภักดีดูแลนางได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หลานเอ๋อร์”
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง พูดถึงตอนสุดท้าย มีเพียงประโยคส่งแขก
ซ่านจินจื๋อพาหลานเอ๋อร์ออกมาจากจวน สีหน้าเยือกเย็นดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลานเอ๋อร์กลับเข้ามา คุกเข่าลงพื้นก้มหัวต่อหน้าซ่านจินจื๋อ พร้อมพูดขึ้นว่า “หลานเอ๋อร์ไม่จงรักภักดีต่อผู้ใด ขอเพียงได้ตอบแทนบุญคุณคนหนูกู้ที่ช่วยเหลือไว้ในตอนนั้น”
หลานเอ๋อร์ฉลาดเจ้าเล่ห์ ซ่านเซิ่งหานเอง ก็อยากที่จะได้รู้ความจริงจากปากของนาง
“หากเจ้าจงรักภักดี ข้าก็จะจัดการให้”
เวลานี้ซ่านจินจื๋อค่อยรู้สึกขึ้นมาได้ว่า หลังจากที่กุ่ยเม่ยจากไป ข้างกายกู้อ้าวเวยก็ไม่มีใครที่น่าเชื่อถือได้อีก