บทที่ 67 ทำไมเธอต้องกลับมา
เจ็บ……………
นี่เป็นความรู้สึกทั้งหมดของลี่โม่อวี่ที่มีอยู่ในตอนนี้
ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างทั้งร่างพังทลายทำให้ลี่โม่อวี่ขมวดคิ้วมุ่น ค่อยๆลืมตา เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ฉินอีหลินพาเขามาส่งโรงพยาบาลใช่ไหม…..
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เพราะเหตุนี้ทำให้ความเจ็บปวดของลี่โม่อวี่บรรเทาลงไปบ้าง
เพียงแต่ว่า ถึงแม้ว่าเขาช่วยรับการโจมตีมาแล้ว แต่เธอก็ยากที่จะเลี่ยงโดนการปะทะ พอคิดถึงตรงนี้ ลี่โม่อวี่รีบร้อนลุกขึ้น เพียงแต่พึ่งจะขยับตัว เขาก็เจ็บปวดร้าวไปทั้งตัว
เสียงประตูเปิด ลี่โม่อวี่มองไปที่ประตูอย่างร้อนรนและคาดหวัง
เขาไม่ชอบห้องที่ว่างเปล่านี่ ห้องผู้ป่วยที่มีเพียงเขาคนเดียวให้ความรู้สึกราวกับห้องเก็บศพ
“ฟื้นเร็วเหมือนกันนี่ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
หลงอี้เซวียนไปส่งฉินอีหลินเรียบร้อย จึงเดินไปเอาน้ำเพื่อมาเช็ดตัวให้ลี่โม่อวี่ ไม่คิดว่าคนที่บอกจะฟื้นในวันพรุ่งนี้จะลืมตาตื่นขึ้นมาเร็วขนาดนี้
อายุยืนจริงๆ
“ทำไมเป็นคุณ?”
ลี่โม่อวี่ไม่คิดว่าลืมตาขึ้นมาครั้งแรกจะเจอกับผู้ชายคนนี้
เขาชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยถามเสียงเข้ม
เพียงแค่เอ่ยปาก บริเวณหน้าอกก็เจ็บราวกับถูกฉีกก็ไม่ปาน
“อะไรคือทำไมเป็นผม?”
หลงอี้เซวียนมองอย่างเหยียดหยาม ถามอย่างไม่พอใจ วางน้ำลง เขาหันไปปิดประตู
“ไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใคร? ฉินอีหลินหรอ? เคยได้ยินอะไรไหม ความฝันอุดมสมบูรณ์ ความจริงมีแต่กระดูก”
ลี่โม่อวี่ฟังจบก็ยกคิ้ว ไม่เอ่ยอะไรออกมา
เขาเป็นศัตรูกับผู้ชายคนนี้ ไม่มีอะไรต้องคุย แต่ถ้าหากไม่มีเหตุผลเรื่องฉินอีหลินเข้ามาเกี่ยว บางทีเขาอาจจะเป็นเพื่อนกับผู้ชายคนนี้ก็ได้
เห้อห้าวกับเซียวน่ายแม้จะอยู่ใกล้ชิดกับเขาและยังเป็นลูกน้องของเขา แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาเองก็ไม่สามารถพูดกับพวกนั้นได้ ระหว่างเขากับพวกนั้นยังมีหลายอย่างต้องคำนึง
แต่กับผู้ชายตรงหน้านี้ไม่เหมือน เขามีเล่ห์เหลี่ยม มีแผนการ และไม่ยึดมั่นว่าตัวเองถูกเสมอไป เขามีความรู้สึกผูกพันบางอย่าง
แต่พอคิดถึงท่าทางหวานชื่นระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ขัดหูขัดตา
“มองอะไร ผมไม่เคยเช็ดหน้าให้ใครนะ นี่เป็นโชคดีของคุณ ไม่ขอบคุณแล้วยังมาจ้องอีก”
หลงอี้เซวียนอยู่ในตระกูลผู้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยดูแลใคร เขามีความรู้สึกอยากเอาคืนอยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้นจึงลงน้ำหนักแรงขึ้น……..
“คุณไม่เช็ดก็ได้”
ลี่โม่อวี่ถูกเช็ดจนเจ็บผิว เขาสงสัยว่าตอนนี้ผิวหน้าของเขาถูกเช็ดจนถลอกแล้วหรือเปล่า
รู้สึกถึงแรงที่หนักขึ้นเรื่อยๆของหลงอี้เซวียน จึงอดไม่ได้บอกเขาไป
“คุณยังจะอวดดีอีกนะ”
หลงอี้เซวียนได้ยินดังนั้นจึงโมโห โยนผ้าลงในอ่าง สีหน้าเปลี่ยนไป
“เหมือนกัน”
ลี่โม่อวี่พูดจบโทรศัพท์ของหลงอี้เซวียนก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มเงยหน้ามองลี่โม่อวี่ เห็นว่าเขายังคงจ้องมองมายังตัวเองไม่หยุด จึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป สุดท้ายไม่ลืมปิดประตูเสียงดังตามมา
“พี่”
“เสี่ยวเซวียน เขาเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินอีหลินกลับถึงบ้าน เธอไม่วางใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะพาเด็กทั้งสองเข้านอนได้ จึงรีบโทรศัพท์หาน้องชายตัวเอง
“ไม่เป็นไรแล้ว เขาฟื้นแล้ว ยังแข็งแรงดี ผมว่าไม่กี่วันก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
หลงอี้เซวียนด้านหนึ่งไม่พอใจที่พี่สาวตัวเองยังเป็นห่วงผู้ชายคนนี้มาก อีกด้านยังโมโหที่เถียงกับเขาไม่เมื่อครู่ น้ำเสียงของเขาดูไม่ดี
“งั้นก็ดีแล้ว……”
ได้ยินดังนั้น ฉินอีหลินก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ
“ดีหรอ? ผมยังเสียดายอยู่เลย?”
“หลงอี้เซวียน!”
วันที่สองตอนเช้า ทั่วทั้งเมืองกั่งซื่อล้วนพากันเอ่ยถึงข่าวเรื่องลี่โม่อวี่เกิดอุบัติเหตุ
มู่หลิงสั่นระริกสองมือถือหนังสือพิมพ์ ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังรูปบนหนังสือพิมพ์
ร่างลี่โม่อวี่ที่เต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่บนเปล กำลังถูกปฐมพยาบาล ด้านหลังกลุ่มคนคือรถโรลส์-รอยซ์ที่ถูกชนจนยุบ และรถปอร์เช่ คาเยนน์สีแดงที่มีรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อย
มองเห็นป้ายทะเบียนรถที่คุ้นตานั่น มู่หลิงกดโทรศัพท์หาลี่โม่อวี่ราวกับคนบ้า แต่ปลายสายนั้นปิดเครื่องตลอดเวลา
โยนหนังสือพิมพ์ในมือทิ้งไป เธอต่อสายหาเซียวน่าย “เขาอยู่ที่ไหน? ลี่โม่อวี่อยู่ที่ไหน?”
เซียวน่ายพึ่งจะจัดแถลงข่าว เรื่องครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุไม่ใช่การแก้แค้นแต่อย่างใด
แต่นักข่าวถามเจาะลึกเกินไป ถามวนอยู่กับความสัมพันธ์ของลี่โม่อวี่กับเจ้าของรถปอร์เช่ คาเยนน์สีแดงคันนั้น แต่ไม่มีคำสั่งจากลี่โม่อวี่ เขาก็ไม่กล้าพูดมาก ตลอดการสัมภาษณ์นั้นได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้จนปวดหัว
และตอนนั้นเอง มู่หลิงกลับโทรมาถามว่าพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน เขาพลันรู้สึกว่า ขมับของเขาปวดหนักขึ้นไปอีก
“เซียวน่าย คุณเป็นผู้ชายของเขา อย่ามาบอกว่าไม่รู้”
“โรงพยาบาลใจกลางเมือง……..”
เซียวน่ายเคาะหัวตัวเองอย่างปวดหัว ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เธอก็เป็น “คุณนายลี่” เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้มู่หลิงไปเยี่ยมลี่โม่อวี่ หวังเพียงแต่ว่าพี่ใหญ่ออกจากโรงพยาบาลมา คงจะไม่มาเอาเรื่องกับเขา
เมื่อรู้ที่อยู่ของลี่โม่อวี่แล้ว เธอจึงนำซุปไก่ที่ทำเองกับมือมาหาลี่โม่อวี่ที่โรงพยาบาล
แต่ยังไม่ทันขึ้นลิฟท์ เธอก็เจอกับคนที่ชาตินี้ไม่คิดอยากจะเจอเลย
“บังเอิญจังเลย “
มู่หลิงพุ่งเข้าไปทักทายหญิงสาวที่มือหนึ่งมีดอกลิลลี่ อีกมือถือกล่องเก็บความร้อนเสียงเรียบ เพียงแต่ดวงตาของเธอนั้นมีความอิจฉาริษยาและระแวดระวังจนเผยให้รู้ความคิด
ฉินอีหลิงเจอมู่หลิงแต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมามากจนเกินไป เธอทำเพียงผงกหัวทักทายอย่างมีมารยาท แล้วเดินเข้าลิฟท์ไป
มู่หลิงเห็นว่าเธอสงบนิ่งแบบนี้ก็ตกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นลิฟท์มาแล้วจึงเดินตามขึ้นลิฟท์ไป
บางทีอาจจะเพราะบรรยากาศในลิฟท์นั้นน่าอึดอัดเกินไป มู่หลิงถูกความนิ่งสงบของผู้หญิงตรงหน้ากระตุ้นให้เธอเจ็บปวด
เธอยังจำได้ที่บาร์เสน่ห์หาเมื่อห้าปีที่แล้ว เพราะเจอกับเธอ ผู้หญิงคนนี้จึงเดินจากไปอย่างเจ็บปวด แต่ตอนนี้ทำไมเธอถึงได้นิ่งสงบแบบนี้
“คุณไปเยี่ยมใคร?”
“รู้แล้วจะถามทำไม?”
ฉินอีหลินยิ้มเบาๆมองไปยังมู่หลิง
มู่หลิงถูกประโยคนั้นกระตุ้นความโกรธโหมทวีขึ้น เธอจับกล่องเก็บความร้อนในมือเอาไว้แน่น โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว “คุณกลับมาทำไม? ทำไม!”
ได้ยินดังนั้น ฉินอีหลินราวกับได้ยินเรื่องตลก หัวเราะออกมาไม่มีเสียง เธอหันไปมองหญิงสาวที่เคยทำให้เธอเป็นทุกข์อย่างเย้ยหยัน จนเธอตกใจกระวนกระวาย ค่อยเก็บสายตาตัวเองกลับมา
รอจนประตูลิฟท์ถูกเปิดออก ฉินอีหลินยิ้มให้หญิงสาวที่แสดงออกถึงความระแวดระวังอย่างชัดเจนพร้อมเอ่ยเบาๆข้างหูเธอ “ฉันแค่อยากกลับมาดู ดูว่าพวกคุณสบายดีหรือเปล่า?”