บทที่ 121 ฉันจะไม่เป็นไร
หลังจากฉินอีหลินสงบลงแล้ว เริ่มคิดทบทวนอย่างละเอียดว่าใครกันแน่ที่เป็นคนจับตัวหลงหมิงเจ๋อและหลงจิ่นเซวียนไป
ตามหลักการ ด้วยอำนาจของตระกูลหลงไม่มีใครกล้าลักพาตัวแน่ แต่เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งยังเป็นการบุกเข้ามาถึงในบ้าน
นี่ทำให้เธอนึกถึงชิวหันเยียนขึ้นมาทันที
ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็เคยใช้เด็กๆมาข่มขู่เธอหลายครั้งด้วยกัน อีกทั้งความแค้นของพวกเขาทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องจะปล่อยไปได้ง่ายๆ หรือว่าจะชิงลงมือก่อนงั้นหรอ
แต่อานหน้าบอกว่าเป็นชาวต่างชาติ
คิ้วสวยของฉินอีหลินขมวดแน่น ถ้าหากเป็น “K” จริงๆ งั้นก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้ว เมื่อก่อนตอนเธอเด็กๆถูกลักพาตัวไป ตระกูลหลงใช้เวลาตามหาเธออย่างเต็มที่ก็ยังไม่สามารถพาเธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่สามารถค้นหารังของแก๊ง K ได้เลย
ตอนนี้แม้ว่าอำนาจและอิทธิพลของตระกูลหลงจะกว้างขวาง แต่ใครจะรับรองได้ว่าแก๊ง K จะยังคงเป็นเหมือนแต่ก่อนล่ะ
สิ่งที่ทำให้เธอกังวลไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ครั้งก่อนเป็นชิวหันเยียนที่จับตัวเธอไปให้พวกนั้น เธอกลัวว่าครั้งนี้ก็จะเป็นการร่วมมือกันของชิวหันเยียนกับแก๊ง K อีกครั้ง คนหนึ่งมีกำลัง คนหนึ่งมีลู่ทาง นั่นถึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ
“อีหลิน คุณวางแผนจะทำยังไง”
อ้ายหลุนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเป็นห่วง ในใจสับสนยากที่จะอธิบายออกมา เขารู้สึกเคียดแค้น เขาทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนี้เงียบๆ แต่ทว่าไม่สามารถเป็นที่พึ่งและให้ความอบอุ่นอะไรแก่คนคนนี้ได้เลย
“ฉัน……..”
ฉินอีหลินกัดริมฝีปาก “ฉันต้องไปหาใครบางคน”
เธอจะต้องไปหาชิวหันเยียน ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ เธอจะต้องไปดูปฏิกิริยาของผู้หญิงคนนี้สักหน่อย ถ้าไม่เกี่ยวกับเธอก็ดีไป แต่ถ้าชิวหันเยียนเกี่ยวข้องกับแก๊ง K จริงๆล่ะก็ เธอจะไม่มีทางปล่อยหล่อนไปแน่ๆ
คิดถึงเรื่องนี้ ฉินอีหลินเงยหน้าบอกกับอ้ายหลุน “ฉันคิดว่าฉันรู้ว่าใครเป็นคนจับเด็กๆไป แต่ก่อนนั้น ฉันจะต้องออกไปสักหน่อย”
“สภาพคุณแบบนี้จะไปที่ไหน”
เดิมลี่โม่อวี่กำลังกับหลงอี้เซวียนกำลังแบ่งขอบเขตการค้นหา ได้ยินฉินอีหลินเอ่ยประโยคนั้น คิ้วขมวดขึ้น เขารู้ถึงความเย่อหยิ่งและดื้อรั้นของผู้หญิงคนนี้ดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยามที่เธอจะอวดเก่ง
“ใช่ พี่ ตอนนี้พี่ออกไปไหนไม่ได้ ถ้าพี่ออกไปแล้วถูกจับไปล่ะจะทำยังไง เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไง”
เมื่อหลงอี้เซวียนได้ยินก็ตึงเครียดขึ้นมา เขาก็รู้ดีถึงนิสัยของพี่สาวตัวเองเช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องที่เธอตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ เขาปล่อยให้ฉินอีหลินออกไปไม่ได้จริงๆ
“ถ้าเกินคุณเป็นอะไร รอหมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนกลับมา คุณจะให้เราบอกกับเด็กทั้งสองยังไง”
อ้ายหลุนมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างกังวล ใบหน้าเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ตั้งแต่ได้พบกับเธอเมื่อห้าปีที่แล้ว ชีวิตของเขาก็ผูกอยู่กับเธอ ไม่ว่าฉินอีหลินจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม เขาไม่สามารถยืนดูผู้หญิงที่เขารักต้องตกอยู่ในอันตรายได้
“ไม่เป็นไร ฉันจะไม่เป็นอะไร”
ฉินอีหลินรู้ดีว่าชายหนุ่มทั้งสามเป็นห่วงเธอด้วยใจจริงๆ หัวใจพลันอุ่นวาบ ความกระวนกระวายของเธอก็จางลงแล้วไม่น้อย
“ผมไม่อนุญาต”
ลี่โม่อวี่ยกคิ้วขึ้น สาวเท้าเดินเข้ามาหาฉินอีหลิน
เขารับไม่ได้กับเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้วหากมันจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ชิ้นส่วนเสื้อผ้ากับอาคารโรงงานที่ว่างเปล่ามันทำให้เขาเกือบจะเป็นบ้า เขาคิดว่าเธอจะสูญหายจากโลกนี้ไปแล้ว เขาเกือบคิดว่าเขาจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว
ลี่โม่อวี่ไม่รู้ว่า เขาฝ่าฟันผ่านวันคืนเหล่านั้นมาได้ยังไง ตลอดห้าปีมานี้ เขาต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกคืน ข้างเตียงก็ยังเย็นเยือก ไม่มีความอบอุ่นและกลิ่นอายของหญิงสาวร่างเล็กนั้นอีกแล้ว ความรู้สึกคิดถึงแบบนี้ทำให้เขาราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังเอาไว้ในกรง มีกำลังแต่ไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมา
เขาเคียดแค้นอยู่แบบนั้นอย่างจำยอม ดังนั้นเขาไม่มีวันยอมปล่อยให้ฉินอีหลินสูญหายไปจากสายตาของเขาอีกแล้ว
ฉันอีหลินได้ยินคำพูดออกคำสั่งแบบนั้นหัวคิ้วก็ขมวด แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้เธอไม่มีใจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา
ไม่มองลี่โม่อวี่ เธอหมุนตัวแล้วเดินออกไป
“ป้าหวาง”
หลงอี้เซวียนกลุ่มนักข่าวเกะกะอยู่ในเขตบ้าน สายตาของเขาดุร้ายอย่างไม่ปิดบัง เขาตะโกนเรียกหัวหน้าแม่บ้านที่ดูแลบ้าน
“ค่ะคุณชาย”
ป้าหวางยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินเสียงเรียก เธอจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มนักข่าวอย่างมีมารยาท “ต้องขออภัยด้วยนะคะ เชิญพวกคุณออกไปได้แล้วค่ะ”
สาวใช้คนอื่นๆในบ้านก็ตามออกไป มีมารยาทแต่ไล่นักข่าวและคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปได้อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ทว่าพวกเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับลี่โม่อวี่และหลงอี้เซวียนที่ดุร้าย
พวกเขาเหลือบมองกัน แล้วค่อยๆทยอยออกไป ยังไงซะข่าวน่าตกใจวันนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาเขียนข่าวได้แล้ว
พวกเขาสามารถจินตนาการไปไกลถึงยอดขายหนังสือพิมพ์ที่ขายดีในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว
ฉินอีหลินมองเห็นผู้คนวุ่นวายไปกันหมดแล้ว คำพูดจึงเป็นกันเองมากขึ้น “พวกเขาจับตัวหมิงเจ๋อและจิ่นเซวียนไป จะต้องมีอะไรที่ต้องการจากฉันแน่ ฉันออกไปก็แค่ต้องการยืนยันสิ่งที่คิดอยู่ในใจ พวกคุณไม่ต้องห่วงฉัน”
“ชิวหันเยียน”
ลี่โม่อวี่หรี่ตาลง เอ่ยสามคำออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาจ้องมองฉินอีหลินไม่วางตา อยากค้นหาความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเธอ “คุณจะไปหาชิวหันเยียน”
“คุณรู้ได้ยังไง”
ฉินอีหลินมองลี่โม่อวี่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกใจ ไม่ทันคิดก็เผยประโยคนั้นออกมา พูดจบใบหน้าก็แดงขึ้น รู้สึกว่าประโยคนี้ดูไม่ประสา เอ่ยต่ออย่างปิดบัง “แต่ก่อนฉันถูกชิวหันเยียนจับไป ต่อมาถูกส่งให้แก๊ง K ฉันคิดว่าเรื่องนี้ยังไงก็เกี่ยวกับเธอ”
“ทำไมไม่บอกผม”
ลี่โม่อวี่ได้ยินดังนั้นคิ้วคมจึงขมวดขึ้น น้ำเสียงเขาเจือด้วยความโกรธ กล้าแตะผู้หญิงของเขา จะต้องชดใช้
ฉินอีหลินยักไหล่ เดิมเธอก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แค้นของเธอต้องจัดการเอง แต่ชิวหันเยียนยังกล้าแตะต้องเธออยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจะไม่ปล่อยหล่อนไปง่ายๆแบบนี้แน่ “เรื่องของฉัน ฉันจัดการเอง”
ลี่โม่อวี่ได้ยินดังนั้นไม่พอใจ แต่ชินกับการถูกคนตรงหน้าปฏิเสธแล้ว และเข้าใจความร้อนใจของฉินอีหลิน จึงไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา
ใบหน้าของอ้ายหลุนขาวซีดขึ้นมาทันที ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเป็นเพียงคนนอก เขาไม่เข้าใจสาเหตุ และไม่รู้ผลที่ตามมา ไม่มีทางช่วยตามหาเด็กๆได้เลย ผู้หญิงที่ทั้งสองพูดถึงเขาไม่รู้จัก ฉินเคยถูกลักพาตัว เขาก็ยังไม่รู้
อ้ายหลุนมองฉินอีหลินนิ่งอยู่แบบนั้น เขาพบว่าสายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ลี่โม่อวี่อยู่ตลอด ไม่เคยมองมาที่เขาที่อยู่ข้างๆ
หลงอี้เซวียนยืนมองอยู่ข้างๆเห็นได้ชัดเจน เขากวาดตามองท่าทางที่ต่างกันของลี่โม่อวี่และอ้ายหลุนนิ่งๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่รู้ คนนอกมองได้ทะลุปรุโปร่ง