ประธานจอมหื่นสุดซ่า – ตอนที่ 191

ตอนที่ 191

บทที่ 191 ฉันจะฆ่าพวกเขา

“หลังจากเจาะเลือดก็กลับบ้านได้แล้วนะ อยากกลับบ้านแล้วหรือยัง? ไปกับน้านะ อีกเดี๋ยวแม่ก็จะมารับกลับแล้วล่ะ” ฉินอีหลินเห็นท่าทางของหลงจิ่นเซวียนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นเด็กน้อยได้รับความลำบาก จึงไม่สนใจแล้วว่าเธอจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ หรือจะพูดออกมาได้หรือเปล่า เขาจึงก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเด็กน้อยเบาๆ

ลี่โม่อวี่ขมวดคิ้วมองดูผู้หญิงทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบกัน โดยที่เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว ยิ่ง Abner คนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ผู้ชายทั้งสองยืนมองดูฉินอีหลินกับหลงจิ่นเซวียนกันอย่างเงียบไม่พูดไม่จา

ยังผ่านไปไม่ทันไร ลี่โม่อวี่ก็พบว่าลูกของตัวเองก็ยกมือปาดน้ำตาไปมา พลางมองมาที่ Abner ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ

ท่าทางแบบนั้นไม่ต้องพูดถึงลี่โม่อวี่เลย แม้แต่ Abner ก็ยังตกใจ ไม่รู้ว่าฉินอีหลินพูดอะไรกับเธอไปกันแน่

“คุณน้าคะ อุ้มหนูหน่อยสิคะ พวกเราจะได้ไปเจาะเลือดกัน!”

ฉินอีหลินเห็นแบบนั้น จึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะอุ้มเด็กน้อย เดินไปยังผู้ชายที่ยืนรออยู่ทั้งสองคน จากนั้นหลงจิ่นเซวียนก็รีบยื่นมือไปหา Abner อย่างอดใจรอไม่ไหว ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเร่ง

ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเด็กน้อย ทำให้ Abner เกิดความรู้สึกระแวดระวัง เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเมื่อสักครู่นี้เธอยังร้องไห้ แทบจะมืดฟ้ามัวดินอยู่เลย แต่ทำไมแค่พริบตาเดียว ก็มาทำท่าทีอ้อนวอนแบบนี้แล้วล่ะ?

“ทำไมคุณอาไม่ขยับเลยล่ะคะ? พวกเราจะไม่ไปเจาะเลือดกันหรือคะ?” หลงจิ่นเซวียนเอียงคอ ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

Abner เองก็ขมวดคิ้วมองไปทางฉินอีหลินขณะเดียวกันเขาก็ชั่งใจไปมา

แค่เด็กคนเดียว แต่กลับปั่นหัวเขาเสียจนไม่มีชิ้นดีเสียได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที

ลี่โม่อวี่เลิกคิ้วมองดู แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปห้ามอะไรทั้งสิ้น เขายืนมองร่างกายของเขาที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา อย่างสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็หันหัวมาหาฝ่ายหญิงที่อยู่ด้านหลังเขา

ฉินอีหลินที่มองเห็นท่าทางอดทนรอไม่ไหวของหลงจิ่นเซวียน เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เพราะช่วงที่ผ่านมาเธอได้รับความทุกข์ยากมาอย่างมากมาย จนในตอนนี้พอเธอได้ยินคำว่ากลับบ้านได้ ทำให้ในใจเธอมัวแต่คิดเรื่องที่จะจากไปจากที่นี่ โดยไม่ได้สนใจกลัวเรื่องเจาะเลือดเลย

พอคิดถึงตรงนี้ แววตาของเธอก็มีน้ำตาล้นเอ่อออกมา

ลี่โม่อวี่เห็นว่าแววตาของฉินอีหลินมีน้ำตาสุกใสเป็นประกาย ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ในเมื่อเจ็บปวดใจแบบนี้ ทำไมถึงได้ให้เด็กน้อยคนนั้นทนทุกข์แบบนั้นล่ะ?

“คุณพูดอะไรกับจิ่นเซวียนไปหรือ?”

“ฉันแค่พูดว่าพวกเราต้องรีบไปแล้วน่ะ” ฉินอีหลินเห็นว่าหลงจิ่นเซวียนหายไปจากสายตาแล้ว เธอจึงดึงสติกลับมาปาดน้ำตาออกไป ก่อนจะหันมาพูดกับลี่โม่อวี่

“ตอนนี้คุณฉินสะดวกไหมครับ? คือผมอยากให้คุณไปดูทหาร ที่พวกเราได้ทำการช่วยเหลือมาหน่อยน่ะครับ” ขณะที่ฉินอีหลินยังรู้สึกเจ็บปวดใจอยู่นั้น พลันเสียงของลี่อานโก๋ก็ดังทะลุผ่านแก้วหูของเธอ

“ตัวอย่าง H1 นี้ช่างวิจิตรจริงๆ เลยนะ” Sean ที่อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนกับ Abner นั้น มองดูข้อมูลในมือพร้อมทั้งฟังคนรอบข้างอธิบายไปด้วย

“พวกเราเองก็วิจัยกันมานานแล้วล่ะ อีกอย่างก็เพิ่งจะทำการบุกทะลวงครั้งใหญ่มา เพราะฉะนั้นฉันเชื่อเลยว่าอีกไม่นาน ผลประสบความสำเร็จของ H1 ต้องกระจายออกสู่สังคมอย่างแน่นอน” Abner ได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาวางแผนจะให้หลงจิ่นเซวียนได้ไปตรวจร่างกายผ่านเคมี แต่กลับได้รับสายของพี่ใหญ่อย่างกะทันหัน เขาบอกว่า “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ” นี้ต้องทำการบุกเบิกให้ได้

แถมชายคนนั้นยังเตือนเขาไว้ชัดเจนอีกด้วยว่า ให้เขาเอาเรื่องเกี่ยวกับ H1 ทั้งหมด บอกให้ Sean ได้รับรู้ โดยที่ห้ามปิดบังอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

ถึงแม้ในใจของ Abner จะไม่สบอารมณ์ก็ตาม แต่เขาก็ทำได้เพียงทำตามไป

เขากวักมือเรียกให้ผู้ช่วยมาอุ้มตัวเด็กน้อยไปที่ห้องทดลอง จากนั้นเขาก็เดินออกไปด้านนอกห้องด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะอดทนชี้แจงขึ้น “ผมไม่อยากจะฟังคำพูดเลื่อนลอยอะไรของพวกคุณหรอกนะครับ ผมเป็นนักธุรกิจ ผมกังวลเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น บอกผมมาเลยครับ ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะเห็นตัวทดลองสำเร็จ?”

แต่ Sean นั้นกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดของเขา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ “สองเดือนน่ะ”

พลัน Abner ก็คิดถึงคำพูดที่ฉินอีหลินพูดไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนจะรู้สึกใจชื้นขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม เขาจึงคิดจะพูดออกไปว่าเดือนเดียว แต่ก็กลัวว่าระหว่างทางอาจจะเกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ เขาจึงยอมยืดเวลาให้นานกว่านี้อีกหน่อย

“แล้วฉันจะรอข่าวดีนะ”

อีกด้านหนึ่ง ฉินอีหลินกับลี่โม่อวี่ที่ไม่ได้ยินบทสนทนาอะไรที่เกิดขึ้นด้วย กำลังมุ่งหน้าไปทาง “ห้องหลบซ่อน” นั้น

ทันทีที่พวกเขามาถึง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าด้านหน้าห้อง จะไม่มีใครเฝ้าอยู่เลยสักคน พวกเขาจึงมองหน้ากันและกัน ก่อนที่ลี่โม่อวี่จะผลักประตูเปิดเข้าไปก่อน

เขาไม่มีทางให้ฉินอีหลินเดินนำหน้าเขาแน่ๆ ถ้าหากเกิดเจออะไรที่มันอันตรายล่ะก็ ให้เขาเป็นคนแบกรับไว้ดีกว่า

“ฉันจะฆ่าพวกเขา!”

“ฉันสู้กับพวกเขาสุดชีวิต!”

“หุบปากไปทั้งหมดนั่นล่ะ!”

ลี่อานโก๋เห็นตัวอย่างคนในภาชนะบรรจุนั้น พลันจ้องมองที่เครื่องแสดงผลนั้นด้วยแววตาที่แดงก่ำไปด้วยความโกรธทันที ก่อนที่ร่างกายจะสั่นเทิ้มไปหมดอย่างหยุดไม่ได้

คนกลุ่มนี้มันร้ายนัก แม้แต่สัตว์ร้ายก็ยังเทียบไม่ได้เลย

ซึ่งคนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ต่างๆ ก็บังเกิดความโมโหขึ้น ก่อนจะกล่าวถึงครอบครัวของอีกฝ่ายกันอย่างสนุกปาก ก่อนที่ลี่อานโก๋จะพูดคำว่า “หุบปาก” แค่คำเดียว ก็ทำให้คนพวกนั้นต่างก็ไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังคงเก็บงำความโมโหไว้อยู่

“ลงมือซะ!”

พลันหน้าผากของลี่อานโก๋ก็มีเส้นเลือดผุดออกมา ในแววตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเดือดดาล คล้ายกับว่าจะกินคนได้เลย จนแม้แต่มือที่จับขาโต๊ะของเขาอยู่นั้น ก็ยังขาวซีดราวกับว่าออกแรงมากเกินไป แต่น้ำเสียงของเขากลับดูมั่นคงมีพลัง ราวกับว่าไม่มีอะไรทำให้สั่นคลอนได้

ลงมืองั้นหรือ?

ทันทีที่ฉินอีหลินได้ยินคำพูดนั้น เธอก็รู้สึกมึนงงไปทันที เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคำว่า “ลงมือ” ที่ลี่โม่อวี่พูดนั้นหมายถึงอะไรกันแน่

จะให้เธอเอาคนพวกนั้นใส่กระเป๋ากลับไปงั้นหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นเกรงว่าคงจะถูกคนต่างชาติเหล่านั้น โยนกลับเข้าไปในห้องลับใหม่อีกรอบ โดยที่ยังไม่ทันได้ออกจากห้องน่ะสิ

ซึ่งในขณะนั้นเอง ฉินอีหลินก็เริ่มรู้สึกสั่นไหวใต้เท้าขึ้นมา ซึ่งทั้งห้องที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ ก็เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้กระทั่งดวงไฟบนเพดานก็ยังติดๆ ดับๆ ไปมา พอเห็นดังนั้นเธอจึงคว้าแขนของลี่โม่อวี่ไว้อัตโนมัติ

“ผู้อำนวยการลี่ลงมือแล้ว!”

ราวกับว่าฉินอีหลินจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอจึงรีบหันหน้าไปตะโกนใส่ลี่โม่อวี่ด้วยสีหน้าที่ร้อนรน

ในเมื่อพวกเขาลงมือไปแล้ว แล้วจิ่นเซวียนอยู่ไหนกันแล้วล่ะ? แล้วยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า?

“พวกเราออกไปก่อนเถอะ” ลี่โม่อวี่ได้ยินเสียงตะโกนที่ดังเข้าหูของตัวเอง ก็ขมวดคิ้วแน่น เขายื่นมือไปโอบฉินอีหลินเอาไว้ เข้ามาปกป้องในอ้อมอกของตัวเอง ราวกับกำแพงที่ป้องกันเศษหิน จะตกใส่ผู้หญิงที่ตัวเองรัก

“พวกเราต้องไปช่วยจิ่นเซวียนนะ จิ่นเซวียนยังอยู่กับพวกนั้นอยู่เลย!”

ตอนนี้ฉินอีหลินเซ จนหัวไปซุกอยู่กับหน้าอกของลี่โม่อวี่ แต่เธอไม่ได้เบือนหน้าหนีไปด้วยความเขินอาย เธอกลับตะโกนด้วยความร้อนรน พลางรีบวิ่งไปที่ห้องทดลอง ที่หลงจิ่นเซวียนถูกกักขังอยู่ทันที

รอแม่ก่อนนะจิ่นเซวียน แม่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะ

“ระวัง!” ลี่โม่อวี่มองดูโคมไฟระย้าที่ร่วงหล่นลงมาด้านหน้า ก่อนจะพุ่งตัวไปคุ้มกันฉินอีหลินอีกครั้ง ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกไป

เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ร้อนแสบอยู่ด้านหลัง แต่ทั้งสองคนตอนนี้ แทบจะไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว : “จิ่นเซวียนต้องไม่เป็นอะไรนะ”

ลี่โม่อวี่ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดนั้น เพื่อปลอบใจฉินอีหลินหรือว่าปลอบใจตัวเองกันแน่

ระเบียงทางเดินที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว แต่กลับมีแสงสัญญาณเตือนสีแดง ดังขึ้นตลอดเวลา

ลี่โม่อวี่จึงเดาได้ว่า ทีมของลี่อานโก๋คงจะเริ่มดำเนินการโจมตีแล้ว ซึ่งตอนนี้พวกเขาต้องหาจิ่นเซวียนให้เจอ หวังว่าเธอจะอดทนรอจนพวกเราไปถึงได้นะ

“ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกมาจากทางนี้!” เดิมทีฉินอีหลินก็ตามหาลูกของเธอด้วยความร้อนรน ไปทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว หรือไม่ก็มาจากความผูกพันจากแม่สู่ลูก ทำให้เธอได้ยินเสียงร้องไห้ที่แทบจะขาดใจของหลงจิ่นเซวียน จากนั้นก็รีบพุ่งไปที่ห้องทดลอง ที่อยู่ห่างไปอีกหลายร้อยเมตร อย่างไม่หยุดฝีเท้าเลยทันที

หลังจากที่ลี่โม่อวี่วิ่งตามมาจนถึงประตูนั้น เขาก็เห็นฉินอีหลินกับหลงจิ่นเซวียน กำลังกอดกันพลางร้องไห้ไปด้วย เขาที่เห็นภาพแบบนั้นน้ำตาของเขาก็คลอเบ้า

ประธานจอมหื่นสุดซ่า

ประธานจอมหื่นสุดซ่า

Status: Ongoing

ยืนอยู่หน้าประตูบาร์ เธอไม่รู้จะทำอย่างไร ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เธอเข้าบาร์ ตอนเช้าของวันนี้ มีข่าวซุบซิบบันเทิงดังไปทั้งเมือง คุณหนูตระกูลใหญ่ไปกับผู้ชายเมื่อคืน หน้าหนังสือพิมพ์ยังมีรูปภาพที่เธอถูกผู้ชายกอดเข้าโรงแรม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท