บทที่ 162 ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร
เธอสูดลมหายใจเพื่อหาต้นตอของกลิ่น และในที่สุดเป้าหมายก็ถูกล็อกอยู่ในแก้วกาแฟ
ข้างในนั้นคืออะไร หรือว่าคนกลุ่มนั้นกำลังเล่นตลกอะไรอีก ฉินอีหลินไม่ค่อยแน่ใจ เดิมทีอยากเข้าไปเช็คดู แต่เมื่อมองดูลูกที่นอนสนิทในอ้อมกอด ฉินอีหลินก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านไป
ทางด้านฉินอีหลินไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่รู้สักนิดเลยว่าความเป็นความตายของตนเองได้ตั้งอยู่บนโต๊ะนั้น
หม้อระเบิดออกไปข้างนอกแล้วตั้งแต่เช้า ที่ฉินอีหลินทำเรื่องวุ่นวายในห้องปฏิบัติการเจ้าหน้าที่อาวุโส องค์กรK มีการจัดการประชุมทันที เพราะฉินอีหลินเปรียบได้กับความแข็งแกร่งของผู้ชาย และมีพลังระเบิดที่ดี ที่จะทำให้กลุ่มนี้ตื่นเต้นกันสุดๆ
“ทุกท่านก็เห็นแล้วใช่ไหม ว่าค่าของH1สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่เราคาดไว้ ลองคิดดูว่าหากทหารของเราแต่คนคนมีระดับเท่ากับเธอ แล้วเรายังต้องกลัวอะไรอีก” มีผู้ชายคนหนึ่งได้กดหยุดวิดีโอชั่วคราว สองสายตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ทั้งคำพูดก็ดูตื่นเต้นมาก
“ใช่แล้ว ผมขอแนะนำให้นำผู้หญิงคนนี้มาศึกษากายวิภาคศาสตร์ ซึ่งดีกว่าครอบคลุมและเจาะจงมากกว่าการเจาะเลือดเหมือนอย่างตอนนี้ และในด้านเทคโนโลยีของประเทศเรา ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด” นักวิทยาศาสตร์อีกท่านก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้
เขาศึกษาเซลล์ทางชีววิทยาของมนุษย์มาหลายปีแล้ว เขาอยากทำการเปลี่ยนแปลงระบบเซลล์มาตลอด แล้วในวันนี้ก็พบว่าฉินอีหลินสามารถเปลี่ยนแปลงระบบเซลล์ของตนเองอย่างบ้าคลั่ง แล้วจะให้พวกเขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
“ท่านครับ ทำผ่าตัดให้เธอเถอะครับ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์ หรือประสบผลสำเร็จทางทหาร ก็ล้วนเป็นเรื่องดี ขอท่านโปรดพิจารณาข้อคิดเห็นของพวกเราด้วยครับ” นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนเหมือนกับว่าถูกฉีดยาตื่นเต้น ก็ได้เสนอแนะเรื่องการผ่าตัดแก่ฉินอีหลิน
เรื่องนี้สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นสิ่งล่อใจที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้
แต่บางคนก็คัดค้าน “หากว่าท้ายสุดพวกท่านไม่พบอะไรเลย และต้องมีคนตาย และสิ่งทดลองH1สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร แล้วใครจะรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา ก็เสียงสะท้อนจากผู้คนมากขึ้น พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มอนุรักษนิยม พวกเขาปฏิบัติตามกฎมาโดยตลอด มันไม่สำคัญว่าเวลาจะช้า พวกเขามีเวลาและพลังงานมากพอที่จะลงทุนในการวิจัย แต่การรับประกันชีวิตของฉินอีหลิน การวิจัยครั้งนี้จะสามารถดำเนินการต่อไปได้
“ใช่แล้ว พวกเราได้H1จากเลือดของเธอแล้ว การวิจัยในอนาคตไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นไปไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องด่วนสรุปแบบนี้” ผู้ชายอีกก็พูดโต้กลับเช่นกัน
ในเวลาเดียว การประชุมไม่มีบทสรุป คนสองฝ่ายก็พูดเพียงความคิดเห็นของตนเอง ไม่มีความเป็นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์แสดงออกถึงความบุ่มบ่ามและความโกรธ ผู้เป็นหัวหน้าดวงตาแดงก่ำ กำมือแน่นแล้วพูดถากถางว่า “ตราบใดที่เราสามารถทำผ่าตัดได้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่พบอะไรเลย”
อีกฝั่งนั้นเมื่อฟัง ก็ยิ้มกว้าง “คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือว่าจะพบคำตอบ”
นี่……….กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ก็เงียบไปชั่วขณะ ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มต้น พวกเขาจะมาพูดถึงหลักประกันทำไมกัน
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์อาจไม่ได้ประสบผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถึงแม้ว่าจะมีความหวังเพียง0.1เปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่ลอง จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไปไม่ได้”
ฝ่ายตรงข้ามมีเสียง หึ หนึ่งครั้ง แล้วพูดแดกดัน “เมื่อถึงเวลาพวกท่านวิจัยไม่สำเร็จ คนตายไป การทดลองH1ก็จะหยุดชะงัก ความผิดพลาดนี้ใครจะรับผิดชอบ”
จนสุดท้าย คนนั้นเสียงก็เริ่มสูงขึ้น ทั้งใบก็มีแต่ความโมโห
สถานการณ์ของทั้งสองคนได้ถึงขั้นลงรอยกัน นักวิทยาศาสตร์นั้นเคยชินกับการตัดสินใจอย่างเผด็จการของตนเองแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าคนกลุ่มนี้จะมีท่าทีที่กระด้างเช่นนี้ หลังจากที่เขาเงียบสักพัก ก็พูดด้วยเสียงที่เริ่มขาดตามอดทน “การวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีหรือจะต้องอุทิศตัวเอง ถ้าเหมือนอย่างพวกท่าน เราจะทุ่มเทกับงานวิจัยทั้งกายทั้งใจได้อย่างไร ประเทศชาติจะพัฒนาได้อย่างไร”
ฝ่ายตรงข้ามเมื่อฟัง ก็ทำเสียงหึ เห็นได้ชัดว่าเขาเย้ยหยันในสิ่งที่เขาพูด ไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย
“ท่านครับ ท่านคิดเห็นอย่างไร” ฝ่ายวิทยาศาสตร์เริ่มเถียงไม่ไหว หมุนตัวแล้วหันไปยังผู้นำสูงสุดที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธาน
ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำสูงสุดเงียบขรึมอยู่ตลอด การโต้เถียงกันของทั้งสองฝ่ายล้วนอยู่ในสายตาของท่าน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง แต่ว่าในระหว่างทั้งสองฝ่าย ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ต้องเสียสละ
ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้นำสูงสุด เพียงแต่ว่าใบหน้าของท่านผู้นำไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆเลย ตั้งตนเองอยู่นอกเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าไม่ได้ยินอะไรเลย
บนรถอ้ายหลุนไม่พอใจกับท่าทีของลี่โม่อวี่เป็นอย่างมาก และตอนนี้มาถึงดินแดนของเขา เขายังคงยิ่งผยองแบบนี้อีก
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นคำสารภาพของฉินอีหลิน อ้ายหลุนก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนออกมาให้เห็น แม้ว่าจะไม่เต็มใจ ท้ายสุดก็ยังสั่งให้คนขับรถพาคนไปยังวิลล่าของตนเอง
ลี่โม่อวี่ได้ยินว่าอ้ายหลุนไม่กลับไป ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถาม “คุณจะไปไหน”
อ้ายหลุนได้ยิน ก็เหมือนถังดินปืนที่กำลังจะระเบิด เขาพูดเสียงดังขึ้น “คุณลี่ครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ระหว่างทำงาน คงไม่สามารถหยุดงานทั้งหมดของผมเพียงเพราะคุณมาประเทศYนะครับ”
ลี่โม่อวี่พยักหน้าอย่างสงบ เงยหน้าขึ้นไปมองที่อ้ายหลุน ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องโกรธขนาดนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งก็ถือว่าเป็นศัตรูกันในเรื่องความรัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจอ้ายหลุน ตอนนี้เขาสามารถมารับตนเองก็นับว่าดีแล้ว สำหรับอ้ายหลุนแล้ว เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
คิดถึงตอนที่ยังอยู่ในประเทศ สีหน้าสีตาที่อ้ายหลุนทำให้ฉินอีหลินนั้น เขาก็เริ่มคิดว่าเขาควรถ่ายคลิปหน้าตาในตอนนี้ของอ้ายหลุนหรือเปล่า ให้ฉินอีหลินดูว่าคนที่ตนเองนับเป็นเพื่อนที่ดีนั้นกำลังปฏิบัติกับตนอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พูดสถานการณ์สั้นๆเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณ แล้วเย็นนี้เราค่อยคุยกันอย่างละเอียดอีกที ” ลี่โม่อวี่ไม่ได้สนใจความโมโหของเขา จึงพูดอย่างเบาๆ
ดีที่ทั้งสองมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ต่อมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
อ้ายหลุนพยักหน้า แล้วเริ่มพูดสถานการณ์สั้นๆอย่างง่ายๆชัดเจนบนรถ “ก่อนหน้านี้ฉินให้ผมไปตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ แต่ก็เสียดายที่ช้าไปหนึ่งก้าว จนตอนที่ผมไปตรวจสอบ หมายเลขนั้นถูกยกเลิกแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อ้ายหลุนก็เงยหน้าขึ้นหันไปมองลี่โม่อวี่ ก็เห็นว่าใบหน้าเขาไม่ได้แสดงอะไรออกมา เมื่อถึงจุดนี้คาดว่าทุกคนก็สามารถเดาได้ อีกทั้งองค์กรKก็ไม่ใช่ผู้ที่ประมาทอะไร
ลี่โม่อวี่รอไปสักพัก เห็นเขายังไม่พูดอะไร จึงก็ใช้สายตาที่สำรวจมองไปอีกครั้ง
อ้ายหลุนถอนหายใจอย่างเงียบๆ แล้วค่อยพูดต่อ “ต่อมา ตอนที่ผมกำลังตรวจสอบเชิงลึก กลับมีคนโทรมาข่มขู่ผม”
ลี่โม่อวี่ได้ฟังแล้ว ก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นด้วย “จากนั้นหล่ะ”
อ้ายหลุนส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด ดูอารมณ์เสียอย่างมาก “หมายเลขที่โทรมาข่มขู่นั้นผมเคยไปตรวจสอบแล้ว เป็นหมายเลขของเขตทหาร ผมมีสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรKอย่างแน่นอน
พูดถึงเขตทหาร ลี่โม่อวี่ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้พูดในทันที ใบหน้าบึ้งตึงดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
อ้ายหลุนพูดจบ ก็เห็นว่าสีหน้าของลี่โม่อวี่ไม่ดีเลย เหมือนว่าจะคาดเดาความคิดของเขาได้ ก็พูดเตือนสติว่า “ผมมีเรื่องจะบอกให้คุณ ที่นี่คือประเทศY ไม่ใช่ประเทศของคุณ คุณอย่าทำอะไรไปเรื่อย หากเกิดเรื่องขึ้น ผมก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้”