บทที่ 172 เกิดมาแล้วไม่เลี้ยง สู้ไม่เกิดเลยจะดีกว่า
ลี่โม่อวี่เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปยังผู้หญิงที่จับตัวเองแน่นที่อยู่ข้างหน้า อารมณ์เต็มไปด้วยความมึนงง
แม่งั้นหรอ….
ช่างเป็นคำที่ดูแปลกอะไรขนาดนี้
และหยางผิงเองกลับไม่มีแรงที่จะไปคิดอะไรให้มันมาก เธอแค่จับแขนของลี่โม่อวี่เอาไว้แน่น ราวกับขอแค่เธอปล่อยมือ ผู้ชายคนนี้ก็จะจากไปแบบนั้น แบบนี้ทำให้เธอคิดถึงจนทรมานมาแล้วยี่สิบกว่าปี ไม่มีวันไหนเลยที่เธออยากที่จะเป็นแบบนี้
“ไม่นะอย่าไป อย่าไปเลย”
ถ้าเกิดสามารถทำให้ลูกอยู่ตรงนี้ได้ งั้นเธอจะยอมที่จะปล่อยวางความเย่อหยิ่งและยอมก้มลงไปขอร้องมันจะยากอะไรกัน
หยางผิงไม่สนใจความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองอะไรทั้งนั้น และยิ่งไม่สนใจความสง่างามและท่าทางอะไร สิ่งนั้นเป็นแค่ของนามธรรมเท่านั้น แต่การที่ลูกของเธอยังอยู่ที่นี่นั้นกลับไม่ใช่ของแบบนั้นเลย
“อย่าไปเลยนะ อย่าไปเลยได้ไหม”
ลี่โม่อวี่ไม่เคยเจิเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย เขาอยากที่จะดึงมือของตัวเองกลับ แต่เมื่อเขาเห็นผมขาวของหยางผิง อีกทั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยการร้องอ้อนวอน ขยับปากแต่ไม่ได้อ้าปากอะไร
แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ตกใจมากที่สุดก็คือลี่จิ่ง เขาไม่เคยเห็นแม่ตัวเองไม่มีสติขนาดนี้มาก่อน
ตอนที่เขาเล็กมาก หยางผิงก็บอกกับเขาว่า เขาจะต้องมีความรู้ความสามารถที่ดี อีกทั้งจะต้องมีท่าทีและความเย่อหยิ่งให้เหมาะกับตำแหน่งฐานะของเขา แต่ในตอนนี้ แม่ของเขากำลังทำท่าทางที่อ้อนวอนขอร้องผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา แบบนี้มันทำให้เขาแทบจะกลับมาในอารมณ์เดิมไม่ได้เลย
ผ่านไปนาน ลี่จิ่งถึงจะกระพริบตา มองไปทางยามที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ที่หน้าประตู
“นายลงไปก่อนเถอะ ผมไม่ชอบคนที่ชอบพูดให้เกิดปัญหา”
ยามคนนั้นได้ยินก็เหงื่อออก รีบก้มหัวเคารพรอบหนึ่ง แล้วตอบกลับไปว่า “รับทราบครับ” จากนั้นถึงรีบก้าวเท้าวิ่งออกไป
มองดูคนคนนั้นเดินออกไป ลี่จิ่งถึงจะเดินเข้าไปด้านหน้า ยื่นมือออกไปที่หยางผิง แล้วก็พูดปลอบใจเธออย่างอ่อนหวาน “แม่ครับ นายคนนั้นเขาไปแล้ว แม่ใจเย็นๆก่อนนะครับ พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องก่อนกันดีไหม พวกเราไม่ควรที่จะให้คนอื่นยืนอยู่ที่หน้าประตูอยู่แบบนี้”
ลี่จิ่งไม่หยุดที่จะปลอบใจผู้หญิงที่กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้คนนี้ นานมาก หยางผิงถึงค่อยๆดึงสติตัวเองกลับมา และไม่มองลี่จิ่ง เธอยังคงมองไปที่ลี่โม่อวี่อยู่อย่างนั้น สายตาไม่แสดงออกว่ากำลังดีใจ และพูดว่า “ใช่สิ พวกเราเข้ามาคุยในห้องกันก่อนเถอะ เข้ามาสิ”
เธอยังคงดึงแขนของลี่โม่อวี่ และหลังจากนั้นก็พาเขาเข้าไปในห้องโถง ท่าทีของหยางผิงตอนนั้นเหมือนกับว่าถ้าเกิดเธอปล่อยมือไป ลี่โม่อวี่ก็จะหายไปกับสายลมอย่างไรอย่างนั้น
ลี่โม่อวี่ตามหยางผิงเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกันก็เงียบๆมองดูของที่จัดเรียงไว้อยู่ด้านหน้า
ในห้องโถงทั้งหมดไม่ได้ดูหรูหราสวยงามดูมีอำนาจอะไรแบบนั้น แต่กลับมีลักษณะที่เป็นแบบการตกแต่งแบบโบราณสิ่งของโบราณตั้งอยู่ในห้อง
ฉากกั้นอันใหญ่ทางด้านขวามันกั้นระหว่างห้องโถงและห้องภายใน และผนังทางด้านขวาก็แขวนภาพลายมือจริงๆของจางด้าเชียน
มองไปทางโต๊ะที่อยู่ในห้อง มันมีผลต่อการจ้องมองและความตกตะลึงของลี่โม่อวี่แบบนี้
โต๊ะที่มีกลิ่นอายโบราณอันนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นไม้จันทน์และไม้โป๊ยเซียนที่มีอายุเป็นร้อยปี แต่ตอนนี้กลายมาเป็นโต๊ะอาหารแบบนั้น
ลี่โม่อวี่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนที่ทำลายสิ่งของตามอำเภอใจ เพียงแต่การเล่นแบบนี้สำหรับพวกเขาแล้วมันดูเป็นปกติเท่านั้นเอง หรือว่าจะพูดอย่างน่าหมั่นไส้ เดิมมันก็แค่โต๊ะอันหนึ่งเท่านั้น ทำไมจะต้องสร้างคุณค่าประวัติศาสตร์ให้มันด้วย
ครั้งแรกที่ลี่โม่อวี่รับรู้ได้ถึงธาตุแท้ที่แฝงอยู่ของตระกูลลี่ แต่ไม่สามารถแสดงว่าเขาจะต้องร้องไห้ตะโกนกลับไปที่ตระกูลลี่
จนถึงตอนนี้ ลี่เจิ้งหลิงกลับเดินเข้ามาจากด้านนอก เขามองออกว่าในบ้านมี “คนแปลกหน้า”อยู่ แต่ว่าสรุปแล้วคนแปลกหน้านั้นเป็นทายาทของตระกูลลี่ แต่ว่าลี่เจิ้งหลิงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มองออกว่าลี่โม่อวี่กับตัวเองมีหน้าตาที่คล้ายๆกันอยู่
“กลับมาแล้วก็ดี”
ลี่เจิ้งหลิงพูดแกมหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็เดินขาลากเดินลากขากะเผลกเดินผ่านฉากกั้นห้องไป ให้ในห้องโถงเหลือเพียงแต่หยางผิง เขารู้ว่าการเป็นแม่ หยางผิงจะต้องมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมา
ลี่เจิ้งหลิงไม่ได้เป็นคนหัวโบราณ แน่นอนว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ทำให้ลูกสะใภ้ไม่มีความสุข
ตอนที่ลี่เจิ้งหลิงเดินเข้ามา ลี่โม่อวี่ก็เพิ่มความระมักระวังมากขึ้น คนแก่นั่นแม้ว่าจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว แต่ท่าทางที่กระฉับกระเฉงรอบตัวมันทำให้อกเขาอึดอัดใจ จนเห็นคนจากไป ร่างกายของเขาถึงจะสบายใจขึ้นมา
ก้มหัวลงไปมองหยางผิงที่จับแขนของเขาไว้ตลอด ลี่โม่อวี่พบว่าอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้เริ่มที่จะสงบลง ก็เริ่มเม้มปากขึ้น ไม่ง่ายเลยที่จะปฏิเสธและเก็บมือของตัวเองกลับมา ฟังไม่ออกว่าเสียงมีอารมณ์ใดๆ
“คุณนาย ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ครั้งนี้ที่ผมมานั้นผมแค่จะมาหาผู้อำนวยการลี่ ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ งั้นผมขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวผมจะมาใหม่อีกทีในวันหลัง”
คำพูดของลี่โม่อวี่เหมือนกับมีดที่พุ่งเข้าไปปักอกหยางผิง
ไม่มีผู้หญิงคนใดรับได้เรื่องที่ลูกตัวเองทำเป็นเหมือนคนแปลกหน้า เธอควบคุมตัวเองไม่ได้เดินโซเซอยู่หลายก้าว ในใจพูดไม่ออกถึงความทรมาน
เธอลูกที่เธอคิดถึงมานานนับยี่สิบกว่าปี กลับมาเรียกเธอว่า “คุณนาย” แบบนี้ มันทำให้เธออดไม่ได้ที่เสียงจะสั่นขึ้นมา “ไม่ใช่ ไม่ใช่ อวี่เอ๋อ ฉันเป็นแม่ของเธอ ไม่ได้เป็นคุณนายอะไรเลย”
เห็นท่าทีที่ดูตระหนกของหยางผิง ใจของลี่โม่อวี่ก็มีความรู้สึกที่แปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บปวดรวดร้าวเต็มไปทั้งใจ แต่เขากลับไม่เข้าใจเลยว่านั่นเป็นความรู้สึกอะไรกัน
เดิมลี่จิ่งยังคิดว่านี่เป็นญาติห่างๆเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าคนคนนี้จะเป็น….
กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวาย ลี่อานโก๋ก็กลับมาทันเวลาพอดี ตอนที่เขายืนอยู่ที่หน้าประตู หลังจากที่ได้ยินเสียงที่ดูทรมานเจ็บปวดของภรรยาตัวเอง ความโกรธของเขาพุ่งเขามาอย่างควบคุมไม่ได้
ลี่อานโก๋เดินเข้าไปตรงหน้าของลี่โม่อวี่ ตาทั้งสองข้างเบิกตากว้าง เขาก็ไม่ได้มีความพะว้าพะวังที่จะอยู่ด้านข้างของลี่จิ่ง เลยพุ่งไปทางผู้ชายที่ดูเยือกเย็นคนนั้น และตะโกนพูดว่า “ลี่โม่อวี่ นั่นมันแม่แกนะ อุ้มท้องนายมาตั้งสิบเดือน!”
เดิมทีแล้วลี่อานโก๋คิดว่าเขาจะเพ่งเล็กมาแค่ที่ตัวเอง ถ้าเกิดลี่โม่อวี่เห็นหยางผิงทำหน้าตายแบบนี้เพราะคิดถึงเขา อีกทั้งยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้แบบนี้ ก็สามารถที่จะอ่อนใจและก็คุยกับพวกเขา
ในเมื่อนั่นคือลูกของพวกเขา เลือดข้นกว่าน้ำ จะมีเรื่องบาดหมางระหว่างกันไปทำไม
เพียงแค่ เขาประเมินความเย็นชาของลี่โม่อวี่ต่ำเกินไป
ลี่โม่อวี่ไม่ได้กลัวคำตะโกนของลี่อานโก๋เลย เขาแค่เลิกคิ้ว แถมยังมองอย่างเสียดสีไปทางคนที่เรียกว่า “พ่อ” นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความรับไม่ได้และความเย่อหยิ่ง
“คลอดออกมาแล้วไม่เลี้ยง สู้ไม่คลอดออกมาจะดีกว่า”
“กำเริบนะ!”
ลี่อานโก๋ได้ยินแบบนั้นก็โกรธมากจนเส้นเลือดตรงขยับโผล่ขึ้นมา เขารู้สึกเพียงแค่ว่าหัวร้อน เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ เพียงแต่ไม่หยุดที่จะพูดว่า “เปลี่ยนเถอะ เปลี่ยนเถอะ”
และหยางผิงเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร หลังจากตอนที่เธอได้ยินลี่โม่อวี่พูดออกมาด้วยอารมณ์แบบนี้ เลย “อา”ออกมา จากนั้นก็เหมือนตามืดหม่นสูญเสียความรู้สึกตัวไป