บทที่ 190 ส่งเด็กมาให้ผม
“ทานข้าวแล้วเดินร้อยก้าว มีชีวิตถึงเก้าสิบก้าว”
หลังทานข้าว ฉินอีหลินยืดแข็งยืดขา สะบัดคอ จากนั้นเดินวนไปตามแนวผนังของห้องลับ
“ทำไมฟังดูเหมือนคนแก่เลย ทำไม แก่แล้วหรอ”
ลี่โม่อวี่ยื่นมือไปกอดหลงจิ่นเซวียนเอาไว้ พลางหยอกล้อเด็กสาวในอ้อมแขน พลางเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ
สำหรับการไม่เกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาของฉินอีหลิน ลี่โม่อวี่ชื่นชมจากใจจริงๆ
ลองถามดูจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ถูกกักขังปิดสนิท และได้ทราบข่าวว่ากำลังจะถูกช่วยเหลือ สีหน้ายังคงไม่เผยอารมณ์ใดออกมา นิ่งสงบ
แต่ฉินอีหลินทำได้
“นี่เป็นเรื่องจริง คนสมัยก่อนก็พูดกันแบบนี้ ต้องมีมูลฐานแน่ ไม่เชื่อไม่ได้”
ฉินอีหลินกลอกตาใส่ลี่โม่อวี่ครั้งหนึ่ง แล้วเดินต่อไป
ความจริงใช่ว่าเธอจะไม่ตื่นเต้น ไม่ว้าวุ่น แต่เธอไม่สามารถแสดงออกมาทางสีหน้าได้
ถ้ามีเพียงลี่โม่อวี่คนเดียว เธอก็คงไม่เกรงใจ แต่จิ่นเซวียนก็อยู่ เธอจะให้ลูกตื่นตระหนกไปกับเธอด้วยไม่ได้
“คุณยายก็พูดแบบนี้”
หลงจิ่นเซวียนได้ยินที่แม่ตัวเองพูด จึงหันกลับไปบอกกับลี่โม่อวี่
“โอเคโอเค พวกคุณพูดถูก”
ลี่โม่อวี่นวดศีรษะของหลงจิ่นเซวียนเบาๆอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงลุกขึ้น
“ฉันจะออกไปเดินเล่นหน่อย อึดอัด”
ฉินอีหลินหันมาบอกกับลี่โม่อวี่ยิ้มๆ
“แม่คะ เราออกไปได้ไหมคะ”
ตั้งแต่หลงจิ่นเซวียนถูกลักพาตัวมา เธอก็ไม่เคยได้มีอิสระ ตอนนี้ได้ยินคำพูดของแม่ เธอเบิกตากว้างด้วยความดีใจ ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ได้แน่นอน”
หอมแก้มลูกสาวตัวเองเบาๆ ฉินอีหลินยื่นมือไปรับเด็กน้อย “ออกไปสูดอากาศด้วยกันไหม”
แน่นอนว่าลี่โม่อวี่รู้ความคิดของฉินอีหลิน หากคนของลี่อานโก๋อยากจะเข้ามาได้อย่างสะดวก งั้นก็ต้องมีแผนที่ของฐานแห่งนี้ และพวกเขาก็เป็นตัวนำทางเคลื่อนที่ที่ดีที่สุด
พยักหน้าตอบเงียบๆ ลี่โม่อวี่จะปล่อยให้ผู้หญิงและลูกสาวที่เขารักประสบอันตรายได้ยังไง
และAbnerไม่ใช่คนไร้พิษสง เขากลัวจริงๆว่าฉินอีหลินยังขาดประสบการณ์ ไม่ระวังกับดักของผู้ชายคนนั้น เดินเข้าไปติดกับนั่นซะเอง
เขามองไปรอบๆ อย่างน้อยก็ต้องนำทางสักนิด
“เปิดประตู”
ฉินอีหลินเพียงบอกเปิดประตู ประตูห้องลับก็ถูกเปิดออก ชายชุดคลุมขาวที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่แม้แต่จะเงยหน้า ก็ปล่อยทั้งสามออกไป
เจ้านายออกคำสั่งแล้ว ใครจะกล้าขัด ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือและความสามารถของผู้หญิงคนนี้พวกเขาเคยมีประสบการณ์มาด้วยตนเองแล้วหลายครั้ง
“แม่คะ แม่สุดยอดไปเลย”
หลงจิ่นเซวียนเห็นว่าเมื่อแม่ของเธอเอ่ยสั่ง “เปิดประตู” อย่างมีอำนาจ คนร้ายพวกนั้นก็รีบเปิดประตูให้พวกเขาออกไป การวางมาดนั้นทำให้เธอต้องปรบมือให้ไม่หยุด
ที่แท้แม่ของเธอก็ร้ายกาจ
ลี่โม่อวี่ยืนเขี่ยจมูกอยู่ข้างๆ ถ้ารู้ว่านี่จะทำให้ลูกสาวของเขาชื่นชมขนาดนี้ เมื่อสักครู่เขาคงรีบพูดก่อนฉินอีหลินก็คงดี
“ไปเถอะ”
ฉินอีหลินยิ้มเบาๆ จากนั้นสาวเท้าเดินนำ
“คุณรู้ที่มาของภาพนี้ไหม”
อีกด้านฉินอีหลินตั้งใจคลายความกดดันให้ตัวเอง อีกด้านตั้งใจทำให้พวกนั้นสับสน จึงถามลี่โม่อวี่
“เล่ากันว่าเมื่อสมัยที่เกิดการระบาดของกาฬโรค คนที่โชคดีได้เห็นภาพนี้สามารถซื้อภาพนี้คืนได้ ต่อมาจึงถูกตั้งชื่อว่า ช่วยให้รอดพ้น”
ลี่โม่อวี่เพียงแค่มองผ่านๆไปที่ภาพนั้น ก็เอ่ยออกมา “เสียดายไม่ใช่ของจริง”
“ข้อเรียกร้องของคุณมันสูง”
ฉินอีหลินเบะปาก ดูภาพไปพลาง สำรวจเส้นทางไปพลาง “คนพวกนี้ดูมีศิลปะ ดูเหมือนยังไม่ปกติ”
ลี่โม่อวี่พยักหน้าแสดงถึงการเห็นด้วย
ในขณะที่ทั้งสามกำลังตั้งใจชื่นชมภาพ Abnerก็รีบร้อนเดินเข้ามา “ส่งเด็กมาให้ผม ผมต้องการตัวอย่างเลือด”
หลงจิ่นเซวียนได้ยินว่าต้องเจาะเลือด ใบหน้าของเธอพลันซีดขาว ถ้าเป็นไปได้ ชาตินี้ทั้งชาติเธอไม่อยากมองเห็นเข็มฉีดยาเลยด้วยซ้ำ
“แม่คะ หนูไม่ไป หนูไม่ไป”
เธอกอดคอฉินอีหลินเอาไว้แน่น น้ำตาเม็ดโตไหลลงเป็นสาย ท่าทางน่าสงสารนั้นทำให้หัวใจของฉินอีหลินอ่อนยวบ
“จิ่นเซวียน…….”
ฉินอีหลินลูบหลังให้เธอไปด้วย ลังเลไปด้วย
และในตอนนั้นเอง ปลายคิ้วคมของลี่โม่อวี่เลิกขึ้น จึงเดินไปบังหน้าปกป้องภรรยาและลูกสาวของเขา กลิ่นอายโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างทำให้พวกหนอนหนังสืออย่างAbnerต้องก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“คุณฉิน อย่าลืมสัญญาระหว่างเรา ถ้าคุณไม่ยินยอม อย่าหาว่าผมทำร้ายเด็ก”
Abnerรู้สึกตัวเมื่อก้าวถอยหลังไปแล้ว พลันรู้สึกเสียหน้าขึ้นมา แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงใช้กำลังกับสองคนตรงหน้า แน่นอนว่าเขาก็สู้ไม่ได้ แต่หากคนทั้งสองใจแข็งไม่ยอมให้ความร่วมมือ เขาก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาจัดการ
ฐานชีวเคมีขนาดใหญ่ ทำไมจะไม่มีกลปืนยาสลบเล็กๆน้อยๆ
หลังจากที่ฉินอีหลินมองหลงจิ่นเซวียนที่กำลังตัวสั่นเทา จึงเสียใจจริงๆ เธอเป็นแม่ของเด็ก ไม่สามารถมองเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองต้องทรมาน ทรมานยิ่งกว่าฆ่าเธอให้ตายด้วยซ้ำ
“คุณฉิน ส่งเด็กมาให้ผม”
Abnerโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว คนจีนพวกนี้ไม่รักษาสัญญากันเลยหรือไง
ลี่โม่อวี่เห็นคนตรงหน้ามีท่าทีโกรธเกรี้ยวยังคงไม่พูดอะไร แต่ความกดอากาศบริเวณรอบตัวเขากลับลดต่ำลง
“ส่งเด็กให้เขา เรือเล็กไม่ยอมอดทนก็จะเสียแผนการใหญ่ พวกเราหาทางเข้าฐานได้แล้ว คุณฉิน ได้โปรดเชื่อผม”
เสียงของลี่อานโก๋ดังขึ้นได้ถูกเวลา
เขารับรู้สถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ตรวจตราแล้ว ตอนนี้เขากลัวมากจริงๆว่าฉินอีหลินจะกอดเด็กไว้แน่นไม่ยอมปล่อยโดยไม่สนใจอะไร แบบนั้นยิ่งจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเข้าไปใหญ่ ไม่ส่งผลดีต่อเด็ก
“คุณฉิน เด็กจะต้องไม่เป็นอะไร ได้โปรดเชื่อใจความสามารถในการรบของเรา”
มือข้างหนึ่งของลี่อานโก๋จับมุมโต๊ะเอาไว้แน่น น้ำเสียงมั่นคง
“คุณอยากจะยกเลิกสัญญาจริงๆใช่ไหม”
Abnerหรี่ตาลง น้ำเสียงเยือกเย็น
ฉินอีหลินยังคงก้มหน้าไม่กล้าพูด ไม่พอใจแต่ก็พูดออกมาไม่ได้
ลี่อานโก๋พูดได้ง่าย ไม่ใช่ลูกของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ห่วง
แต่หลงจิ่นเซวียนเป็นชีวิตของเธอ ฉินอีหลินเห็นลูกร้องไห้เป็นสาวเจ้าน้ำตาแล้ว ปากเม้มเข้ากันแน่นไม่กล้าส่งเสียงออกมา หัวใจนั้นเจ็บปวด
ไม่มีแม่คนไหนจะใจดำกับลูกได้ แต่เวลานี้ เธอจะต้องเห็นแก่ส่วนรวม
ฉินอีหลินกัดฟัน จากนั้นปลอบลูกในอ้อมแขน “ที่รัก ไม่ต้องกลัว แค่เจาะเลือดนิดหน่อย ตรวจสอบเล็กน้อย ไม่เจ็บสักนิด พอตรวจเสร็จแล้ว คุณลุงคนนี้ก็จะพาหนูมาส่ง เด็กดี ไม่ร้องนะคะ”
หลงจิ่นเซวียนได้ยินแบบนั้นยิ่งร้องหนักขึ้น ดวงตาน่าสงสารคู่นั้นมองแม่ของเธอ
พอลี่โม่อวี่ได้ยินจึงหันกลับมามองฉินอีหลิน คล้ายกับไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเธอ