ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 454 บุปผาสะคราญค่อยแย้มตระการตาผู้คน

ตอนที่ 454 บุปผาสะคราญค่อยแย้มตระการตาผู้คน

แม้เหออีอีจะกล่าวไปว่านางไม่สนใจกับการเป็นอันดับสาม แต่นางก็อดจะสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ในแผ่นดินตะวันตก นางเป็นรู้จักกันดีในฐานะอาจารย์พยุหะ อันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ แต่ทว่านางมิได้ยืนกรานว่าตนคืออันดับหนึ่งในทั่วโลกหล้า

ถึงอย่างไร เป็นอันดับหนึ่งมาหลายปี นางก็ยังคงมีด้านที่ไม่อยากจะยอมแพ้ใคร

ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่นั้นมีประสบการณ์และรอบรู้มากกว่า ดังนั้นนางจึงต้องการที่จะเรียนรู้ว่าใครคืออันดับหนึ่งและใครคืออันดับสองในสายตาของเขา

“พี่สาวอีอีอาจจะยังไม่ทราบแต่ว่าข้ามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศ” สีหน้าของฉินมู่สัตย์ซื่อจริงใจเมื่อกล่าวเช่นนั้น “อันดับหนึ่งของโลกหล้าในวิชาพยุหะมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากท่านปู่บอดของข้า”

เหออีอีจ้องเขาด้วยดวงตาดำขลับ เขามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศหรอกหรือ

และอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะเป็นชายตาบอด?

“ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิฉินมีความเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับวิชาพยุหะหรือไม่” เหออีอีถามอย่างนิ่งสงบ “วิชาพยุหะดำเนินไปตามมรรคาพีชคณิต และที่เรียบง่ายที่สุดคือราชวังหกโถง ข่าน คุน เจิ้น จง ซุ่น เฉียน ตุ้ย เกิน และหลี่ อันแทนตัวเลขเก้าตัวที่ไม่ซ้ำกันและผลรวมทั้งหมดของมันคือสี่สิบห้า”

“ที่ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็จะเป็นผังแปดทิศ เปลี่ยนจากเลขฐานแปด เป็นฐานหกสิบสี่ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ที่เหนือไปกว่านั้นก็จะเป็นห้าธาตุ และห้าธาตุแปดทิศก็จะมีระบบฐานสี่ ฐานแปด และฐานหกสิบสี่”

“ผังไท่จี่และผังอู๋จี่ยิ่งยากไปกว่านั้น มีสภาวการณ์อันไร้ขีดจำกัด แต่ไม่ว่าการคำนวณจะเพริศแพร้วพิสดารแค่ไหน ก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ดี ดังนั้นคนตาบอดจะมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่งได้อย่างไร”

“พี่สาว มองเข้ามาในตาข้าสิ” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

เหออีอีไม่เข้าใจความนัยของเขา แต่ก็เพ่งพิศดูแก้วตาของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อนางทำเช่นนั้นจิตของนางก็สะท้านหวั่นไหวอย่างแรง

นางเห็นรอยประทับพยุหะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า แปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ภายในนั้นทำให้นางลุ่มหลง

แต่ไม่ทันที่นางจะตรึกตรองเข้าใจมันได้ สวรรค์ชั้นที่สองก็ก่อตัวขึ้นมา และการเปลี่ยนคณิตศาสตร์ของมันก็ยิ่งลึกล้ำซับซ้อน

ถัดไป ก็เป็นสวรรค์ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ จนกระทั่งมาถึงสวรรค์ชั้นที่ห้า วิชาพยุหะในดวงตาของฉินมู่จึงหยุดชะงัก

เพียงแค่สวรรค์ชั้นแรกของวงแหวนชั้นที่หนึ่งนั้นก็อัดแน่นไว้ด้วยความสำเร็จเชิงพีชคณิตที่เลิศล้ำสมบูรณ์แบบ!

พลังวัตรฉินมู่ในตอนนี้เพียงพอที่เขาจะขับเคลื่อนสรวงสวรรค์ชั้นที่ห้าในวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า แต่การเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขายังไม่จบแค่นั้น ดวงอาทิตย์และดวงดาวก็ก่อเกิดขึ้นมาในเนตร หมู่ดาวก่อตัวเป็นทางช้างเผือก เคลื่อนคล้อยโคจรไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง

ในทางโถงใหญ่ ผู้นำตระกูลกว่าร้อยคนหันมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง

เหออีอีแทบจะนาบหน้าเข้าแนบกับฉินมู่ ทั้งสองคนยืนจ้องตากันราวกับว่าเป็นคู่รักที่มิอาจละสายตาอันรักใคร่ลุ่มหลงจากกันไปได้

“แค่กแค่ก”

หญิงเฒ่าผมขาวผู้หนึ่งจึงกระแอมไอขึ้นมาในที่สุด เพื่อบอกเตือนเจ้าเมืองให้ตระหนักถึงสถานการณ์

เหออีอีตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในตอนนั้น และใบหน้าของนางก็แดงสดใส นางรีบก้าวถอยออกไปและกล่าวอย่างมั่นคง “ท่านปู่บอดผู้นี้ นับได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้าด้านวิชาพยุหะจริงๆ ข้านั้นละอายกับความความอ่อนหัดของตนเอง”

ฉินมู่เองก็หน้าแดงเรื่อ การเข้ามาชิดใกล้ของเหออีอี ทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว

“ในอดีตนั้นเมื่อข้าได้เรียนวิชาปลุกเนตรจากท่านปู่บอด ข้ามิได้มุ่งแสวงความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะ เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกมายา ห้วงมิติ พยุหะ และการเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือ จนกระทั่งหลังจากที่ข้าได้เรียนพีชคณิตของสำนักเต๋า ข้าถึงเพิ่งเข้าใจการเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ข้างในนั้น”

“สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่อทำความเข้าใจสรรพสิ่งในโลกหล้า และเข้าใจว่าจักรวาลดำเนินไปอย่างไร ดังนั้นเหตุผลที่เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพราะว่าพีชคณิตคือสัจจะสากลของจักรวรรดิ ดังนั้นข้าจึงมาเข้าใจได้ว่า ท่านปู่บอดนั้นเป็นอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ”

เหออีอีข่มระงับความคิดอื่นๆ และกล่าวอย่างมั่นเหมาะ “หากว่าเขาหมายจะทลายฝ่าพยุหะในเมืองต้นไผ่ของข้า ก็คงทำได้อย่างง่ายดาย เขาสมกับชื่อเสียงเกียรติคุณของอันดับหนึ่ง อย่างนั้น ใครล่ะคือยอดฝีมืออันดับสองในโลกหล้า”

ฉินมู่ยิ้มให้นางอย่างเขินๆ

เหออีอีจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาอันดำขลับและเบิกกว้าง จากนั้นก็ร้องออกมา “เจ้าหรือ ยอดฝีมือพยุหะอันดับสอง?”

ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “ตอนแรกข้าก็ไม่กล้าเรียกตนเองว่าอันดับสอง แต่หลังจากเห็นวิชาพยุหะของพี่สาวอีอีแล้ว ข้าก็คิดว่าข้าพอจะเป็นอันดับสองได้”

หัวใจของเหออีอีเดือดดาลไปหมด แต่นางก็กัดฟันข่มเอาไว้ นางกล่าว “ข้าไม่กล้าต่อสู้แย่งชิงอันดับหนึ่ง แต่ข้าไม่ยินยอมรับตำแหน่งอันดับสาม จ้าวลัทธิฉินประกาศว่าเขาคืออันดับสามในวิชาพิษและเอาชนะมู่ยิ่งเสว่ ทำให้หญิงผู้นั้นถึงกับออกปากยอมรับด้วยตนเองว่าเป็นเพียงอันดับสี่ในโลกหล้า”

“มาบัดนี้ท่านก็อ้างว่าวิชาพยุหะของท่านก็เป็นอันดับสองเช่นกัน นี่ไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ พวกเรามาประลองกันดีกว่า”

“ประลองกันอย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างสนอกสนใจ

เหออีอีพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มให้แก่เขา “ก็ยังคงเกี่ยวกับเมืองต้นไผ่แห่งนี้ ท่านจะอยู่ข้างนอก ส่วนข้าจะอยู่ข้างใน ยืนอยู่ที่นี่โดยไม่ขยับเขยื้อน หากว่าท่านสามารถเข้ามาในเมืองและหาตัวข้าพบ ข้าก็จะยอมรับว่าฝีมือด้อยกว่าและยินยอมอยู่ในอันดับสาม”

“ไม่เพียงเท่านั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเหอและผู้คนของพวกเราก็จะรับท่านเป็นผู้นำทางเพียงผู้เดียว หากว่าท่านหมายที่จะสนับสนุนไหน่ขุยให้ชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางกลับมา ตระกูลเหอของข้าก็จะสนับสนุนท่านอย่างสุดตัว!”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ จากนั้นหันกายเดินออกไปจากเมือง

ในโถงวัง ยอดฝีมือร้อยคนแห่งเมืองต้นไผ่หันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ หญิงชราผู้หนึ่งอ้าปากจะกล่าววาจา และเหออีอีโบกมือห้ามนางไว้ “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอื่นแล้ว ข้าจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อสังเกตการณ์ความสำเร็จเชิงพยุหะของสันตินิรันดร์”

“หากว่าพยุหะของข้าพังทลาย เมืองต้นไผ่ก็จะล่มสลายอยู่ดีเมื่อสันตินิรันดร์บุกเข้ามาในภายหลัง ดังนั้นทำไมเราไม่ยอมสวามิภักดิ์ไปล่วงหน้าล่ะ หากว่าจ้าวลัทธิฉินไม่สามารถทลายฝ่าวิชาพยุหะของข้าได้ พวกเราก็จะยังสามารถต่อสู้เมื่อวันทำศึกมาถึง ถอยไปเถอะ จ้าวลัทธิฉินและข้าจะประลองกันเพื่อตัดสินชะตาของเมืองต้นไผ่ และอาจจะเป็นชะตาของแผ่นดินตะวันตกด้วย!”

ทุกคนจึงได้แต่ถอยออกไปจากเมืองต้นไผ่

ประตูเมืองเปิดอ้ากว้าง

ฉินมู่ให้กิเลนมังกรนำเสียงฉีเอ๋อออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในเมือง และมันก็พลันแปรเปลี่ยน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจมหายลงไปในดิน ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด ก้อนหินจำนวนมากลอยขึ้นไปบนอากาศ วิวัฒน์เป็นกระบวนพยุหะ

รูปลักษณ์ของเมืองต้นไผ่แปรเปลี่ยนไปราวกับพลิกหลังมือ และในสายตาของผู้อื่น การเห็นก้อนหินลอยขึ้นไปสลับตำแหน่งบนอากาศนั้นเป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาด คนส่วนมากแล้วจะพบว่าไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะได้จากการชมดูก้อนหินที่เคลื่อนไหวไปมา แต่ฉินมู่เข้าใจมัน ในสายตาของเขา พวกมันทั้งน่าตื่นตาและหลากหลาย

ทุกการเคลื่อนไหวของหินลูกบาศก์ทำให้เขารู้สึกประทับใจตระการตา แต่ละอักษรรูนเชื่อมต่อกัน และโครงสร้างใหญ่ก็ร้อยรัดประสาน เผยให้เห็นภาพอันน่ารื่นรมย์ตรงหน้า

ไม่ว่าจะเป็นม่านคุ้มกันหรือพยุหะสังหาร พวกมันก็ล้วนแต่เป็นตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์

วงจรพยุหะปรากฏขึ้นในแก้วตาของฉินมู่ และเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว บางครั้งเขาก็จะหยุดเพื่อยกพู่กันขึ้นมาเปลี่ยนวงจรพยุหะ และในบางครั้งเขาก็จะก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ก็เซถอยหลังไปสามก้าวเหมือนกับคนเมา และก็ยังมีตอนที่เหมือนกับเท้าของเขาติดสปริง ทำให้เขาสามารถกระโดดไปมาท่ามกลางก้อนหินที่เคลื่อนไหว

เขาดูเหมือนกับกำลังเหินบินอย่างสง่างามผ่านม่านคุ้มกันจำนวนหนึ่ง และบางครั้งเขาก็ดูเหมือนบุกตะลุยเข้าไปด้วยกำลังเถื่อนที่ม่านคุ้มกันอีกพวก มันดูเหมือนว่าเขาเสี่ยงชีวิตพุ่งเอาหัวโขกม่านคุ้มกัน แต่เสี้ยววินาทีที่หัวเขาจะชน กำแพงหินก็จะเปิดแยกออก ปล่อยให้เขาผ่านไป

ขณะที่เขาเดินดุ่มมาอย่างไม่รีบร้อนพลางไขโจทย์ปัญหาพีชคณิตยากๆ เขาก็เข้ามาใกล้ใจกลางเมืองต้นไผ่เข้าไปทุกที

ทุกอย่างในนั้นเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้กระทั่งโถงวังใหญ่ก็แยกออกจากกันและหายสาบสูญ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตำแหน่งแห่งที่ของเหออีอี

นางยืนอย่างเงียบเชียบที่เสาหินไม่ขยับเขยื้อน นางกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองต้นไผ่ และปรับเปลี่ยนพยุหะทุกชนิดเพื่อยับยั้งฉินมู่

ทว่า สถานการณ์รอบนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ในตอนนั้นฉินมู่ถูกซุ่มโจมตีและถูกกักเอาไว้ในเมือง จึงไม่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ยุติธรรม

บัดนี้เขาได้บุกฝ่าพยุหะด้วยจังหวะของเขาเอง มันทดสอบความสำเร็จเชิงวิชาพยุหะว่าใครเหนือกว่าใคร

ผ่านไปสักพัก เหออีอีก็เห็นเงาร่างของฉินมู่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ และอดไม่ได้ที่จะว้าวุ่น นางขับเคลื่อนหินก้อนใหญ่อย่างร้อนใจเพื่อจัดวางพยุหะใหม่ๆ แต่ฉินมู่ก็ยังคงรุกคืบเข้ามาด้วยความเร็วอันมั่นคง

ที่ที่เหออีอียืนอยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองต้นไผ่ และยังเป็นดวงตาของพยุหะในเมืองต้นไผ่ ฉินมู่อยู่ห่างออกไปเพียงกว่าสิบห้าวา และกระบวนพยุหะชั้นสุดท้ายก็อาจจะขัดขวางเขาไม่ได้

เหออีอีพลันกัดฟันกรอด และเมืองต้นไผ่พลันสั่นสะท้าน วิชาพยุหะตรงหน้านางพลันกระตุ้นเร้าการทำงาน และมันกลายเป็นสภาวการณ์พิฆาต พยุหะสังหารต่างๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และพลังของมันก็เพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่งไปหลายเท่าตัวเมื่อมันพุ่งตรงไปยังตำแหน่งยืนของเหออีอี

นางกระตุ้นการทำงานของพยุหะไม้ตายสุดท้าย อันไม่สนมิตรและศัตรู ไม่ว่าจะเป็นฉินมู่หรือนาง ทั้งคู่ก็จะถูกกลืนกินโดยพยุหะสังหาร!

ในฐานะอาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก เหออีอีได้สืบทอดเกียรติภูมิของตระกูลเหอ และไม่อาจปล่อยให้ชื่อเสียงของตระกูลนางด่างพร้อยได้ ด้วยสูญเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งวิชาพยุหะ ไม่ว่านางจะต้องตาย นางก็จะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลเหอ!

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาเข้ามายังข้างกายเหออีอีก่อนที่พยุหะสังหารจะมาถึงพวกเขา คว้าข้อมือของนางด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งยกพู่กันขึ้นตวัดวาดบนอากาศ

เหออีอีหลับตาลง เมื่อพยุหะสังเข้ามาถึงและกลืนกินพวกเขา!

แต่แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น นางลืมตาขึ้นมาและพบว่ามิได้อยู่ในเมืองต้นไผ่อีกต่อไป ในทางตรงข้าม พวกเขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงมิติของเมือง แต่ทว่า เมื่อพยุหะสังหารเด็ดขาดระเบิดออกมา มันก็ฉีกทึ้งเข้าไปในโลกในภาพวาด และพุ่งเข้าใส่พวกเขา

โลกในภาพวาดที่พวกเขาอยู่ในตอนนั้น กำลังจะพังทลายและถล่มหายไป

ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พู่กันของฉินมู่เคลื่อนไหวราวมังกรและอสรพิษ เปี่ยมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น ทันใดนั้น เหออีอีก็รู้สึกถึงแรงฉุดที่ข้อมือ และนางก็ถูกดึงเข้าไปในภาพวาดอีกภาพ

พวกเขาพุ่งเข้าไป และเหออีอีก็เห็นภูเขาและแม่น้ำอันงดงาม และมีมวลดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างน่างหลงใหล ทิวทัศน์ที่นี่ทำให้ผู้ชมดูเบิกบานสราญตา

กระนั้นในจังหวะถัดมา พยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ก็ถล่มเข้ามาในโลกแห่งนี้ พลานุภาพอันทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างพวยพุ่งเข้ามาหาพวกเขา

“ท่านมิได้ใช้วิชาพยุหะเพื่อไขวิชาพยุหะของข้า” เหออีอีมองไปที่เด็กหนุ่มข้างกายนางอย่างขึงขังและจริงจัง “ต่อให้ท่านหลบหนีไปจากพยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ได้ ข้าก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้”

“เจ้าเป็นอันดับสองในวิชาพยุหะ และข้าก็จะไม่สู้กับเจ้าแล้ว ตกลงไหม”

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และสาดหมึกออกไปราวกับบัณฑิตที่งมงายในตนเอง วาดเขียนอักษรทั่วไปหมด ก่อนที่พยุหะสังหารอันร้ายกาจที่สุดในเมืองต้นไผ่จะสามารถทำลายล้างโลกในภาพวาด เขาก็พาเหออีอีเข้าไปยังโลกถัดไป

ท้องฟ้าที่นั่นระยิบพริบพราวไปด้วยทะเลดาว พวกมันเหมือนกับอัญมณีอันเปล่งแสง ส่องสว่างแก่ความมืด

ฉินมู่พาเหอีอีไปยังหมู่ดาวพวกนั้นและเริ่มต้นวิ่งไปท่ามกลางนภาประดับดาว พู่กันของเขาไม่หยุดยั้งเลยสักชั่วขณะ และเขาก็วาดทางช้างเผือกไปด้วย ข้างหลังพวกเขาคือวิชาพยุหะพิฆาตที่รุกไล่ แต่เขาไม่สนใจมันและกระโดดลงไปในแม่น้ำดวงดาว จากนั้นลอยล่องไปยังที่ไกลๆ

ทางช้างเผือกไหลไปยังปลายน้ำ และฉินมู่ก็คว้าข้อมือเหออีอีอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้นางถูกกระแสดาวซัดปลิวไป

เมื่อนางสามารถหยั่งเท้าได้ นางก็ยังคงเหม่อลอยอยู่ นางเห็นฉินมู่สะบัดพู่กันไปรอบๆ และดึงนางให้แนบชิดเข้าไปขณะที่เขากระโจนขึ้นไปบนอาชาสวรรค์ที่เพิ่งวาดขึ้นมาใหม่

มันวิ่งตะบึงออกไปจากภาพวาด และกลายเป็นสสารจริง มันตะกุยกับๆ พลางกางปีกกระพือเพื่อเพิ่มความเร็ว และพวกเขาก็ออกมาจากพยุหะสังหารไปได้ค่อนข้างไกล

ฉินมู่ยกพู่กันขึ้นอีก และสาดหมึกเข้าไปมากมายตามใจคิด ประตูหนึ่งปรากฏตรงหน้าพวกเขา และเมื่อพวกเขาเปิดมันออก แสงเจิดจ้าก็ส่องออกมาจากสถานที่อีกด้าน อาชาสวรรค์พุ่งทะยานผ่านประตูนั้น เหออีอีตกตะลึงเมื่อนางตระหนักว่าพวกเขาอยู่บนยอดเขานอกเมืองต้นไผ่

ฉินมู่คว้าข้อมือนาง พานางกระโดดลงจากอาชาสวรรค์ มันทะยานขาหน้าขึ้นสูงและร้องหนึ่งครา ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นหมึกที่ร่วงลงกับพื้น

จากที่ไกลๆ ผู้นำตระกูลมากมายแห่งตระกูลใหญ่ในเมืองต้นไผ่รีบวิ่งมาทางพวกเขา

ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เหออีอีก็แย้มยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าพ่ายแพ้ วิชาพยุหะของจ้าวลัทธิฉินเป็นอันดับสองในโลกหล้า ตระกูลเหอของข้าและทุกๆ คนในเมืองต้นไผ่จงติดตามเขาด้วยใจทั้งหมดของพวกเรา!”

ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความงงงวย

ในสายตาของเหออีอี ร่องรอยอารมณ์อันนุ่มนวลก็ค่อยก่อตัวขึ้นมา และดวงตาของนางก็ประดุจน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วง

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท