แม้เหออีอีจะกล่าวไปว่านางไม่สนใจกับการเป็นอันดับสาม แต่นางก็อดจะสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ในแผ่นดินตะวันตก นางเป็นรู้จักกันดีในฐานะอาจารย์พยุหะ อันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ แต่ทว่านางมิได้ยืนกรานว่าตนคืออันดับหนึ่งในทั่วโลกหล้า
ถึงอย่างไร เป็นอันดับหนึ่งมาหลายปี นางก็ยังคงมีด้านที่ไม่อยากจะยอมแพ้ใคร
ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่นั้นมีประสบการณ์และรอบรู้มากกว่า ดังนั้นนางจึงต้องการที่จะเรียนรู้ว่าใครคืออันดับหนึ่งและใครคืออันดับสองในสายตาของเขา
“พี่สาวอีอีอาจจะยังไม่ทราบแต่ว่าข้ามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศ” สีหน้าของฉินมู่สัตย์ซื่อจริงใจเมื่อกล่าวเช่นนั้น “อันดับหนึ่งของโลกหล้าในวิชาพยุหะมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากท่านปู่บอดของข้า”
เหออีอีจ้องเขาด้วยดวงตาดำขลับ เขามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศหรอกหรือ
และอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะเป็นชายตาบอด?
“ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิฉินมีความเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับวิชาพยุหะหรือไม่” เหออีอีถามอย่างนิ่งสงบ “วิชาพยุหะดำเนินไปตามมรรคาพีชคณิต และที่เรียบง่ายที่สุดคือราชวังหกโถง ข่าน คุน เจิ้น จง ซุ่น เฉียน ตุ้ย เกิน และหลี่ อันแทนตัวเลขเก้าตัวที่ไม่ซ้ำกันและผลรวมทั้งหมดของมันคือสี่สิบห้า”
“ที่ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็จะเป็นผังแปดทิศ เปลี่ยนจากเลขฐานแปด เป็นฐานหกสิบสี่ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ที่เหนือไปกว่านั้นก็จะเป็นห้าธาตุ และห้าธาตุแปดทิศก็จะมีระบบฐานสี่ ฐานแปด และฐานหกสิบสี่”
“ผังไท่จี่และผังอู๋จี่ยิ่งยากไปกว่านั้น มีสภาวการณ์อันไร้ขีดจำกัด แต่ไม่ว่าการคำนวณจะเพริศแพร้วพิสดารแค่ไหน ก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ดี ดังนั้นคนตาบอดจะมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่งได้อย่างไร”
“พี่สาว มองเข้ามาในตาข้าสิ” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เหออีอีไม่เข้าใจความนัยของเขา แต่ก็เพ่งพิศดูแก้วตาของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อนางทำเช่นนั้นจิตของนางก็สะท้านหวั่นไหวอย่างแรง
นางเห็นรอยประทับพยุหะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า แปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ภายในนั้นทำให้นางลุ่มหลง
แต่ไม่ทันที่นางจะตรึกตรองเข้าใจมันได้ สวรรค์ชั้นที่สองก็ก่อตัวขึ้นมา และการเปลี่ยนคณิตศาสตร์ของมันก็ยิ่งลึกล้ำซับซ้อน
ถัดไป ก็เป็นสวรรค์ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ จนกระทั่งมาถึงสวรรค์ชั้นที่ห้า วิชาพยุหะในดวงตาของฉินมู่จึงหยุดชะงัก
เพียงแค่สวรรค์ชั้นแรกของวงแหวนชั้นที่หนึ่งนั้นก็อัดแน่นไว้ด้วยความสำเร็จเชิงพีชคณิตที่เลิศล้ำสมบูรณ์แบบ!
พลังวัตรฉินมู่ในตอนนี้เพียงพอที่เขาจะขับเคลื่อนสรวงสวรรค์ชั้นที่ห้าในวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า แต่การเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขายังไม่จบแค่นั้น ดวงอาทิตย์และดวงดาวก็ก่อเกิดขึ้นมาในเนตร หมู่ดาวก่อตัวเป็นทางช้างเผือก เคลื่อนคล้อยโคจรไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง
ในทางโถงใหญ่ ผู้นำตระกูลกว่าร้อยคนหันมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง
เหออีอีแทบจะนาบหน้าเข้าแนบกับฉินมู่ ทั้งสองคนยืนจ้องตากันราวกับว่าเป็นคู่รักที่มิอาจละสายตาอันรักใคร่ลุ่มหลงจากกันไปได้
“แค่กแค่ก”
หญิงเฒ่าผมขาวผู้หนึ่งจึงกระแอมไอขึ้นมาในที่สุด เพื่อบอกเตือนเจ้าเมืองให้ตระหนักถึงสถานการณ์
เหออีอีตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในตอนนั้น และใบหน้าของนางก็แดงสดใส นางรีบก้าวถอยออกไปและกล่าวอย่างมั่นคง “ท่านปู่บอดผู้นี้ นับได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้าด้านวิชาพยุหะจริงๆ ข้านั้นละอายกับความความอ่อนหัดของตนเอง”
ฉินมู่เองก็หน้าแดงเรื่อ การเข้ามาชิดใกล้ของเหออีอี ทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว
“ในอดีตนั้นเมื่อข้าได้เรียนวิชาปลุกเนตรจากท่านปู่บอด ข้ามิได้มุ่งแสวงความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะ เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกมายา ห้วงมิติ พยุหะ และการเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือ จนกระทั่งหลังจากที่ข้าได้เรียนพีชคณิตของสำนักเต๋า ข้าถึงเพิ่งเข้าใจการเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ข้างในนั้น”
“สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่อทำความเข้าใจสรรพสิ่งในโลกหล้า และเข้าใจว่าจักรวาลดำเนินไปอย่างไร ดังนั้นเหตุผลที่เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพราะว่าพีชคณิตคือสัจจะสากลของจักรวรรดิ ดังนั้นข้าจึงมาเข้าใจได้ว่า ท่านปู่บอดนั้นเป็นอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ”
เหออีอีข่มระงับความคิดอื่นๆ และกล่าวอย่างมั่นเหมาะ “หากว่าเขาหมายจะทลายฝ่าพยุหะในเมืองต้นไผ่ของข้า ก็คงทำได้อย่างง่ายดาย เขาสมกับชื่อเสียงเกียรติคุณของอันดับหนึ่ง อย่างนั้น ใครล่ะคือยอดฝีมืออันดับสองในโลกหล้า”
ฉินมู่ยิ้มให้นางอย่างเขินๆ
เหออีอีจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาอันดำขลับและเบิกกว้าง จากนั้นก็ร้องออกมา “เจ้าหรือ ยอดฝีมือพยุหะอันดับสอง?”
ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “ตอนแรกข้าก็ไม่กล้าเรียกตนเองว่าอันดับสอง แต่หลังจากเห็นวิชาพยุหะของพี่สาวอีอีแล้ว ข้าก็คิดว่าข้าพอจะเป็นอันดับสองได้”
หัวใจของเหออีอีเดือดดาลไปหมด แต่นางก็กัดฟันข่มเอาไว้ นางกล่าว “ข้าไม่กล้าต่อสู้แย่งชิงอันดับหนึ่ง แต่ข้าไม่ยินยอมรับตำแหน่งอันดับสาม จ้าวลัทธิฉินประกาศว่าเขาคืออันดับสามในวิชาพิษและเอาชนะมู่ยิ่งเสว่ ทำให้หญิงผู้นั้นถึงกับออกปากยอมรับด้วยตนเองว่าเป็นเพียงอันดับสี่ในโลกหล้า”
“มาบัดนี้ท่านก็อ้างว่าวิชาพยุหะของท่านก็เป็นอันดับสองเช่นกัน นี่ไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ พวกเรามาประลองกันดีกว่า”
“ประลองกันอย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างสนอกสนใจ
เหออีอีพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มให้แก่เขา “ก็ยังคงเกี่ยวกับเมืองต้นไผ่แห่งนี้ ท่านจะอยู่ข้างนอก ส่วนข้าจะอยู่ข้างใน ยืนอยู่ที่นี่โดยไม่ขยับเขยื้อน หากว่าท่านสามารถเข้ามาในเมืองและหาตัวข้าพบ ข้าก็จะยอมรับว่าฝีมือด้อยกว่าและยินยอมอยู่ในอันดับสาม”
“ไม่เพียงเท่านั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเหอและผู้คนของพวกเราก็จะรับท่านเป็นผู้นำทางเพียงผู้เดียว หากว่าท่านหมายที่จะสนับสนุนไหน่ขุยให้ชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางกลับมา ตระกูลเหอของข้าก็จะสนับสนุนท่านอย่างสุดตัว!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ จากนั้นหันกายเดินออกไปจากเมือง
ในโถงวัง ยอดฝีมือร้อยคนแห่งเมืองต้นไผ่หันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ หญิงชราผู้หนึ่งอ้าปากจะกล่าววาจา และเหออีอีโบกมือห้ามนางไว้ “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอื่นแล้ว ข้าจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อสังเกตการณ์ความสำเร็จเชิงพยุหะของสันตินิรันดร์”
“หากว่าพยุหะของข้าพังทลาย เมืองต้นไผ่ก็จะล่มสลายอยู่ดีเมื่อสันตินิรันดร์บุกเข้ามาในภายหลัง ดังนั้นทำไมเราไม่ยอมสวามิภักดิ์ไปล่วงหน้าล่ะ หากว่าจ้าวลัทธิฉินไม่สามารถทลายฝ่าวิชาพยุหะของข้าได้ พวกเราก็จะยังสามารถต่อสู้เมื่อวันทำศึกมาถึง ถอยไปเถอะ จ้าวลัทธิฉินและข้าจะประลองกันเพื่อตัดสินชะตาของเมืองต้นไผ่ และอาจจะเป็นชะตาของแผ่นดินตะวันตกด้วย!”
ทุกคนจึงได้แต่ถอยออกไปจากเมืองต้นไผ่
ประตูเมืองเปิดอ้ากว้าง
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรนำเสียงฉีเอ๋อออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในเมือง และมันก็พลันแปรเปลี่ยน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจมหายลงไปในดิน ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด ก้อนหินจำนวนมากลอยขึ้นไปบนอากาศ วิวัฒน์เป็นกระบวนพยุหะ
รูปลักษณ์ของเมืองต้นไผ่แปรเปลี่ยนไปราวกับพลิกหลังมือ และในสายตาของผู้อื่น การเห็นก้อนหินลอยขึ้นไปสลับตำแหน่งบนอากาศนั้นเป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาด คนส่วนมากแล้วจะพบว่าไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะได้จากการชมดูก้อนหินที่เคลื่อนไหวไปมา แต่ฉินมู่เข้าใจมัน ในสายตาของเขา พวกมันทั้งน่าตื่นตาและหลากหลาย
ทุกการเคลื่อนไหวของหินลูกบาศก์ทำให้เขารู้สึกประทับใจตระการตา แต่ละอักษรรูนเชื่อมต่อกัน และโครงสร้างใหญ่ก็ร้อยรัดประสาน เผยให้เห็นภาพอันน่ารื่นรมย์ตรงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นม่านคุ้มกันหรือพยุหะสังหาร พวกมันก็ล้วนแต่เป็นตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์
วงจรพยุหะปรากฏขึ้นในแก้วตาของฉินมู่ และเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว บางครั้งเขาก็จะหยุดเพื่อยกพู่กันขึ้นมาเปลี่ยนวงจรพยุหะ และในบางครั้งเขาก็จะก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ก็เซถอยหลังไปสามก้าวเหมือนกับคนเมา และก็ยังมีตอนที่เหมือนกับเท้าของเขาติดสปริง ทำให้เขาสามารถกระโดดไปมาท่ามกลางก้อนหินที่เคลื่อนไหว
เขาดูเหมือนกับกำลังเหินบินอย่างสง่างามผ่านม่านคุ้มกันจำนวนหนึ่ง และบางครั้งเขาก็ดูเหมือนบุกตะลุยเข้าไปด้วยกำลังเถื่อนที่ม่านคุ้มกันอีกพวก มันดูเหมือนว่าเขาเสี่ยงชีวิตพุ่งเอาหัวโขกม่านคุ้มกัน แต่เสี้ยววินาทีที่หัวเขาจะชน กำแพงหินก็จะเปิดแยกออก ปล่อยให้เขาผ่านไป
ขณะที่เขาเดินดุ่มมาอย่างไม่รีบร้อนพลางไขโจทย์ปัญหาพีชคณิตยากๆ เขาก็เข้ามาใกล้ใจกลางเมืองต้นไผ่เข้าไปทุกที
ทุกอย่างในนั้นเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้กระทั่งโถงวังใหญ่ก็แยกออกจากกันและหายสาบสูญ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตำแหน่งแห่งที่ของเหออีอี
นางยืนอย่างเงียบเชียบที่เสาหินไม่ขยับเขยื้อน นางกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองต้นไผ่ และปรับเปลี่ยนพยุหะทุกชนิดเพื่อยับยั้งฉินมู่
ทว่า สถานการณ์รอบนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ในตอนนั้นฉินมู่ถูกซุ่มโจมตีและถูกกักเอาไว้ในเมือง จึงไม่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ยุติธรรม
บัดนี้เขาได้บุกฝ่าพยุหะด้วยจังหวะของเขาเอง มันทดสอบความสำเร็จเชิงวิชาพยุหะว่าใครเหนือกว่าใคร
ผ่านไปสักพัก เหออีอีก็เห็นเงาร่างของฉินมู่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ และอดไม่ได้ที่จะว้าวุ่น นางขับเคลื่อนหินก้อนใหญ่อย่างร้อนใจเพื่อจัดวางพยุหะใหม่ๆ แต่ฉินมู่ก็ยังคงรุกคืบเข้ามาด้วยความเร็วอันมั่นคง
ที่ที่เหออีอียืนอยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองต้นไผ่ และยังเป็นดวงตาของพยุหะในเมืองต้นไผ่ ฉินมู่อยู่ห่างออกไปเพียงกว่าสิบห้าวา และกระบวนพยุหะชั้นสุดท้ายก็อาจจะขัดขวางเขาไม่ได้
เหออีอีพลันกัดฟันกรอด และเมืองต้นไผ่พลันสั่นสะท้าน วิชาพยุหะตรงหน้านางพลันกระตุ้นเร้าการทำงาน และมันกลายเป็นสภาวการณ์พิฆาต พยุหะสังหารต่างๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และพลังของมันก็เพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่งไปหลายเท่าตัวเมื่อมันพุ่งตรงไปยังตำแหน่งยืนของเหออีอี
นางกระตุ้นการทำงานของพยุหะไม้ตายสุดท้าย อันไม่สนมิตรและศัตรู ไม่ว่าจะเป็นฉินมู่หรือนาง ทั้งคู่ก็จะถูกกลืนกินโดยพยุหะสังหาร!
ในฐานะอาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก เหออีอีได้สืบทอดเกียรติภูมิของตระกูลเหอ และไม่อาจปล่อยให้ชื่อเสียงของตระกูลนางด่างพร้อยได้ ด้วยสูญเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งวิชาพยุหะ ไม่ว่านางจะต้องตาย นางก็จะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลเหอ!
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาเข้ามายังข้างกายเหออีอีก่อนที่พยุหะสังหารจะมาถึงพวกเขา คว้าข้อมือของนางด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งยกพู่กันขึ้นตวัดวาดบนอากาศ
เหออีอีหลับตาลง เมื่อพยุหะสังเข้ามาถึงและกลืนกินพวกเขา!
แต่แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น นางลืมตาขึ้นมาและพบว่ามิได้อยู่ในเมืองต้นไผ่อีกต่อไป ในทางตรงข้าม พวกเขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงมิติของเมือง แต่ทว่า เมื่อพยุหะสังหารเด็ดขาดระเบิดออกมา มันก็ฉีกทึ้งเข้าไปในโลกในภาพวาด และพุ่งเข้าใส่พวกเขา
โลกในภาพวาดที่พวกเขาอยู่ในตอนนั้น กำลังจะพังทลายและถล่มหายไป
ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พู่กันของฉินมู่เคลื่อนไหวราวมังกรและอสรพิษ เปี่ยมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น ทันใดนั้น เหออีอีก็รู้สึกถึงแรงฉุดที่ข้อมือ และนางก็ถูกดึงเข้าไปในภาพวาดอีกภาพ
พวกเขาพุ่งเข้าไป และเหออีอีก็เห็นภูเขาและแม่น้ำอันงดงาม และมีมวลดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างน่างหลงใหล ทิวทัศน์ที่นี่ทำให้ผู้ชมดูเบิกบานสราญตา
กระนั้นในจังหวะถัดมา พยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ก็ถล่มเข้ามาในโลกแห่งนี้ พลานุภาพอันทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างพวยพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
“ท่านมิได้ใช้วิชาพยุหะเพื่อไขวิชาพยุหะของข้า” เหออีอีมองไปที่เด็กหนุ่มข้างกายนางอย่างขึงขังและจริงจัง “ต่อให้ท่านหลบหนีไปจากพยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ได้ ข้าก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้”
“เจ้าเป็นอันดับสองในวิชาพยุหะ และข้าก็จะไม่สู้กับเจ้าแล้ว ตกลงไหม”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และสาดหมึกออกไปราวกับบัณฑิตที่งมงายในตนเอง วาดเขียนอักษรทั่วไปหมด ก่อนที่พยุหะสังหารอันร้ายกาจที่สุดในเมืองต้นไผ่จะสามารถทำลายล้างโลกในภาพวาด เขาก็พาเหออีอีเข้าไปยังโลกถัดไป
ท้องฟ้าที่นั่นระยิบพริบพราวไปด้วยทะเลดาว พวกมันเหมือนกับอัญมณีอันเปล่งแสง ส่องสว่างแก่ความมืด
ฉินมู่พาเหอีอีไปยังหมู่ดาวพวกนั้นและเริ่มต้นวิ่งไปท่ามกลางนภาประดับดาว พู่กันของเขาไม่หยุดยั้งเลยสักชั่วขณะ และเขาก็วาดทางช้างเผือกไปด้วย ข้างหลังพวกเขาคือวิชาพยุหะพิฆาตที่รุกไล่ แต่เขาไม่สนใจมันและกระโดดลงไปในแม่น้ำดวงดาว จากนั้นลอยล่องไปยังที่ไกลๆ
ทางช้างเผือกไหลไปยังปลายน้ำ และฉินมู่ก็คว้าข้อมือเหออีอีอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้นางถูกกระแสดาวซัดปลิวไป
เมื่อนางสามารถหยั่งเท้าได้ นางก็ยังคงเหม่อลอยอยู่ นางเห็นฉินมู่สะบัดพู่กันไปรอบๆ และดึงนางให้แนบชิดเข้าไปขณะที่เขากระโจนขึ้นไปบนอาชาสวรรค์ที่เพิ่งวาดขึ้นมาใหม่
มันวิ่งตะบึงออกไปจากภาพวาด และกลายเป็นสสารจริง มันตะกุยกับๆ พลางกางปีกกระพือเพื่อเพิ่มความเร็ว และพวกเขาก็ออกมาจากพยุหะสังหารไปได้ค่อนข้างไกล
ฉินมู่ยกพู่กันขึ้นอีก และสาดหมึกเข้าไปมากมายตามใจคิด ประตูหนึ่งปรากฏตรงหน้าพวกเขา และเมื่อพวกเขาเปิดมันออก แสงเจิดจ้าก็ส่องออกมาจากสถานที่อีกด้าน อาชาสวรรค์พุ่งทะยานผ่านประตูนั้น เหออีอีตกตะลึงเมื่อนางตระหนักว่าพวกเขาอยู่บนยอดเขานอกเมืองต้นไผ่
ฉินมู่คว้าข้อมือนาง พานางกระโดดลงจากอาชาสวรรค์ มันทะยานขาหน้าขึ้นสูงและร้องหนึ่งครา ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นหมึกที่ร่วงลงกับพื้น
จากที่ไกลๆ ผู้นำตระกูลมากมายแห่งตระกูลใหญ่ในเมืองต้นไผ่รีบวิ่งมาทางพวกเขา
ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เหออีอีก็แย้มยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าพ่ายแพ้ วิชาพยุหะของจ้าวลัทธิฉินเป็นอันดับสองในโลกหล้า ตระกูลเหอของข้าและทุกๆ คนในเมืองต้นไผ่จงติดตามเขาด้วยใจทั้งหมดของพวกเรา!”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความงงงวย
ในสายตาของเหออีอี ร่องรอยอารมณ์อันนุ่มนวลก็ค่อยก่อตัวขึ้นมา และดวงตาของนางก็ประดุจน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วง