ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 459 การต่อสู้ที่เมืองขุนเขาสายฟ้า

ตอนที่ 459 การต่อสู้ที่เมืองขุนเขาสายฟ้า

ในตอนเช้าตรู่ เมืองขุนเขาสายฟ้าได้กรุ่นอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรแล้ว ฉินมู่สูดจมูกฟุดฟิดในอากาศและรู้ว่านั่นคือหมอกพิษที่ปลดปล่อยสารพิษออกมามากมาย เขารีบหลอมปรุงยาหลบพิษไม่กล้ำกรายจำนวนหนึ่งให้แก่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋ออมเอาไว้ในปาก

เมืองของอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่แตกต่างไปจากเมืองทั่วๆ ไป ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหญ้าพิษ ดอกไม้พิษ รวมทั้งแมลงพิษมากมาย พวกมันถูกเพาะปลูกในสวนโดยชาวเมืองขุนเขาสายฟ้า ส่วนแมลงพิษทั้งหลายก็คลานไปตามพื้น บางคนก็ถึงกับเลี้ยงนกพิษและสัตว์เถื่อนพิษที่ตระเวนไปทั่ว บ้านเรือนก็ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์พิษอันมีงูเขียวโผล่ขึ้นมาแลบลิ้นแฉกส่งเสียงฟ่อๆ ใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

ตัวฟู่ฉู่[1]หูใหญ่มีเกล็ดฝูงหนึ่งวิ่งผ่านกิเลนมังกรไปอย่างไม่ยี่หระ ไล่ตามตะขาบใหญ่สามสี่ตัวที่ยาวราวๆ สามคืบ

ยามเช้าของเมืองขุนเขาสายฟ้าคึกคักเป็นอย่างยิ่ง และเสียงตะโกนก็ดังมาจากท้องถนนเป็นระยะๆ

“ให้สวรรค์สาปเถอะ นี่มันตัวต่อพิษของใคร หน้าข้าบวมฉึ่งไปหมดแล้ว รีบเอายาถอนพิษมาเร็วเข้า!”

“คนใจไม้ไส้ระกำที่ไหนเทเศษยาทิ้งลงกลางถนน ขาข้าทั้งชาทั้งดำปี๋.. มันเกือบจะเน่าอยู่แล้ว! ใครมันเทเศษยาทิ้งไม่ดูที่ทางวะ! ไอ้ลูกเต่า ข้าจะวางยาพิษเจ้าให้ตาย”

ฉินมู่เดินไปตามถนนกลางเมืองขุนเขาสายฟ้า และมีพ่อค้ามากมายพอดูที่กำลังขายยาพิษอันพวกเขาหลอมปรุงขึ้นมาอย่างเปิดเผย เสียงตะโกนโฆษณาสินค้าของพวกเขาดังมาอย่างไม่รู้จบ

“เมืองขุนเขาสายฟ้าของพี่สาวมู่ ดูคึกคักรุ่งเรืองจริงๆ”

ขณะที่ฉินมู่มองไปรอบๆ นั่นเอง เขาก็เห็นสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมาก อันเขาเข้าไปซื้อหาจำนวนหนึ่ง ยาพิษเม็ดที่พ่อค้าแผงลอยขายก็มีคุณภาพดี และสามารถใช้เป็นยาพิษพื้นฐานในการหลอมปรุงยาพิษที่ร้ายแรงกว่านั้นได้ เขาจึงซื้อหามาด้วยเช่นกัน

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็มาถึงใจกลางเมืองขุนเขาสายฟ้า อันเป็นที่คับคั่งเป็นพิเศษ ที่นั่นมีสังเวียนต่อสู้วงกลมจำนวนมาก และมีผู้ฝึกวิชาเทวะนักปรุงพิษก็กำลังต่อสู้กันในนั้น

ฉินมู่หยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง และเห็นว่าผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นต่อสู้กันด้วยวิธีที่แตกต่างจากการต่อสู้ของชาวยุทธทั่วไป รอบตัวพวกเขามีไหมากมาย และยังมีใบไม้เขียว ดอกไม้ และหญ้าอีกหลากหลายละลานตา

ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งสองจะร่ายเวทมนตร์ของตนเอง และบังคับให้แมลงพิษหรือสัตว์พิษอื่นๆ ฆ่ากันและกันในไห ผู้ชนะก็จะไต่ออกมากจากไห่ ออกมากัดกินใบไม้เขียวและวิวัฒนาการ จากนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะฝังเมล็ดข้างในตัวมัน กระตุ้นเร้าด้วยเวทมนตร์ประหลาด ให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วและออกดอกผลมา

ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะใช้รากเห็ดหรือผลไม้ไปป้อนแมลงพิษของตนเอง และทักษะเทวะของทุกสิ่งมีดวงจิตก็จะทำให้พวกมันเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พ่นหมอกพิษหรือเพลิงพิษออกไปยังฝ่ายตรงกันข้าม แมลงพิษทั้งสองก็จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด ขณะที่ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะหลบหลีกการโจมตีพลางหลอมปรุงยาถอนพิษไปด้วย

ต่อสู้ในสังเวียน บีบให้พวกเขาต้องหลอมปรุงยาพิษอย่างปัจจุบันทันด่วน และเช่นเดียวกับการเลี้ยงแมลงพิษกับการปลูกสมุนไพร แต่นั่นก็ยุติธรรมกับทั้งสองฝั่ง เพียงแต่ว่ากำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ยังอ่อนด้อย และไม่มีอะไรให้ดูมากมายนัก

ฉินมู่มุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อสังเวียนต่อสู้ปริแยกออก สิ่งมีชีวิตมหึมาตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมา และกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งสังเวียน มันเป็นแมงมุมตัวใหญ่ที่ร่างท่อนบนของมันเป็นสาวงาม มันหวีดร้องเสียงแหลมและสั่นเทิ้มร่างกาย กลืนเมฆพ่นหมอกเพื่อขับไล่ให้ผู้คนที่มุงดูรอบๆ ให้ต้องถอยห่างออกไป

ฉินมู่ชมดูด้วยความตื่นตะลึง “สามารถใช้หญ้า ดอกไม้ และแมลงพิษมากมายเพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์พิษเช่นนี้ขึ้นมาได้ กำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย!”

หญิงสาวในชุดดำลุกขึ้นยืนจากหลังของแมงมุมพิษ แต่ผ้าม่านโปร่งดำปิดบังใบหน้าของนางอยู่ หากแต่ว่าจากผิวที่นางเผยออกมา นางจะต้องมีหูดพิษเกลื่อนไปทั้งใบหน้าราวกับคางคก นางตะโกนไปอย่างดุดัน “มู่ยิ่งเสว่ ข้ากลับมาแล้ว! รีบไสหัวเจ้ามาที่นี่ ข้าจะได้จัดการสั่งสอนเจ้าให้รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร!”

ฉินมู่พลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที และมายังใต้สังเวียนนั้นเพื่อรอชมการต่อสู้ ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ แห่งเมืองขุนเขาสายฟ้าก็กรูกันเข้ามา สร้างฝูงชนที่แออัดยัดเยียดรอบๆ เวทีท้าประลอง

หญิงผู้หนึ่งร้องอย่างตื่นเต้น “อาจารย์พิษกำลังจะลงมือแล้ว!”

หญิงอีกคนหนึ่งก็คึกคักเต็มสูบ “นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นอาจารย์พิษลงมือ! ลือกันว่าตั้งแต่เมื่ออาจารย์พิษพบกับจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง อันก็เป็นยอดฝีมือล้ำเลิศในเต๋าแห่งพิษเช่นกัน ทั้งสองคนก็ได้ตกหลุมรักแรกพบ ประสานตาซึ่งกันและกัน พวกเขาถึงกับมีสัมพันธ์ชู้สาวอันยากจะบรรยาย หลังจากที่อาจารย์พิษกลับมา กำลังฝีมือของนางในเต๋าแห่งพิษก็เพิ่มพูนอย่างน่าแตกตื่น และรุดหน้าไปในมรรคาแห่งพิษยิ่งกว่าเดิม เข้าไปถึงเขตขั้นอันแม้แต่ภูตผีและเทพเจ้าก็ไม่อาจทำนายได้! ใครจะกล้าท้าทายนาง”

“เจ้าจำหญิงผู้นี้ไม่ได้หรือ นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียงจากยอดฝีมือวิชาพิษแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ชิงฉาน นางนั้นก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือหัวกะทิในเต๋าแห่งพิษ ครั้งหนึ่งนางเคยต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งอาจารย์พิษและพ่ายแพ้ไป และใบหน้าของนางก็ถูกทำลายจากน้ำมือของอาจารย์พิษ!”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ เขาและมู่ยิ่งเสว่มีสัมพันธ์ชู้สาวอันยากจะบรรยายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เขานั้นต่อสู้กับนางด้วยยาพิษชัดๆ และทั้งคู่ก็ดิ้นรนสุดฝีไม้ลายมือที่จะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งอัปลักษณ์ผิดรูป นั่นไม่เห็นจะหวานซึ้งชวนฝันตรงไหน แต่สามารถมองได้ว่าเป็นการชื่นชมความสามารถซึ่งกันและกันได้อยู่

แต่นางก็จูบข้า

เมื่อเด็กหนุ่มจำเรื่องนี้ได้ หัวใจเขาก็เต้นตึกตักอย่างรุนแรง และอารมณ์ความรู้สึกอันผิดแผกแตกต่างจากไปก็เอ่อท้นขึ้นมาในตัวเขา เขาพลันฟื้นจากภวังค์ด้วยความตื่นตระหนก แย่ล่ะ! หัวใจข้าเต้นถี่ขึ้น และเลือดที่ไหลขึ้นมาที่ใบหน้า ลมหายใจข้าก็กระชั้นสั้น และมีความรู้สึกอุ่นๆ ในก้อนหัวใจเมื่อข้านึกถึงนาง หรือว่านี่จะเป็นพิษคะนึงหาที่พี่สาวมู่ฝังไว้ในตัวข้าเกิดกำเริบขึ้นมา แต่ทว่ายาพิษนี้ดูไม่เห็นเป็นอันตรายอะไร เอ้อ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล…

เขาเสความคิดไปนึกถึงหลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง เหออีอี และเด็กสาวคนอื่นๆ ความรู้สึกอุ่นๆ ในอกก็พลันหายวับ

ดูเหมือนว่ารับมือกับพิษคะนึงหาก็ไม่ได้ยากสักเท่าไร เด็กหนุ่มตั้งตัวใหม่

“มู่ยิ่งเสว่ เจ้าไม่กล้าโผล่หน้ามาหรืออย่างไร” หญิงในชุดดำยิ้มหยัน “เจ้าไม่ใช่คนหน้าตัวผู้ ซุกหางไว้หว่างขาแล้ววิ่งหนีไป ไม่น่าใช่แนวทางของเจ้านี่!”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังมา และเถาวัลย์เขียวพลันงอกเงยอย่างเร็วจี๋ในที่ไกลๆ พวกมันเริ่มต้นที่คฤหาสน์ใจกลางเมือง และขยายลำใหญ่มหึมาขึ้นเรื่อยๆ จนดูราวกับมังกรเขียวมากมาย ใบไม้เขียวมหึมาผลิออกมาอย่างรวดเร็ว และเถาวัลย์พวกนั้นก็ยาวเหยียดมากขึ้นทุกที

ในไม่กี่อึดใจ เถาวัลย์ก็ยาวพาดผ่าระยะทางสามสี่ลี้ และมายังเหนือแท่นสังเวียนนี้

เป๊าะ

เสียงเป๊าะเบาๆ ดังออกมา เมื่อดอกตูมขนาดยักษ์งอกออกมาจากเถาวัลย์เขียว มันเบ่งบานออกมาเผยให้เห็นดรุณีสาวผู้มีผิวขาวสล้างกระโดดดอกจากดอกไม้ ก่อนที่นางจะลงเหยียบถึงพื้น เมล็ดพันธุ์บนพื้นก็งอกเงยขึ้นมาและมีดอกไม้ใหญ่อีกดอกเบ่งบานรอ

มู่ยิ่งเสว่เหยียบลงไปบนเกสรดอกไม้ด้วยเท้าอันเปลือยเปล่าแทนที่จะเหยียบลงแตะพื้น นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี้ชิงฉาน ครั้งก่อนนั้นเจ้าพ่ายแพ้แก่ข้าและยังไม่ทันได้ถอนซากพิษที่ข้าทิ้งไว้ในกายเจ้าเลย ใบหน้าที่เคยสะสวยของเจ้า ตอนนี้เต็มไปด้วยหูด เจ้ามาที่นี่คราวนี้ ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ”

อวี้ชิงฉานหัวเราะเบาๆ “ฮี่ๆๆ เจ้าคิดว่าฝีมือข้าไม่รุดหน้าเลยหรือ ในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้? หลังจากที่ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าและเสียโฉม ชายที่ไหนจะกล้ามองดูใบหน้าของข้า คู่วิวาห์เยือนของข้าก็หายไปกันหมด”

มู่ยิ่งเสว่รู้สึกเสียใจไปด้วยกับนาง “พวกเราผู้ซึ่งหลอมปรุงพิษนี้นับว่ามีชายไม่กี่คนกล้าเข้าหาจริงๆ เพราะถึงอย่างไร หากพลาดพลั้งไปสักนิด พวกเขาก็จะถูกยาพิษจนถึงตาย พี่สาวชิงฉาน พวกเราล้วนแต่ร่วมเคราะห์นี้ด้วยกันทั้งนั้น และควรที่จะเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แต่ทว่า…”

นางเผยยิ้มออกมา และสีหน้าของนางก็แช่มชื่นเบิกบานอีกครั้ง “ข้าได้พบกับรักแท้เพียงหนึ่งเดียวของข้าแล้ว! เขาก็เป็นยอดฝีมือวิชาพิษ อันดับสามในโลกหล้า! รักแท้เพียงหนึ่งเดียวของข้าก็ได้เข้ามายังแผ่นดินตะวันตกเพื่อตามหาข้าแล้ว ดังนั้นพี่สาวชิงฉาน โปรดให้อภัยน้องสาวผู้นี้ที่ไม่สามารถไปร่วมขึ้นคานกับเจ้าได้!”

ฉินมู่กลั้นยิ้มไม่ไหว มู่ยิ่งเสว่ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งแปลกคนแบบนี้เสมอ แต่ทว่าเขามิได้เข้าแผ่นดินตะวันตกมาเพื่อตามหานางเพียงเรื่องเดียว

อวี้ชิงฉานหัวเราะคิกๆ และกล่าว “เจ้ามีเพื่อนผู้รู้ใจ และโชคดีที่ข้าก็มีเหมือนกัน เพื่อนชายของข้านั้นดีกว่าของเจ้าเป็นร้อยเท่า เขามิใช่ใครอื่นนอกเสียจากผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน ผู้ซึ่งมีวิชาฝีมือในเต๋าแห่งพิษอันเลิศล้ำเหนือธรรมดา! ด้วยการชี้แนะของเขา ข้าได้ฝึกปรือเต๋าแห่งพิษของข้าจนถึงเขตขั้นดวงวิญญาณ มู่ยิ่งเสว่ นังโสเภณีน้อย ข้าจะไม่เพียงให้เจ้าถอยลงไปจากตำแหน่งอาจารย์พิษ แต่จะให้เจ้าตายโดยไร้ที่กลบฝังด้วย!”

สีหน้ามู่ยิ่งเสว่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน? ผู้สูงศักดิ์นั้นเป็นที่เลื่องลือในด้านพิษหมอผี และพิษดวงวิญญาณใช่ไหม มิน่าล่ะพี่สาวถึงกล้ามาท้าทายข้าถึงในเมืองขุนเขาสายฟ้า ผู้สูงศักดิ์นั่นคงพอมีฝีมืออยู่บ้าง”

อวี้ชิงฉานยิ้มหยันใส่นาง “ตอนนี้เจ้าคงกลัวแล้วสินะ นังโสเภณีน้อย วันนี้ข้าจะท้าพนันกับเจ้า!”

มู่ยิ่งเสว่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ถึงกับกลัว ตั้งแต่ข้าได้ต่อสู้กับคนรักหนุ่มของข้า เต๋าแห่งพิษของข้าก็ได้รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด และข้ามิใช่คนเก่าฝีมือเดิมๆ อีกต่อไป อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันมาตามหาข้า ข้าก็ยังแพร่พิษเขาให้ตายดับไปด้วยเพียงดีดนิ้ว แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาท้าทายข้า จะไม่รับคำท้าก็คงไม่ถูกต้องนัก แล้วเจ้าต้องการพนันอะไรล่ะ”

“พวกเราจะพนันด้วยผู้ชายของเจ้า!” อวี้ชิงฉานพลันยกนิ้วของนางขึ้นมาชี้ลงไปข้างล่างแท่นสังเวียน ตรงไปยังฉินมู่ พลางหัวเราะคิกๆ “ชีวิตของผู้ชายของเจ้า!”

รอบกายของฉินมู่พลันโล่งว่าง เมื่อทุกคนแตกฮือออกไป มิให้ตนเองเข้าไปโดนลูกหลง เขายืนแต่เพียงลำพังตรงจุดเดิม แม้แต่เสียงฉีเอ๋อก็ถูกกิเลนมังกรพาโดดหนีไปแล้ว

ฉินมู่ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเขามองไปที่เวทีและยิ้มอย่างจนปัญญาไปให้หญิงสาวบนแท่นสังเวียนนั้น พลางครุ่นคิดในใจ วิชาสะกดรอยของแผ่นดินตะวันตกนี้ล้ำเลิศจริงๆ ข้าไม่เคยหลบหนีไปได้เลย

มู่ยิ่งเสว่จิตใจฟ่องฟูขึ้นมาและอยากที่จะกระโดดลงไปจากแท่นเวที แต่นางก็พลันชะงัก

ในเมื่อนางขึ้นมายืนบนลานประลองแล้ว การกระโดดลงไปก็หมายความว่านางยอมแพ้ และลงจากตำแหน่งอาจารย์พิษ นั่นจะเป็นการปราชัยโดยมิได้ต่อสู้

“ก็ได้ พวกเราจะเดิมพันกันด้วยผู้ชายของข้า!” ด้วยความตื่นเต้น มู่ยิ่งเสว่หันกลับไปแย้มยิ้มแก่คู่ต่อสู้ “เจ้าหลอมรวมพิษดวงวิญญาณเข้ากับเวทมนตร์แผ่นดินตะวันตกของเราในการปลุกพรายวิญญาณ และใช้สารพิษทั้งหลายบนแท่นสังเวียนนี้เพื่อหลอมปรุงออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตมหึมา อันนับว่าไม่ธรรมดา กำลังฝีมือของเจ้าได้เพิ่มพูนขึ้นมาจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก แต่ข้าก็สามารถใช้สารพิษบนลานประลองนี้เพื่อจัดการมันได้”

เท้าเปลือยเปล่าของนางแตะกับเกสรดอกไม้อย่างแผ่วเบา และดอกไม้พิษก็เบ่งบานออกมาพร้อมกับหญ้าพิษ แมลงและคางคกพิษทั้งหลาย “พี่สาวชิงฉาน เจ้านั้นอยู่แค่ขั้นวิชาพิษ แต่ข้าได้เข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋าแล้ว กระจ่างแจ้งถึงทุกสิ่งทุกอย่างอันเหนือความเข้าใจในเต๋าแห่งพิษ เจ้าคิดว่าเจ้าได้ลงมือกับข้าล่วงหน้าก่อนหนึ่งก้าว และชิงความได้เปรียบมา แต่เจ้าไม่รู้ตัวเลยว่า ความได้เปรียบของเจ้าน่ะ มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว”

สิ่งพิสดารอัศจรรย์พลันเกิดขึ้น และดอกไม้พิษ หญ้า แมลง และคางคกพิษทั้งหลายก็เริ่มแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง วิวัฒน์จากพิษชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิด เวทมนตร์เสกสรรของนางนับได้ว่าทั้งพิสดารและลึกลับ

ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ ตั้งแต่เมื่อมู่ยิ่งเสว่พ่ายแพ้ให้แก่เขา ความสำเร็จของนางในทุกสิ่งมีดวงจิตได้เติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีขีดจำกัด แม้แต่วิชาเสกสรรของนางก็กลายเป็นลึกลับและพิสดาร

อวี้ชิงฉานตวาดออกมาด้วยเสียงดุดัน และแมงมุมใหญ่ใต้เท้าของนางก็กวัดแกว่งกรงเล็บของมัน สังเวียนนี้ไม่ใหญ่ไม่โต ดังนั้นเมื่อแมงมุมพิษอันใหญ่จนกินพื้นที่ครึ่งสังเวียนเริ่มลงมือ ก็มีพื้นที่ให้มู่ยิ่งเสว่หลบหลีกได้ไม่มาก!

ไข่พิษข้างใต้ท้องแมงมุมพิษปริออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นแมงมุมตัวเล็กๆ นับหมื่นที่เกลื่อนไปทั่วเวทีประลอง และกรูกันเข้าไปหามู่ยิ่งเสว่

แต่กระนั้น ไม่ทันที่สัตว์พิษพวกนี้จะไปถึงตัวนาง พวกมันก็พลันชะงักค้างและแตกสลาย แมงมุมยักษ์เองก็หวีดร้องโหยหวน ก่อนจะแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ

อวี้ชิงฉานเหินขึ้นไปบนอากาศอย่างร้อนรน พลางตะโกนไปอย่างดุดัน “แล้วข้าจะมาล้างแค้นใหม่คราวหน้า!”

“พี่สาว ไว้ชาติหน้าค่อยมา”

มู่ยิ่งเสว่สะบัดแขนเสื้อ และอวี้ชิงฉานก็ร่วงลงมากลายเป็นกองเลือด

……………………………

[1] ฟู่ฉู่ หรือโอพอสซัม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท