บทที่ 78 พวกก่อกวน
จั่วชิงเฉิงชี้ไปทางกล่องด้านหลังของเขาแล้วพูดว่า “ขอเรียนทุกท่านตามตรงว่าในหินเหล่านี้ด้านในมีอัญมณีซ่อนอยู่ทุกก้อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าน้ำหนักหรือคุณภาพเป็นเช่นไรเท่านั้น เกมของเราก็คือให้ผู้ท้าพนันสองคนเลือกหินมาก้อนหนึ่ง แล้วดูว่าของใคร เมื่อเปิดออกมาจะมีคุณภาพดีที่สุด อีกทั้งใครสามารถกำหนดประเภทและน้ำหนักของอัญมณีด้านในได้ใกล้เคียงที่สุด ถือว่าเป็นผู้ชนะ อัญมณีทั้งสองก้อนจะกลายเป็นของผู้ชนะไปโดยปริยาย”
“จำนวนเงินพนันแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้าน”
เกมนี้มีความท้าทายมากเหมาะสำหรับพวกชอบพนันยิ่งนัก ทุกคนมองออกว่าภายในหินนั้นไม่มีอัญมณีล้ำค่า ถึงมีก็คงไม่มากนัก
ดูจากสถานการณ์แล้วหนึ่งรอบพนันด้วยเงินรางวัลมูลค่าหนึ่งล้าน จั่วชิงเฉิงน่าจะได้กำไรไม่ต่ำกว่าสองแสนเป็นการค้ากำไรที่ได้ผลตอบแทนดีนัก วันนี้ใครที่ได้อัญมณีล้ำค่าไปก็นับว่าเป็นบุญของเขา
อีกทั้งบรรดาพ่อค้าอัญมณีเครื่องประดับต่างๆเหล่านี้ พวกเขาจะพนันเพียงแค่หนึ่งล้านอย่างนั้นหรือ?
“โอเค ตกลงตามนั้น ขอผมก่อนสิบล้าน ใครจะเล่นกับผมบ้าง?” ชายหัวโล้นคนหนึ่งมองมาทางผู้เข้าร่วมงาน มองก็รู้ว่าเขาผู้นี้ชอบเล่นการพนัน
“ได้เลย ผมพนันกับคุณ” พ่อค้าร้านเพชรพลอยคนหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้า เขาจึงได้ก้าวออกมา
ผู้คนทั้งหลายต่างมองด้วยความตื่นเต้น พวกเขาอยากรู้นักว่าในรอบแรกจะมีสิ่งใดออกมา
จั่วชิงเฉิงจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย จากนั้นให้เจ้าหน้าที่นำโต๊ะมาวางไว้สองตัว อีกทั้งอุปกรณ์ในการประเมินคุณค่า
“พวกท่านทั้งสองจำเป็นต้องหาอาจารย์เพื่อช่วยประเมินหรือไม่? ค่าตอบแทนครั้งละหนึ่งแสน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ” จั่วชิงเฉิงทำการโปรโมทผู้ประเมินคุณค่าทางอัญมณีที่เขาเชิญมา
แม้เขาจะจ่ายตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์ทั้งหลายจะมีค่าตอบแทนเพิ่มเติม
“ผมขอหนึ่งคน” พ่อค้าร้านเพชรพลอยครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยออกมา
“ได้ครับสี่ท่านนี้เป็นปรมาจารย์ที่พวกเรา กลุ่มเครื่องประดับ หยุนเฟย เชิญมาให้การประเมินในครั้งนี้ แน่นอนว่าการพนันอัญมณีก็ต้องอาศัยโชคของพวกคุณด้วย ต่อให้เป็นปรมาจารย์เก่งกาจขนาดไหนก็ไม่สามารถเดาได้ถึงส่วนประกอบของอัญมณีที่อยู่ภายในได้อย่างแน่ชัด พวกเขาทําได้เพียงแค่คาดเดา ดังนั้นหากพ่ายแพ้ก็ไม่ควรจะโทษผู้ช่วยประเมิณ เราต้องรู้แพ้รู้ชนะ หากท่านทั้งสองตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ทั้งสี่ท่านขอเชิญเลือกได้เลย” จั่วชิงเฉิงกล่าว
บรรดาผู้ชมต่างพยักหน้า พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของจั่วชิงเฉิง เนื่องจากการพนันหินอัญมณีเช่นนี้ใครแพ้ก็ไม่ควรจะโวยวายทั้งสิ้น
“โอเค อาจารย์ท่านนี้ผมขอเชิญให้ขึ้นมาช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ หากเราชนะผมจะให้เงินค่าตอบแทนคุณสองแสน” เถ้าแก่ร้านเพชรพลอยพยักหน้าแล้วชี้ไปยังอาจารย์ด้านขวาสุด
เมื่อเห็นเถ้าแก่ร้านเพชรพลอยเชิญปรมาจารย์ขึ้นมาช่วยดู ชายหัวโล้นผู้นั้นก็ไม่ยอมแพ้ เขาเลือกอาจารย์ขึ้นมาท่านหนึ่งเช่นกัน “ท่านปรมาจารย์ครับ ถ้าพวกเราชนะผมจะให้ค่าตอบแทนห้าแสน” ชายหัวโล้นผู้นั้นเอ่ยออกมาด้วยท่าทางมั่นใจ
เจ้าของร้านเพชรพลอยเลิกคิ้วขึ้น หากเป็นอย่างนี้ค่าตอบแทนที่อาจารย์ทั้งสองคนจะได้รับก็ต่างกันมากเสียเหลือเกิน
จั่วชิงเฉิงก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอจึงได้เอ่ยกติกาเพิ่มเติมว่า “ค่าตอบแทนที่ชำระให้กับปรมาจารย์นั้นต้องไม่เกินห้าแสน หากพนันในราคาต่ำกว่าสิบล้าน จะให้ค่าตอบแทนได้ไม่เกินสองแสน
การตั้งกฎกติกาขึ้นมาเช่นนี้เป็นการป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์ทั้งสองคนทุจริต
เจ้าของร้านเพชรพลอยพยักหน้า ถ้าเขาชนะจะให้ค่าประมูลราคาเพิ่มขึ้นเป็นห้าแสน แต่หากแพ้ก็ได้แค่เพียงหนึ่งแสน
พวกเขาทั้งสองแลกเงินที่ใช้สำหรับในการพนัน จากนั้นนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ
หลังจากนั้นอาจารย์ทั้งสองคนก็ได้เลือกหินมาคนละหนึ่งก้อน เขาหยิบขึ้นมาเขย่า วัดน้ำหนัก ดูด้วยตาจากนั้นใช้นิ้วเคาะ ต่อด้วยรูปสัมผัสภายนอก
พวกเขาพิจารณาอยู่นานถึงสองนาทีเต็ม ปรมาจารย์ฝั่งพ่อค้าเพชรพลอยจึงพูดออกมาว่า “ภายในนี้เป็นDiamondน้ำหนักประมาณ 500 กรัม”
Diamond นั้นไม่มีค่ามากมายนัก แต่พวกเขาพนันกันด้วยน้ำหนักและประเภทดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะแพ้หรือชนะ
เมื่อปรมาจารย์พูดจบลงก็มีเจ้าหน้าที่มาหยิบหินในมือของเขาแล้วผ่าออกแก่ผู้คนทุกท่าน
สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปยังหินก้อนนั้น และในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นอัญมณีที่อยู่ด้านในเผยออกมา
จะเป็นDiamondจริงหรือไม่พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน เจ้าหน้าที่ได้นำมันขึ้นไปวางบนเครื่องชั่งได้ 450 กรัมเห็นได้ชัดว่าใกล้ 500 กรัมมาก
เถ้าแก่ร้านเพชรพลอยทานถอนหายใจออกมา น้ำหนักคลาดเคลื่อนไปแค่ 50 กรัม นับว่าค่อนข้างจะแม่นยำแล้ว ที่เหลือเพียงมาลุ้นว่าจะเป็น Diamond จริงหรือไม่
หลังจากได้รับพิจารณาจากผู้ชำนาญการเรียบร้อยแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ Diamond เป็นเพียง Crystal เท่านั้น แต่น้ำหนักและความหนาแน่นของ Crystal กับ Diamond ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก การตัดสินใจออกมาได้ใกล้เคียงเช่นนี้นับว่า แม่นยำมาก หากไม่มีอะไรผิดพลาด เถ้าแก่ร้านเพชรพลอยคงเป็นผู้ชนะ
ปรามาจารย์ที่เถ้าแก่ร้านเพชรพลอยเชิญขึ้นไปนั้นได้รับคำชมจากผู้คนล้นหลาม
เขาผู้นี้มีความรู้จริง สนามต่อไปคาดว่าคงต้องให้เขาขึ้นมาช่วยแล้ว
“ท่านอาจารย์รบกวนด้วยนะครับ” ชายหัวโล้นรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง เนื่องจากปรมาจารย์เมื่อสักครู่คาดเดาน้ำหนักและชนิดใดใกล้เคียงเหลือเกิน แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าอาจารย์ผู้ที่เขาเลือกมานี้จะมีความสามารถไม่แพ้กัน
ไม่กี่นาทีต่อมาปรมาจารย์ท่านที่สองก็เอ่ยถึงผลการคาดเดาว่า “ด้านในเป็นหยก น้ำหนักน่าจะประมาณ 250 กรัม”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการผ่าหินออกเห็นชัดภายในว่าเป็นหยก แต่มันกลับไม่ใช่สีของหยก
ชายหัวโล้นใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หากเทียบกันที่ประเภทแล้วนั้นเขาแพ้อย่างแน่นอน ต่อไปต้องลองมาดูว่าน้ำหนักจะเท่าไหร่
หลังจากชั่งน้ำหนักปรากฏว่าหนัก 190 กรัม คลาดเคลื่อนไป 60 กรัม หลังจากได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วปรากฏว่าเป็นagate ทำให้เขาแพ้พนันไปด้วยมูลค่าสิบล้าน
เจ้าของร้านเพชรพลอยเป็นผู้ชนะพนัน เห็นได้ชัดเจนว่าเขาดีใจมากขนาดไหน เจ้าหน้าที่ได้ชำระเงินให้กับเขาเป็นจำนวนสิบแปดล้าน!
“ท่านอาจารย์ครับรบกวนช่วยผมดูอีกหนึ่งรอบได้ไหม” เถ้าแก่ร้านเพชรพลอยดีใจมากและเอ่ยกับปรมาจารย์ ต่อจากนั้นเขาได้แลกเงินจำนวนห้าแสนให้แก่อาจารย์เป็นค่าประเมิน
คนที่อยู่ข้างล่างเวทีบัดนี้ก็ล้วนตื่นเต้นและอยากจะขึ้นมาประลอง แต่ก็เกรงว่าปรมาจารย์ที่ตนเลือกมานั้นจะมีความสามารถสู้ของเถ้าแก่ร้านเพชรพลอยไม่ได้
เมื่อลู่เฉินเห็นว่าพ่อตาของตนกลับไปแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงกิจกรรมเดาอัญมณีภายในหินหรือการประมูลต่อจากนี้เขาก็ไม่ได้มีความสนใจ
แต่ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น ก็พบนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที ตามหลังเขามีปรมาจารย์อีกหลายคน
“คุณจั่วครับ เกมของพวกคุณน่าสนุกดี เอาอย่างนี้ไหม ผมเป็นตัวแทนของจงหยวน ขอท้าพนันกับหยูโจวของพวกคุณเป็นยังไงล่ะ?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ร่างกายดูซูบเซียวแต่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพูดขึ้น
นี่มันเป็นการพนันที่ข้ามเขตเชียว!
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันจับจ้องคนนักธุรกิจผู้นั้น
“เขาคือเถ้าแก่ใหญ่โจวซุนเฟยของบริษัทเพชรพลอยที่จงหยวน มีทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านเชียว”
“คนที่อยู่ข้างๆเขาเมื่อก่อนฉันก็เคยเห็นที่จงหยวน ล้วนเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งแห่งเมืองจงหยวนทั้งนั้นเลย มูลค่าทรัพย์สินไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน พวกเขาจะร่วมมือกันกวาดล้างสถานที่แห่งนี้หรือยังไง?”
บางคนที่จำได้ว่าพวกเขาคือนักธุรกิจที่มั่งคั่งของเมืองจงหยวนก็พากันตกใจ
จั่วชิงเฉิงหรี่ตามองลงมา แน่นอนว่าเขารู้จักกับบรรดาบุคคลพวกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านตระกูลโจวที่มีอำนาจล้นเหลือ ณ เมืองจงหยวน เขาไม่ได้มีอำนาจน้อยกว่าตระกูลจั่วแห่งหยูโจวนี้เลย
พวกเขาเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“ทำไมหรือ? คนหยูโจวอย่างพวกคุณไม่กล้างั้นสินะ” สายตาของโจวซุนเฟยมองไปยังบรรดานักธุรกิจเมืองหยูโจวที่อยู่ด้านล่างแล้วเอ่ยออกมาอย่างเยาะเย้ย
บรรดานักธุรกิจที่ติดตามมาก็มองพวกเขาเหล่านั้นด้วยแววตาดูถูก
คล้ายกับจะพูดว่าวันนี้ฉันตั้งใจมาก่อกวนพกแก ถ้าแน่จริงก็ให้ก้าวออกมา