บทที่ 196 วังเสวี่ยตกตะลึง
“สกุลติง คุณมายั่วโมโหผิดคนแล้วล่ะ ไม่ต้องมารบกวนฉันอีก ความร่วมมือของเรามันจบลงแล้ว!
คนในสายนี้สำคัญต่อติงหัวมาก เพราะนี่คือหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของบริษัท หากพันธมิตรรายนี้ระงับความร่วมมือไปละก็ โครงการต่างๆของเขาจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อีก
ติงหัวมองจ้องไปที่ลู่เฉิน หรือว่านี้จะเป็นเพียงเพราะเด็กนั่นโทรไปจริงๆงั้นเหรอ?
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำไมคนที่ถูกภรรยาและแม่ยายตัวเองดูถูก ถึงมีกำลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้
และตอนนั้นเอง โทรศัพท์เครื่องที่สองก็ดังขึ้นอีกครั้ง ติงหัวมองไปที่จอทันที
ความรู้สึกแย่ ๆมากมาย ผุดขึ้นมาในใจเขา เขารู้สึกไม่ดีเลย หรือว่านี่จะเป็น………
“ติงหัวคุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ไปยั่วโมโห คนที่ไม่ควรยั่ว นี่คุณกำลังพยายามจะลากฉันลงน้ำใช่ไหม ฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะ ความร่วมมือทั้งหมดของเราสิ้นสุดลงแล้ว!” อีกฝ่ายพูดจบก็วางสายทันที
นี่คุณไปยั่วโมโห คนที่ไม่ควรยั่วอีกแล้วละสิ?
ฉันไปยั่วโมโหใคร?
สำหรับติงหัวแล้วนี่มันยากมากที่จะเชื่อม ลู่เฉินกับโทรศัพท์สองสายนี้เมื่อกี้นี้เข้าด้วยกัน
เพราะไม่ว่าจะมองยังไงลู่เฉิน ก็ดูไม่เหมือนคนที่จะแตะต้องไม่ได้เลยสักนิด
“ประธานติงแย่แล้ว ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา บัญชีบริษัทก็ถูกแฮ็กเงินทั้งหมด และถูกโอนไปยังบัญชีลึกลับ และไฟล์เอกสารลับทั้งหมดก็โดนคนอื่นเปิดอ่านแล้วหมดแล้ว! ”
ในที่สุดเลขาของติงหัวก็โทรมาหาเขา แต่พอเขาได้ยินแค่ครึ่งหนึ่ง เขาก็ถึงกับหมดความรู้สึก
“นายใช่ไหม ทั้งหมดนี้คือฝีมือนายใช่ไหม?” ติงหัวชี้ไปทางลู่เฉินและตะวาดขึ้น ความกลัวภายในใจของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นร้อยยิ้มบนใบหน้าของลู่เฉิน ที่ทำให้เขาตื่นตระหนกมาก
ลู่เฉินปัดนิ้วของติงหัวออกและพูดด้วยรอยยิ้มติดตลก: “คุณจะบอกว่าเป็นฝีมือของผมทำได้ยังไง ในเมื่อผมให้โอกาสคุณเลือกแล้ว แต่คุณก็เลือกที่จะต่อต้านผม”
วังเสวี่ยใจตุ้มๆต่อมๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินสิ่งที่ ติงหัวคุยกับคนในสาย แต่เธอก็เดาได้จากสีหน้าหน้าติงหัวและบทสนทนาของเขากับลู่เฉิน ลู่เฉินใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีนี้ทำให้บริษัทของติงหัวล้มละลายภายในพริบตา
แต่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
ลู่เฉินทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้านล้มละลายได้เพียงเพราะเพียงแค่เขาอยากให้เป็นแบบนั้นงั้นเหรอ?
หลินอี้เจียและหลินดาไห่ก็ต่างตกตะลึกกันไปเลย
ลู่เฉินไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่โทรศัพท์แค่นั้น แต่ดันทำให้หลินดาไห่และคนอื่นๆคิดว่าเขาเปรียนเสมือนนายพลผู้มีชัยชนะตลอดกาล เป็นคนวางแผนการและได้รับชัยชนะ
มีเพียง หลนอี้จุนเท่านั้นที่ดูไม่ได้ตกใจและสนใจอะไรมากนัก เพราะเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบริษัทของติงหัวกำลังจะจบลง
ติงหัวรับสายโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องหลายสาย เนื้อหาการโทรเกือบทุกครั้งก็ต่างกล่าวหาว่าเขาไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรไปยุ่งด้วยและพวกเขาก็ขอยกเลิกความร่วมมือทั้งหมดกับเขา
ติงหัวล้มตัวลงบนโซฟาดูเขาอ่อนแรงมาก และรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าการที่เข้าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรจะยุ่ง ผลมันเป็นยังไง
นี่มันคือปีศาจที่มาจากนรก และสามารถทำลายตัวเองได้อย่างง่ายดาย
พูดว่าจะทำให้คุณล้มละลาย และก็ทำให้บริษัทของคุณล้มละลายแล้ว ไม่มีอะไรคลุมเครือเลยแม้แต่น้อย
ติงหัวไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย เพราะตอนนี้ในใจของเขาถูกทำลายแตกสลายไปหมดแล้ว
พัพ!
ติงหัวคุกเข่าลงตรงหน้าลู่เฉิน ตอนนี้เขารู้สึกกลัวจริงๆ เขากลัวว่าสายต่อไปจะเป็นสายที่ฆ่าเขาได้เลยทีเดียว
“ลู่ ลู่ฉินฉันผิดไปแล้ว ได้โปรด ยกโทษให้ฉันเถอะนะ เป็นเพราะแม่ยายของนาย เธอบอกว่านายหย่าแล้ว เธอบอกว่าแค่ฉันให้เงินเธอสองล้าน เธอจะให้ลูกสาวของเธอแต่งงานกับฉัน จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย ถ้าฉันรู้ว่าพวกนายยังไม่ได้หย่ากัน ให้ฉันตายผมก็ไม่กล้าหรอก “ติงหัวร้องไห้โฮ
เข้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ
เมื่อคิดถึงตัวเองที่เป็นถึงผู้ใหญ่ แต่ต้องคุกเข่าต่อหน้าเด็กหนุ่มเพื่อขอความเมตตา ต่อให้บริษัทของเขาจะไม่ล้มละลายหลังจากวันนี้ เขาก็ไม่มีหน้าที่จะไปเจอใครอีกแล้ว
วังเสวี่ยตื่นตะหนก ใจตุ้มๆต่อมอย่างสุดขีด ในตอนนี้เธอสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของลู่เฉินแล้ว
นี่คือลูกเขยที่เขาดูถูกมาตลอดจริงๆหรือ?
นี่คือลูกเขยที่ไร้ค่าคนนั้นของฉันจริงๆหรือ?
ขนาดประธานของเจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ ยังต้องคุกเข่าต่อหน้าเขาและขอชีวิตจากเขา นี่คือลูกเขยที่เธอดูถูกมาตลอดจริงๆหรือ?
“เอาเถอะ คราวหลังอย่ามายุ่งกับฉันอีกแล้วกัน” ลู่เฉินโบกมือและพูดอย่างเย็นชา
กล้าที่จะคิดทำร้ายภรรยาของเขา เขาจะไม่ยอม คิดว่าเขาเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง
สีหน้าของ ติงหัวดูซีดเผือด เขาลุกขึ้นและออกไปจากครอบครัวหลินอย่างเงียบ ๆ
บริษัท ของเขาได้ล้มละลายลง ทรัพย์สินของเขาก็ถูกแฮ็กเกอร์แฮ็กไปหมดแล้ว และบริษัททั้งหมดที่ร่วมมือกับเขาก็หยุดให้ความร่วมมือกับเขาอีก มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับมาอีก
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ คือหาเงินจากทรัพย์สินที่เหลืออยู่เหล่านั้นให้เป็นเงินสิบถึงยี่สิบล้านและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แต่พันธมิตรทั้งหมดของเขาหายไปแล้ว เขายังมีโอกาสลุกขึ้นไหมอีกหรือไม่?
เขาไม่มีความมั่นใจใดๆอีกแล้ว และเขาไม่กล้าที่จะอยู่ในยวี่โจวอีกต่อไปแล้ว
“ พี่ค่ะ พี่เขย พี่ทำให้บริษัทของเขาล้มละลายจริงๆเหรอค่ะ?” หลินอี้เจียถามอย่างสงสัยหลังจากที่ติงหัวออกไป
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แปลว่าพี่เขยของเธอต้องมีอำนาจมากแน่ๆ
“เธอคิดว่าไงล่ะ ก็แค่บริษัทที่มีมูลค่าไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้นเอง ฉันอยากให้มันจบ มันก็จบลงภายในเวลาไม่กี่นาทีไม่ใช่เหรอ?” ลู่เฉินพูดเบา ๆ แต่เต็มเปรี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ทำให้หลินอี้เจียรู้สึกกลัวเล็กน้อยที่จะมองหน้าเขา
“ลูก…ลูกทำยังไง” หลินดาไห่ถามขึ้นด้วยความตกตะลึก
“คุณพ่อครับ เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว เพราะว่าคนของผมแข็งแกร่งและมีความสามารถทุกด้าน ถ้าพวกเขาต้องการหารายละเอียดเกี่ยวกับเจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่นาทีก็หาได้แล้ว และเมื่อเราได้รายละเอียดเกี่ยวกับเจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ เราก็แค่โทรไปขู่ว่าพันธมิตรของเขากำลังจะยกเลิกสัญญากับเขา จากนั้นขอให้แฮ็กเกอร์ปล้นทรัพย์สินของบริษัทเขาก็แค่นั้น”ลู่เฉินอธิบาย
นัยตาของวังเสวี่ยเป็นประกายพร้อมกับถามขึ้นว่า “แกหมายความว่า แกเพิ่งขอให้แฮ็กเกอร์ปล้นเงินทั้งหมดจากบริษัทของติงหัวแล้วเงินจำนวนนั้นล่ะ มีหลายร้อยล้านเลยใช่ไหม มันหายไปไหนล่ะ?”
ลู่เฉินมองไปที่วังเสวี่ย เขารู้สึกไม่อยากคุยกับเธอเท่าไหร แต่พอหันไปมองหลินดาไห่มองเขาอย่างสงสัยเขาเลยบอกไปว่า “ในบัญชี บริษัท ของติงหัวไม่ได้มีเงินมากนัก โดยส่วนใหญ่เป็นการแฮ็กเอกสารส่วนตัวของบริษัท และเงินก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ถือว่าเป็นเงินค่าแรงงานของพวกเขาไป ”
“โธ่ แม้ว่ามันจะเป็นเงินไม่มาก แต่ก็น่าจะเป็นเงินหนึ่งร้อยล้านได้สินะ แต่แกมอบให้ลูกน้องทั้งหมดเลยจริงๆเหรอ หรือว่าแกมีเงินเยอะจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมดล่ะห่ะ” วังเสวี่ย อดที่จะพูดไม่ได้
“ใช่แล้ว ผมมีเงินเยอะจนไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหนเลยล่ะครับ”ลู่เฉินพูดยอก
วังเสวี่ยพูดอะไรไม่ออก อีกทั้งยังไม่กล้ามองหน้าลู่เฉินอีกด้วย
หลังจากได้เห็นฉากที่ติงหัวคุกเข่าให้ลู่เฉินแล้ว ทำให้เธอรู้สึกกลัวลู่เฉินขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอพูดไม่ได้ว่าทำไม แต่ในตอนนี้ดวงตาของลู่เฉินทำให้เธอรู้สึกเสียวซ่า
“พี่เขย ซูเปอร์มาร์เก็ตพี่จะเปิดอีกทีเมื่อไหร่คะ ฉันอยากไปทำงานในซุปเปอร์มาร์เก็ตของพี่ ฉันขอไปทำงานที่นั้นได้ไหมคะ” หลินอี้เจียพูดขึ้นทันใด
เธอเคยสบายมาตลอด และ ตอนนี้เธอไม่มีเงินใช้แล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเธอจึงต้องหาอะไรทำสักอย่าง ถ้าไปทำงานที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของลู่เฉินละก็ อย่างน้อยลู่เฉินก็คงไม่ให้เขาไปเป็นพวกพนักงานขายอะไรแบบนั้นแน่นนอน