ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 481 ยี่สิบสรวงสวรรค์แห่งพุทธเกษตร

ตอนที่ 481 ยี่สิบสรวงสวรรค์แห่งพุทธเกษตร

ซิงอ้านแบกหีบของเขามาเหมือนที่เคย เขายังอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มในชุดขาว เหมือนซิงอ้าน คนที่ฉินมู่พบในป่าผลไม้ กระนั้นทั้งสองคนนี้ก็ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด

ฉินมู่สะท้านใจ นอกจากราชครูสันตินิรันดร์แล้ว บุคคลเดียวในโลกที่เขาอาจจะเกรงกลัว ก็คือซิงอ้าน

ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีหลักการของเขาในการกระทำสิ่งต่างๆ ผู้คนที่ขัดขวางมรรคาของเขาก็จะถูกกำจัด แต่ตราบใดที่ไม่ไปขวางทางเขา เขาก็จะยังเป็นสหายที่ดีต่อไป

ซิงอ้านนั้นแตกต่าง

เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการเก็บสะสม มันคือการเก็บสะสมชิ้นส่วนร่างเนื้อของยอดยุทธฝีมือแกร่งที่บรรลุเขตขั้นเทวะในด้านใดด้านหนึ่งอันกระตุ้นเร้าความอยากของเขา!

งานอดิเรกของเขาคือการแย่งชิงสิ่งที่เขาต้องการจากคนผู้อื่น แต่เขาจะไม่สังหารผู้คนเหล่านั้น กลับจะเลี้ยงเอาไว้เผื่อว่าจะมาเก็บเกี่ยวในคราวหลัง

เขาแข็งแกร่งจนเกินจินตนาการ

ลัทธินักบุญสวรรค์นั้นยังมิใช่ลัทธินักบุญสวรรค์เมื่อครั้งเก่าก่อน แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้าได้มารวมตัวกันที่นั่น กล่าวได้ว่ายอดฝีมือขั้นหัวกะทิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ครึ่งหนึ่งได้มารวมตัวกันที่นั่นในเวลานั้น แต่กระนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับภายใต้น้ำมือของบุรุษเพียงผู้เดียว ในท้ายที่สุดก็ต้องอาศัยยาบำรุงที่ฉินมู่หลอมปรุงขึ้นมาถึงสามารถพลิกชนะมาได้

ถึงแบบนั้น หลี่เทียนซิ่ง จ้าวลัทธิคนก่อนแห่งลัทธิมารฟ้า ก็ยังคงตกตายในการต่อสู้ เหลือแต่ยายเฒ่าซีเพียงผู้เดียว

หลังจากการต่อสู้ ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ต้องนอนแซ่วบนเตียงคนป่วยอยู่มากกว่าสิบวัน

กำลังการต่อสู้ของซิงอ้านเป็นสิ่งที่ฉินมู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นซิงอ้านยังเต็มไปด้วยพรสวรรค์ และได้ตรึกตรองเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะทั้งหลายทั้งมวลถึงสุดขีดขั้ว วิชาเสกสรรของเขานั้นเรียนรู้มาจากผานกงสั่วอีกทอด แต่กลับสูงล้ำถึงขั้นที่ฉินมู่ไต่ไปไม่ถึง!

ตัวตนเช่นนี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป

ฉินมู่หันกลับไปมองยังยอดเขาทองคำ และมองเห็นแสงพุทธธรรมที่สาดส่องขึ้นไปบนฟากฟ้า หลวงจีนปีศาจมากมายบนภูเขาอยู่ในกิริยาและปางต่างๆ กัน พวกเขานั่ง ไม่ก็หมอบ และบางคนก็ยืนขาเดียว ปีกกางออกมา ส่วนใหญ่แล้วจะมีท่วงท่าและสีหน้าอันไม่ซ้ำกัน พวกเขานั้นกำลังขับเคลื่อนวิชาพุทธะพร้อมกับยูไลน้อยเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่เทพหมอผีขุย

บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาทองคำ แสงพุทธได้ควบแน่นเป็นสสารที่จับต้องได้ ราวกับน้ำหลากสีทอง มันรวบรวมเข้าก่อขึ้นเป็นแท่นบัวสีทองอร่าม บนนั้น สรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นปรากฏอยู่พร้อมกับพุทธเจ้าและเทวะทุกชนิดขนาด พวกเขาล้วนแต่น่าเกรงขามและสำรวม ธรรมะแผ่ไพศาล การเคลื่อนไหวน่าแตกตื่น และเสียงพุทธก็กึกก้องสะท้อนไปมาไม่หยุดหย่อน!

ธรรมะอันเกริกไกรและน่าเกรงขามเช่นนี้ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเบื้องหน้าซิงอ้าน ฉินมู่คิดในใจ

ในเมื่อยอดฝีมือแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามกำลังสะกดข่มและแสดงธรรมเปิดดวงตาให้แก่เทพหมอผีขุย พวกเขาก็ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจซิงอ้าน และต่อให้พวกเขาหันมาจัดการ ก็มิใช่คู่มือของเขาอยู่ดี

แม้ว่าวัดน้อยฟ้าคำรามจะมีจอมปีศาจในขั้นจ้าวลัทธิอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เผื่อต้องเผชิญกับตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างซิงอ้าน พวกเขาก็คงทำได้เพียงถ่วงเวลาเท่านั้น จากนิสัยใจคอของยูไลน้อย เขาอาจจะไม่ยื่นมือช่วยข้าเลยด้วยซ้ำ ฉินมู่ตั้งสติ คนเดียวที่ข้าพึ่งพาได้ก็คือตัวข้าเอง พิษ วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ข้าไม่รู้ว่าพวกมันจะสามารถใช้จัดการเขาได้ไหม…

เขาไม่ค่อยมั่นใจเลย

ซวีเซิงฮวาและลิงยักษ์อสูรเองก็พบว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบเหาะเข้ามา

“คนที่แบกหีบนั่นมาคือใคร” ซวีเซิงฮวาถามด้วยเสียงเบา “แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาเป็นเทพเจ้าหรือ”

ฉินมู่มีสีหน้าเคร่งขรึม “เขานั้นรับมือยากยิ่งกว่าเทพเจ้าเสียอีก ทุกส่วนบนร่างกายของเขาบรรลุเขตขั้นเทวะ นั่นรวมถึงโลหิต จิตวิญญาณดั้งเดิม และปราณชีวิต อีกอย่างข้ายังหาแหล่งชีวิตของเขาไม่เจอ…”

ซวีเซิงฮวาสะดุ้งโหยง “เทพเที่ยงแท้?”

“ไม่ แต่ก็ใกล้มาก” ฉินมู่กัดฟันแน่น

ซิงอ้านเดินขึ้นภูเขาอย่างไม่ช้าไม่เร็วพลางแบกหีบไปด้วย ผานกงสั่วได้สกัดจุดปิดเส้นเลือดที่ขาของเขา และกำลังวิ่งตะบึงขึ้นมาด้วยสองแขนตามเขาขึ้นมา

ส่วนขากวางสองข้างนั้น เขาไม่ไปหยิบมัน

“พี่ที่นับถือซิงอ้าน ตอนนี้ท่านก็รู้แล้วใช่ไหมว่าข้าไม่ได้โกหก” ผานกงสั่วแย้มยิ้มและกล่าว “ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาจากที่นี่ ดังนั้นลาหัวโล้นพวกนี้คงจะไปลักพาตัวจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้ามา ดูที่แสงพุทธธรรมพวกนั้นสิ ไอ้พวกไร้ขื่อแปพวกนี้คงจะหมายป่นทำลายอาจารย์ของข้า”

ซิงอ้านส่ายหัว “พวกเขาไม่ได้พยายามป่นทำลายเขา แต่เปิดดวงตาเห็นธรรมให้เขา ยูไลน้อยเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธใช้ได้เลยทีเดียว ทัดเทียมกับนักพรตหลิงจิ่ง เมื่อข้าไล่ตามหลิงจิ่งเพื่อโลหิตเทวะของเขา เขาก็กล่าวว่ายูไลน้อยได้ฝึกปรือปราณชีวิตจนเทียบเท่าเทพเจ้า”

“ข้ารู้สึกว่ายูไลน้อยนี้ก็ควรค่าแก่การสะสมด้วยเช่นกัน แต่ทว่าตอนนั้นอาการป่วยไข้แฝงเร้นของข้าได้ปรากฏขึ้นมาในร่างกาย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้แตะต้องเขา”

ผานกงสั่วเดินไปด้วยสองแขนข้างหลังเขา แม้ว่าย่างเท้าของซิงอ้านจะดูไม่รวดเร็ว แต่กลับเดินทางไปได้ไกลในพริบตา นี่ทำให้ผานกงสั่วเหนื่อยจนลิ้นห้อย

เขายิ้มแห้งๆ แล้วกล่าว “หลังจากท่านได้จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าและสังหารยอดหมอเทวดาฉินเพื่อล้างแค้นแล้ว ท่านจะทำตามที่รับปากไว้ใช่ไหม”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เจ้าในสิ่งที่ข้าสัญญาไว้อย่างแน่นอน” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย หลังจากที่เขาต่อขาสองข้างแล้ว ข้าก็จะตัดมันออกอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่เป็นการผิดสัญญา

แสงพุทธธรรมเรืองรองยิ่งกว่าเดิมบนยอดเขาทองคำ และดอกบัวทั้งหลายก็ดูราวจะถูกยกชันขึ้นไปด้วยพละกำลังอันเกินหยั่งคะเน แสงพุทธภายใต้บัลลังก์บัวนั้นสาดส่องออกไปทั่วทิศราวกับน้ำหลาก สร้างเสียงกระหึ่มของคลื่นอันซัดเข้าหน้าผาฝั่งทะเล!

“ไอ้ลาหัวโล้น ยอดฝีมือร้ายกาจมาที่ตีนเขาแล้ว ข้าไม่ว่างมาละเล่นกับพวกเจ้าแล้ว!”

เสียงกึกก้องสะท้านพิภพของเทพหมอผีขุยดังออกมา และปราณมารอันเดือดพล่านของเขาก็ลอยคลุ้มฟ้า ปราณสีดำทมิฬเป่าไล่รังสีแสงพุทธธรรม และดอกบัวอันปกคลุมไปทั่วภูเขาทองคำก็สะท้านหวั่นไหวจากแรงกระแทก ข้างบนนั้น สรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบชั้นก็สะเทือนโยกคลอนและรูปเงาของเทวดาและพุทธเจ้าทั้งหลายในสวรรค์ก็กะพริบวูบวาบราวกับว่าจะดับหายไปได้ทุกขณะจิต

“คุมกระบวนพยุหะไว้ให้มั่น!” คำบัญชาของยูไลน้อยดังมาจากใต้ดอกบัว หลวงจีนปีศาจแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามสวดภาวนาด้วยเสียงพุทธอันกังวาน แสงพุทธธรรมสาดส่องจากบริเวณรอบๆ กลายเป็นเจิดจ้ายิ่งขึ้น

แสงพุทธธรรมควบแน่นขึ้นเป็นห่วงรัดอันลอยตรงไปยังดอกบัวทองคำ ร่องรอยของแสงพุทธเหล่านั้นราวกับรากของดอกบัว ปลิวสะบัดจากยอดเขาทองคำและยอดอื่นๆ ใกล้เคียง

เทพหมอผีขุยตะโกนด้วยความเดือดดาลด้วยภาษามารอันซับซ้อน มันเป็นเสียงที่ฟังแล้วกระอักกระอ่วน แต่ก็มีความพิสดารในนั้น ทำให้ฉินมู่อึ้งไป นี่มันไม่ใช่ภาษามารที่ข้าเคยเรียนมาก่อน การออกเสียงนี่คล้ายกับภาษาแดนใต้พิภพ! หรือเทพหมอผีขุยจะมาจากแดนใต้พิภพจริงๆ!

เขารู้อะไรมากมายเกี่ยวกับภาษาแดนใต้พิภพ เขาเคยเรียนมาแค่ประโยคเดียวเท่านั้น อันราชามารตู้เถียนเป็นผู้สอน ส่วนว่าที่ออกมาจากปากของเทพหมอผีขุยจะเป็นภาษาแดนใต้พิภพหรือไม่ เขาก็ไม่ทราบแจ้ง

เสียงมารจากปากของเทพหมอผีขุยยิ่งกึงก้องกังวานและชั่วร้ายมากขึ้นทุกที ทันใดนั้นก็มีประตูปรากฏขึ้นมาข้างๆ บัลลังก์บัว ร่องรอยของแสงมืดไหลรั่วออกมาและต่อสู้ขับเคี่ยวกับสวรรค์ยี่สิบชั้น

แอ๊ด

เสียงเสียดสีบาดหูดังมาเมื่อประตูแง้มออกมาจริงๆ แต่ทันใดนั้น เสียงพุทธก็พุ่งเข้ามาถล่มและปิดประตูนั้นเอาไว้

ตูม!

ร่างของเทพหมอผีขุยพลันขยายออก และผงาดขึ้นมาจากบาตรทองคำ เขายกบัลลังก์บัวขึ้นและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะศิษย์ข้าวางแผนร้ายใส่และฉีกกระชากจิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของข้าออกจากกัน ข้าจะถูกลาหัวโล้นอย่างพวกเจ้าสยบเอาไว้ได้หรือ!”

ทั้งสองฝ่ายคัดง้างกันอย่างติดพัน ทันใดนั้นยูไลน้อยตะโกนออกมา และสารีริกธาตุเม็ดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา มันทะยานไปยังรูปเงาของสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้น

พวกมันเป็นแค่รูปเงา แต่สารีริกธาตุกลับบินไปข้างในเป็นระยะทางอันยาวไกล

ในรูปเงาของสรวงสวรรค์ พุทธเจ้าตนหนึ่งพลันยื่นมาออกมาคว้าสารีริกธาตุและถือไว้ในมือของเขา จากนั้นเขาก็ปล่อยมันไป และสารีริกธาตุก็ลอยขึ้นบนอากาศ ภายใต้แสงเรืองรองของมัน บัลลังก์บัวและสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบก็ดูจะก่อขึ้นมาเป็นวัตถุกายภาพ

เสียงพุทธอันดังมาจากสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นกลายเป็นกังวานแซ่ซ้องและทำให้เทพหมอผีขุยต้องคุกเข่าลง

ซิงอ้านตาเป็นประกายและลมหายใจของเขาก็ฟืดฟาดเร่งร้อน เขาเอ่ยชม “ผู้สูงศักดิ์ อาจารย์ของเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คุณภาพจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขานั้นล้ำเลิศอย่างสุดๆ ข้าต้องการมัน! หลวงจีนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดูเหมือนว่าปราณชีวิตของยูไลน้อยจะเป็นดังที่นักพรตหลิงจิ่งบอกและได้บรรลุถึงเขตขั้นเทวะ พลังธรรมะของเขาเข้มข้นถึงขนาดที่ว่าเกือบจะเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบได้แล้ว”

ผานกงสั่วสะท้านใจ และเขาร้องออกมา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่ายูไลน้อยกำลังจะเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบ”

“ครั้งหนึ่งข้าเคยบุกเข้าไปในวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพื่อจับยูไลเฒ่าเป็นตัวประกันและแย่งชิงเจดีย์หมื่นพุทธอันมีกายสังขารของยูไลมากมายอันบรรลุเขตขั้นเทวะอยู่ในนั้น”

ซิงอ้านเดินไปยังยอดเขาทองคำ ไม่สนใจฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และลิงยักษ์อสูร เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังบัลลังก์บัวและเทพหมอผีขุยพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “แต่ถึงแม้ว่า ยูไลเฒ่าจะไม่ใช่คู่มือของข้า แต่เขาใช้การสั่นพ้องของพลังธรรมะเพื่อกระตุ้นเร้ากายสังขารของยูไลรุ่นก่อนๆ เขาหักเข้าไปในพุทธเกษตรสรวงสวรรค์ชั้นยี่สิบด้วยกำลัง”

“จุ๊ๆ นั่นก็แข็งแกร่งสุดๆ และทำให้ข้าแทบจะหนีออกไปไม่รอด วัดใหญ่ฟ้าคำรามและสำนักเต๋านั้นเหนือธรรมดาและมีรากฐานอันแน่นหนา ดังนั้นจึงยากที่จะบุกเข้าไป แม้ว่าวรยุทธของยูไลน้อยจะสูงส่ง แต่เขาไม่มีเจดีย์หมื่นพุทธ มีเพียงภูเขาอันเต็มไปด้วยหลวงจีนปีศาจ เขาย่อมไม่สามารถเปิดสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรได้ แต่ทว่าเขาได้ส่งสารีริกธาตุของตนเองเข้าไปยังพุทธเกษตรและเหนี่ยวนำเอามหิทธานุภาพของพุทธเจ้าเที่ยงแท้เข้ามา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ฉินมู่ทักทายซิงอ้านและกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “วัดใหญ่ฟ้าคำรามมีวิธีการเช่นนั้นด้วยหรือ”

ซิงอ้านลูบเบาๆ และเฉือนตัดเอาเส้นแสงพุทธธรรมข้างใต้ดอกบัว ดอกบัวพลันเหี่ยวเฉา และสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบชั้นก็ค่อยๆ จางลงและหายไปในที่สุด

ยูไลเฒ่าและคนอื่นๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจและหันมามองซิงอ้านเป็นสายตาเดียวกัน ยูไลน้อยลุกขึ้นและให้สัญญาณหลวงจีนปีศาจว่าอย่าลงมือโดยพละการ ขณะที่เขาเดินตรงเข้ามา

ซิงอ้านนั้นไม่สะทกสะท้านและหันหน้าไปทักทายฉินมู่ “ถูกต้องแล้ว ยอดหมอเทวดาฉิน”

แม้ว่าเขาจะมีความแค้นลึกล้ำกับฉินมู่ แต่ก็ยังคงสุภาพและไม่ลืมมารยาท ฉินมู่ชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง

ผานกงสั่วเองก็มายังยอดเขาทองคำ ใช้มือยันร่างตนเองเดินขึ้นมา เขาแย้มยิ้ม “พี่ที่นับถือฉิน ข้าเชื่อว่าเจ้าคงสบายดีสินะ หลังจากครั้งล่าสุดที่เพิ่งเจอกันมา?”

“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ข้าสบายดี” ฉินมู่กล่าว “ผู้สูงศักดิ์ อาจารย์ของเจ้า เทพหมอผีขุยนั่นอยู่ตรงนั้น และแมลงวิญญาณในตัวเขาถูกป่นทำลายจนเกือบหมดแล้ว ดวงตาเขาก็แทบลุกเป็นไฟราวกับกำลังเผชิญศัตรูคู่อาฆาต เจ้าไม่กลัวหรือว่าอาจารย์เจ้าจะสักการะเจ้าให้ตายน่ะ”

ผานกงสั่วยืนอยู่บนพื้นด้วยขาขาดสองข้างของเขา และทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์จะมาสักการะลูกศิษย์ เรื่องเหลวไหลอย่างนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ใช่ไหม ท่านอาจารย์?”

เสียงกัดฟันกรอดดังมาจากปากเทพหมอผีขุย

ยูไลน้อยเดินเข้ามา และซิงอ้านก็คารวะทักทายเขา “ซิงอ้านน้อมพบยูไลเหยียนติ้ง”

ยูไลน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาคารวะตอบกลับไป “ศิษย์พี่ซิงอ้านมาที่นี่เพื่อเอาชีวิตข้างั้นหรือ”

“หามิได้ ข้ามาเพียงเพื่อเอาชีวิตหมอเทวดาฉิน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย และการฝึกปรือปราณชีวิตของยูไลเหยียนติ่ง น้อยครั้งนักที่ข้าจะสังหาร นอกจากไอ้เด็กต่ำช้าที่จะต้องตายนี่แล้ว คนอื่นๆ เชิญมีชีวิตกันต่อได้ ตราบเท่าที่ไม่โจมตีตอบโต้” ซิงอ้านกล่าวอย่างน่าชื่นตาบาน

ฉินมู่ปิดปากแน่นด้วยความเดือดดาล

………………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท