ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 487 เมื่อพวกเราเข้าไปในประวัติศาสตร์

ตอนที่ 487 เมื่อพวกเราเข้าไปในประวัติศาสตร์

“วันคล้ายวันสมภพของจักรพรรดิสูงส่งปีที่สองหมื่นหกพัน?”

ฉินมู่ตกตะลึง ปีที่เขาเกิดนั้นคือสองหมื่นปีหลังจากการสิ้นสุดของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง อันยุคนั้นก็กินระยะเวลานานกว่าหมื่นถึงสองหมื่นปีอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาย้อนเวลากลับมาถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีหรอกหรือ

การเคลื่อนย้ายระยะไกลเพียงครั้งเดียวของผานกงสั่ว ได้ส่งพวกเขาย้อนเดือนปีมาไกลขนาดนี้เชียว?

ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วเองก็อึ้งกิมกี่ ความรู้สึกพิลึกยากจะบรรยายก่อรูปขึ้นในหัวใจของเขา เขานั้นเพียงแต่ขับเคลื่อนธงเคลื่อนย้ายระยะไกลด้วยพลังวัตรเฮือกสุดท้ายของตนก่อนที่มันจะหมดเกลี้ยง เช่นนั้นเขาจะเคลื่อนย้ายระยะไกลกลับมาถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีก่อนได้อย่างไร

นี่จะต้องเป็นความฝันแน่นอน!

เขานั้นกำลังจะหยิกตัวเอง แต่ทันใดนั้นความเจ็บแปลบก็แล่นมาจากขาของเขาที่ถูกตัด และเขาก็ร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด

ฉินมู่ดึงกระบี่ยาวที่เขาใช้แทงเข้าไปในขาของผานกงสั่วและพึมพำ “มันเจ็บแฮะ แปลว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หรือว่าพวกเรากำลังประสบเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์อีกครั้ง พวกเราอยู่ในปรากฏการณ์แบบนี้หรือนี่”

เด็กสาวคนนั้นเห็นเขาแทงเด็กหนุ่มที่ขาขาดข้างใต้หีบและโกรธขึ้นขึ้นมาทันที “นี่เจ้า เจ้าไปรังแกคนพิการได้อย่างไร หน้าตาดีๆ อย่างเจ้าจะมีประโยชน์อะไรถ้าเจ้าทำตัวแบบนี้ คนโหดร้าย!” เมื่อนางกล่าวจบ นางก็หันกายจะหนีไป

“น้องสาวคนดี รอก่อนสักประเดี๋ยว!” ฉินมู่รีบกล่าวและยับยั้งนางเอาไว้

เมื่อเด็กสาวได้ยินเขาพูด นางก็หักใจปฏิเสธเขาไม่ลง นางหยุดและหันกลับมาเพื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ใช้สองมือกอบหน้านางเอาไว้

เด็กสาวหน้าแดงฉานและดิ้นไปมาใต้สัมผัสของเขา “เจ้าทำอะไรน่ะ พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แล้วจะมาใกล้ชิดกันขนาดนี้ได้อย่างไร และเจ้าเองก็พิลึกคนมากๆ ด้วย เจ้ามีทั้งหีบประหลาดและหมูตัวใหญ่ ทั้งยังรังแกคนพิการ พ่อและพี่ชายของข้าจะไม่ชอบเจ้าแน่ๆ…พ่อของข้าแข็งแกร่งมากเลยนะ พี่ชายของข้าก็เหมือนกัน และเขาก็จะทุบตีเจ้าให้ตาย อย่าทำแบบนี้สิ…”

ฉินมู่อึ้งไป จิตเขากระเจิดกระเจิงราวกับว่าสายฟ้าสวรรค์ฟาดลงกลางศีรษะ “มันเป็นเรื่องจริง! เจ้าเป็นคนที่มีชีวิต ที่มีเลือดเนื้อจริงๆ! นี่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์! พวกเราได้ย้อนกลับมาในอดีตจริงๆ กลับมายังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง…หรือว่าการเดินทางข้ามเวลาจะเป็นไปได้”

เด็กสาวงุนงงกับคำพูดของเขา และถามทวน “เจ้าพูดอะไรน่ะ อะไรคือเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์ อะไรคืออดีต อะไรคือการเดินทางข้าม–”

ไม่ทันที่นางจะถามทุกอย่างที่สงสัย สามีภรรยาหนุ่มสาวก็เดินเคียงกันเข้ามา ชายหนุ่มในคู่นั้นกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “ฉวีเอ๋อ นี่คือ?”

เด็กสาวหน้าแดงเรื่อและกล่าวด้วยเสียงเบา “พี่ชาย ข้าว่าข้ามีคนที่ข้าชอบแล้วล่ะ…”

ผานกงสั่วที่กำลังคลานออกมาจากใต้หีบ กะว่าจะล่อหลอกกิเลนมังกรให้เลียแผลบนขาขาดของเขา แต่ทันใดก็ตะลึงลานจากคำพูดของเด็กสาว เขาถ่มน้ำลายลงกับพื้น แค่นี้ก็ชอบเขาแล้ว? ต่อให้หมอนี่หน้าตาดีแล้วจะอย่างไร เขานั้นดีแค่หน้า อย่างอื่นไม่เอาอ่าว…

ฉินมู่เหม่อลอย เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขากระซิบบอกเด็กสาวที่นามว่าฉวีเอ๋อ “คนผู้นี้ดูเหม่อลอยไร้จิตวิญญาณฮึกหาญใดๆ มีเด็กหนุ่มที่เปี่ยมพรสวรรค์มากมายในโลกหล้า ทำไมเจ้าถึงไปชอบเขา”

หญิงสาวข้างๆ เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “น้องสาว ไม่ต้องไปฟังพี่ชายของเจ้าหรอก เขานั้นก็ชอบแต่จะแนะนำพวกผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่ว่าให้แก่เจ้า และไม่ได้สนใจจริงจังว่าเจ้าจะชอบใคร นั่นทำให้ข้านึกขึ้นได้ พวกเจ้าสองคนรู้จักกันนานแค่ไหนแล้วล่ะ”

เด็กสาวก้มหน้างุดและกล่าวอย่างเอียงอาย

“ก็เพิ่งเมื่อครู่…”

หญิงผู้นั้นฟังแล้วก็ใช้แขนเสื้อปิดปากตนเอง พูดอะไรไม่ออก

“เพิ่งพบแล้วเจ้าก็ชอบเขาแล้วหรือ”

ชายหนุ่มหัวเราะจากความโมโหอย่างสุดๆ และมองฉินมู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “ธิดาของตระกูลป๋ายพวกเราควรชมชอบวีรบุรุษแห่งยุคสมัย เจ้าคิดว่าเจ้าควรคู่กับน้องสาวของข้าหรือ” เขาตะโกนออกไป

รัศมีของเขาแผ่พุ่ง และมันน่าแตกตื่นสะท้านโลก รังสีแสงเจิดจ้าสาดส่องมาจากข้างหลังเขา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของมนุษย์หัวมังกรและหางมังกรก็ค่อยๆ ผงาดขึ้นมา มันแผดรังสีอันบีบรัดหัวใจ

ผานกงสั่วอ้าปากหวอและมองด้วยความตื่นตระหนก “จิตวิญญาณดั้งเดิมมังกรแท้! ไม่น่าใช่เลยนะ มันไม่ใช่จิตวิญญาณดั้งเดิมมังกรเขียวหรอกหรือ เขาไม่ใช่หนึ่งในสี่มหากายาวิญญาณ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร…เขาร้องออกมา”

ฉินมู่ฟื้นจากภวังค์และมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของชายหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน หัวใจเขาสั่นสะท้านเมื่อครุ่นคิด แน่ล่ะ โลกนี้มิได้มีเพียงแค่สี่มหากายาวิญญาณ ยังมีกายาแบบอื่นๆ อยู่อีก

ชายหนุ่มยื่นมือออกไป อันผสมไปด้วยกรงเล็บมังกรและการเขย่า เพื่อคว้าจับฉินมู่ สายฟ้าพันบิดไปรอบๆ มือของเขา “มา ให้ข้าทดสอบกำลังฝีมือของเจ้า!”

เมื่อกรงเล็บของเขาเคลื่อน พื้นผิวของร่างเนื้อเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยประทับอักษรรูนทุกชนิดทุกแบบ ในการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ก็ถึงกับมีการเปลี่ยนแปรเป็นร้อยชนิดของทักษะเทวะที่ซ่อนอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหวนิ้ว การโจมตีของเขานั้นเลิศล้ำเกินกว่าทักษะเทวะกายเนื้อระดับสุดยอด!

ฉินมู่รีบถอยออกไปและหลบเลี่ยงการโจมตี ชายหนุ่มขยุ้มปลายนิ้วทั้งห้าของเขาด้วยกันอย่างแผ่วเบา และห้วงอวกาศรอบตัวฉินมู่ก็ระเบิดไปด้วยเสียงคำรามของอสุนีบาต เป่าเขากระเด็นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ชายหนุ่มทะยานขึ้นไปและวิ่งตะบึงตรงไปยังฉินมู่

ผานกงสั่วเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแตกตื่น “คนแซ่ป๋ายผู้นี้มาจากเผ่ามังกร! มิเช่นนั้นเขาคงจะฝึกฝนทักษะเทวะกายเนื้อของมังกรไปจนถึงขั้นอันเพริศแพร้วระดับนี้ไม่ได้หรอก! อายุของเขาไม่มาก แต่ได้ฝึกปรือจนถึงขั้นชาวสวรรค์แล้ว หรือว่าผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งล้วนแต่แข็งแกร่งทรงพลัง”

ถึงอย่างไร ผานกงสั่วก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่เป็นหมื่นปี เขาได้ท่องเที่ยวข้ามคาบสมุทรและพบพานกับยอดฝีมือเผ่ามังกร เขารู้ว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน และสำหรับบุคคลที่สามารถฝึกปรือถึงขั้นชาวสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุเยาว์เพียงนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง

เด็กสาวฉวีเอ๋อตื่นตระหนกและกล่าวอย่างร้อนใจ “พี่ชาย หยุดทำร้ายเขานะ!”

ข้างๆ นาง หญิงสาวหยุดนางเอาไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายของเจ้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง เพื่อดูว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคู่ควรกับเจ้าหรือไม่ ถ้าพี่ชายของเจ้ายอมรับเขาเมื่อไหร่ พ่อของเจ้าก็จะไม่หยุดยั้งพวกเจ้า แต่หากว่าให้พ่อเจ้าเป็นผู้ลงมือ คนรักหนุ่มของเจ้าอาจจะลงเอยด้วยการกระดูกหักไปอย่างนับชิ้นไม่ถ้วน”

ป๋ายฉวีเอ๋อพลันตระหนักขึ้นมาและแย้มยิ้ม “พี่สะใภ้ชาญฉลาดจริงๆ แต่ทว่า…” นางมีสีหน้าวิตก “พี่ชายนั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน หากว่าเขาพลั้งมือทำร้ายคนนั้นขึ้นมา…”

หญิงสาวแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องกังวล พี่ชายของเจ้ามีวรยุทธกล้าแข็งและรู้จักลงมืออย่างเหมาะสม เขาจะใช้วรยุทธขั้นเดียวกันกับคนรักหนุ่มของเจ้า ดังนั้นจะไม่ทำร้ายอย่างแน่นอน”

ในอากาศ ฉินมู่วิ่งไปทางนั้นทีทางโน้นที แต่กำลังฝีมือของชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปจนน่าสะพรึงกลัว ด้วยการสั่นสะเทือนของนิ้วและฝ่ามือของเขา ทักษะเทวกายเนื้อที่แผ่พุ่งมาก็แข็งแกร่งกว่าทักษะเทวะเวทมนตร์ รัศมีการโจมตีของเขาก็ไกลถึงร้อยห้าสิบวา และการจู่โจมเหล่านั้นยังรวดเร็วอย่างยิ่งยวด บีบให้เขาต้องเปิดสมบัติเทวะทั้งหมดอย่างเร็วด่วน

ปัง ปัง ปัง!

เสียงระเบิดสามเสียงดังออกมาจากในร่างกายของเขา และชายหนุ่มผู้นั้นก็เผยสีหน้าผิดหวังเมื่อเขาส่ายศีรษะ “ขั้นหกทิศหรือ วรยุทธของเจ้าอ่อนแอเกินไป ก็ได้ ข้าจะสู้กับเจ้าในวรยุทธขั้นหกทิศ เพื่อดูพรสวรรค์และปฏิภาณของเจ้า!”

เขาปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์และเจ็ดดาวของตน จิตวิญญาณดั้งเดิมข้างหลังเขาพลันหายวับ แต่ถึงอย่างนั้น พลังการต่อสู้ของเขาก็ยังคงน่าแตกตื่น เมื่อเขาโจมตีใส่ฉินมู่ การเปลี่ยนแปลงระหว่างนิ้วและฝ่ามือของเขาก็ยากจะคาดเดา

ผานกงสั่วมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความแตกตื่น ชายหนุ่มตระกูลป๋ายผู้นี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างสุดขีด และทักษะเทวะร่างเนื้อของเขาก็เหนือกว่าข้า เมื่อต่อสู้กันในวรยุทธขั้นเดียวกัน ข้าก็คงไม่อาจเอาชนะเขาได้…แต่ทว่า ไอ้เด็กร้ายกาจฉินนั่นไม่ใช่ขั้นเจ็ดดาวหรอกหรือ

ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เสียงระเบิดสะท้านโลกก็ดังขึ้นมากลางอากาศ และชายหนุ่มแซ่ไป๋ก็ถูกฉินมู่ซัดกระเด็นราวกับผีพุ่งใต้ หางแสงพุ่งกรีดฟ้าพาดผ่านนครอันยิ่งใหญ่ตระการ

ผานกงสั่วมองเห็นภาพนี้ด้วยท่าทีราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด และคิดอย่างแค้นเคืองในใจ ไอ้เด็กแซ่ฉิน ไอ้วายร้ายนี่อยู่ในขั้นเจ็ดดาว และข้าเองก็อยู่ในขั้นเจ็ดดาว หากว่าข้าต้านทานรับหมัดเขาตรงๆ แม้แต่กระดูกของข้าก็คงแตกหัก กระนั้นอัจฉริยะอย่างเจ้าก็ถึงกับเผชิญเขาด้วยวรยุทธขั้นหกทิศ? ดูสิว่ากลายเป็นยับเยินขนาดไหน

ชายหนุ่มกลับมาด้วยความเร็วที่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม และตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ขั้นหกทิศไม่มีทางมีพลังวัตรและกายเนื้อที่กล้าแข็งขนาดนี้! เจ้าจะต้องอยู่ในขั้นเจ็ดดาวแน่นอน ดังนั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยวรยุทธขั้นเจ็ดดาว!”

ตูม!

ชายหนุ่มปลิวกระเด็นไปอีกครั้ง และเทพเจ้าที่กำลังยืนตระหง่านอยู่บนหอคอยก็ยื่นมือออกมารับเขาเอาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเมืองน้อยชิงฝู่ถูกเป่ากระเด็นมาอีกแล้ว หรือว่าท่านพบคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อสักที”

ชายหนุ่มป๋ายชิงฝู่เดือดดาลจนหัวเราะร่า เมื่อเขากระเด็นออกไปจากฝ่ามือ และพุ่งทะยานไปหาฉินมู่ “ต่อให้พลังวัตรเจ้ากล้าแข็งแล้วอย่างไร ดูทักษะเทวะข้าหน่อยเป็นไร!”

เขาวิ่งตะบึงกลับไป และเพลงหมัดของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างยากจะคาดเดา โจมตีฉินมู่ด้วยกรงเล็บมังกรอันเกลื่อนฟ้า

สายลมและอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงใส่หน้าฉินมู่ และเสื้อผ้าของเขาก็ปลิวสะบัดไปตามลม เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ดุดันเกรี้ยวกราดกำลังขย้ำเข้าใส่ เขาจึงรีบโยนความคิดวอกแวกทิ้งทันทีและโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ดวงตาของเขาลุกวาบ และเขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น “มรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งจะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของรุ่นหลัง มาตัดสินกันให้เด็ดขาดไปเลยดีกว่า พายุสายฟ้าเก้ามังกร!”

ทั้งสองคนปะทะกัน และคลื่นกระเพื่อมก็พลันแผ่ออกไป กระแสอากาศรูปทรงมังกรปลิวกระจายไปทั่วสารทิศด้วยความเร็วสูงลิ่ว

“โฮกกก—”

ทันใดนั้นพลังงานรูปมังกรก็โถมซัดไปทุกทิศทาง และมังกรนับหมื่นตัวคำรามพร้อมๆ กัน พลังงานมังกรกระจัดกระจายในอากาศและต่อสู้กันและกัน

ทั้งสองคนเหยียบไปบนมังกรเหล่านั้น และพุ่งผ่านเทพเจ้าผู้ยิ่งยงทั้งหลายในเมือง ทวยเทพเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยรอยยิ้ม อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ

ในเมืองข้างล่าง คนผ่านทางมากมายไร้คณาหยุดเดินเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น และก็มีผู้คนจำนวนมากที่เหาะขึ้นไปบนอากาศเพื่อดูให้ชัดถนัดตา

เทพเจ้าตนหนึ่งแย้มยิ้มและกล่าว “พวกเจ้าที่เหลือเหาะลงไปก่อน อย่าไปกีดขวางพวกเขา ให้ข้าจุดแสงให้พวกเขาล่ะกัน พวกเจ้าจะได้มองเห็นทั้งคู่นั้นชัดขึ้น” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็ส่องแสงโชน และเสาลำแสงหนาใหญ่สองลำก็ตกลงไปบนฉินมู่และป๋ายชิงฝู่

ทันใดนั้น เทพเจ้าอีกตนก็เดินเข้ามา รูปลักษณ์ของเขาทรงมหิทธานุภาพน่าเกรงขาม ดวงตาของเขาเป็นเนตรมังกร เปี่ยมด้วยพลังอำนาจและเหนือธรรมดา

“เจ้าเมืองป๋าย” เทพเจ้าส่วนใหญ่คารวะทักทายเขา

เทพตนนี้โบกมือและมองไปที่ฉินมู่ “เด็กหนุ่มผู้นี้โดดเด่นเหนือธรรมดา แม้ว่าวิธีการของเขาจะมาจากลัทธิพุทธ แต่ทว่า พลังวัตรของเขากล้าแข็งขนาดนั้นเชียวหรือ วิชาฝึกปรือของเขาก็มีกลิ่นอายรัศมีของเผ่ามังกรของข้า แปลก แปลกจริงๆ…” เขากล่าวด้วยความตื่นใจ

ป๋ายชิงฝู่ต่อสู้เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้เปรียบสักที “ประกระบี่ปะทะอาวุธวิญญาณ!” เขาตะโกนออกไป

ปราณชีวิตรูปมังกรโบยบินออกไปพร้อมกับลูกแก้วมังกรที่หมุนวนอยู่ในนั้น กระบี่คมกล้านับไม่ถ้วนพลันโบยบินออกไปจากลูกแก้วมังกรและโจมตีฉินมู่ราวกับฝูงมังกร!

ฉินมู่ได้รั้งพลังวัตรของเขาไว้ส่วนหนึ่ง ด้วยเจตนาของเขาคือการได้เห็นมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เพราะอย่างนั้นเขาจึงมิได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่ทว่า กระบี่มังกรของป๋ายชิงฝู่นั้นคมกล้าเกินธรรมดา เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขับเคลื่อนพลังอย่างเต็มพิกัด

แม้ว่าเพลงกระบี่ของเขาจะเพริศแพร้วพิสดาร แต่มันมีเพียงสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเท่านั้น เขายังมิได้กระโดดออกไปจากแง่อัศจรรย์ของสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน

ฉินมู่มองปราดเดียวก็หยั่งถึงสายสนกลในของป๋ายชิงฝู่ เขาตบถุงเต๋าตี้และไจกระบี่ของเขาก็โบยบินขึ้นมา เขาคว้าจับมัน และกระบี่บินแปดพันเล่มก็พรั่งพรูออกจากง่ามนิ้วของเขาราวกับเม็ดทรายที่ไหลรี่!

กลางอากาศ เพลงกระบี่ปะทะกัน และป๋ายชิงฝู่ครางเสียงหนัก เขาได้รับบาดเจ็บจากแผลกระบี่มากกว่าหนึ่งพันและร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ฉินมู่เหยียดนิ้วออกไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินกลับมา รวมเข้าด้วยกันกลางอากาศเหนือปลายนิ้วของเขา จากนั้นพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นไจกระบี่มันหมุนวน

“เพลงกระบี่เลิศล้ำ!”

เสียงโห่ร้องดังมาจากรอบทิศทาง และฉินมู่มองไปรอบๆ ก็เห็นเทพเจ้านับร้อยมารวมตัวกัน ร่างอันยิ่งใหญ่ตระหง่านของพวกเขากะพริบวูบวาบตัดกับท้องฟ้าราตรี

ด้วยความตระหนกใจ ฉินมู่คารวะไปรอบๆ

เสียงหัวเราะดังสนั่นแล่นมา เมื่อชายกลางคนผู้หนึ่งก้าวอาดๆ มาบนอากาศราวกับว่ากำลังเดินบนพื้นราบ เขามายังข้างๆ ฉินมู่ ผู้ซึ่งฝืนเงยหน้าขึ้นมาองเขา

“อัจฉริยะย่อมปรากฏในรุ่นเยาว์ที่แท้จริง!” ชายกลางคนหัวเราะร่า “เจ้าเป็นศิษย์ของใครอย่างนั้นหรือ กำลังฝีมือของเจ้านั้นน่าประทับใจและดูเหมือนว่าเจ้าได้ฝึกปรือวิชาฝีมือของเผ่ามังกรของข้า”

ความคิดของฉินมู่แล่นพล่านไปทั่วตัวเลือกต่างๆ ก่อนที่เขาจะรีบกล่าว “ข้าคือฉินมู่ และข้ามายังสถานที่นี้โดยบังเอิญ ข้าได้รับรังมังกรที่มีนิพนธ์ของเผ่ามังกรจารไว้อยู่ ดังนั้นข้าจึงได้ฝึกปรือวิชาของเผ่ามังกร”

ป๋ายชิงฝู่เหาะขึ้นมาและเอ่ยชมเขาอย่างจริงใจ “กำลังฝีมือเลิศล้ำอย่างแท้จริง เจ้าสามารถโดดเด่นเป็นดาวได้แม้แต่ในสภาสวรรค์ พี่ที่นับถือฉิน นี่คือบิดาของข้า ป๋ายอวี้ถิง เจ้าเมืองแห่งเมืองร้อยมั่งคั่งแห่งนี้”

ฉินมู่รีบคารวะทักทายเขา

ทันใดนั้นเสียงของกลองศึกก็ดังมาจากความมืดข้างนอก สีหน้าของป๋ายอวี้ถิงพลันมืดมัว และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “มันมาจากดาวปากวาฬปลาใต้! พวกมารจากนอกโลกบุกเข้ามาอีกแล้ว จงเหลือทหารไว้สี่คนเพื่อคุ้มกันประตูทั้งสี่ ส่วนที่เหลือติดตามข้าไปเผชิญกับศัตรู!”

พวกเขานำเทพเจ้าทั้งหมดทะยานไปยังที่ไกลๆ

ฉินมู่ตะลึงไป ดาวปากวาฬปลาใต้? ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกเทวะที่ข้าปลุกขึ้นมานั่นคือนายกองของดาวปากวาฬปลาใต้หรอกหรือ

เขามองไปยังทิศทางที่ป๋ายอวี้ถิงและคนอื่นๆ เหาะจากไปและเห็นโคมไฟสว่างจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากความมืด ก่อเป็นเส้นสีเงิน มันคือดาวปากวาฬปลาใต้ เมืองเทพยดาบนฟากฟ้า

“ตั้งแต่เมื่อท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืด มารชั่วร้ายก็มักจะรุกรานเข้ามา แต่ไม่จำเป็นต้องวิตก” ป๋ายชิงฝู่กล่าว “เพลงกระบี่ของพี่ที่นับถือฉินนั้นถึงกับเหนือล้ำกว่าเพลงหมัดของข้า ไม่ทราบว่าท่านจะสอนข้าได้หรือไม่”

ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่เขา “ข้ามีนิพนธ์มังกรจำนวนหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจดีนัก และอยากจะรบกวนพี่ป๋ายให้ช่วยสอนข้าเช่นกัน”

เมื่อพวกเขาลงไปเหยียบที่พื้น ผานกงสั่วก็สีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อได้ยินที่ทั้งสองคนนั้นสนทนากัน เขารีบส่ายหน้าไปมาแก่ฉินมู่และถ่ายทอดเสียงไปด้วยความกระวนกระวาย “ระวังการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะกลับไปไม่ได้!”

………………………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท