ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 485 ดาวปากวาฬปลาใต้

ตอนที่ 485 ดาวปากวาฬปลาใต้

รอยแยกนั้นกว้างวาครึ่ง และหีบก็แบกฉินมู่และคนอื่นๆ เข้าไปข้างใน เข้าไปได้แค่สองก้าว พวกเขาก็ติดแหง็ก ฉินมู่รีบผลักพุงกิเลนมังกรเข้าไปข้างใน แต่ถึงอย่างไรหีบก็ขยับไม่ได้ ผานกงสั่วผู้อยู่ข้างใต้หีบก็ร้องกระอักด้วยการถูกเบียดทับ

“เงียบ!” ฉินมู่ตวาดด้วยเสียงเบา และให้หีบถอยออกมาสักหน่อย หนึ่งในเนตรเทวะของซิงอ้านเข้ามาใกล้ในจังหวะนั้น แสงเทวะหนาเท่าเสากวาดผ่านรอยแยกนั้น

ฉินมู่รีบให้หีบใหญ่ซ่อนข้างหลังก้อนหินมหึมาที่ยื่นออกมา ความเร็วของเนตรเทวะซิงอ้านนั้นว่องไวอย่างสุด และแสงของพวกมันก็กวาดวูบมาในเสี้ยววินาที

โชคดีที่ดวงตาของซิงอ้านไม่ใช่ดวงตาของท่านปู่บอด ไม่เช่นนั้นหินใหญ่ก้อนนี้คงซ่อนพวกเราไว้ไม่ได้

เขาระบายลมหายใจโล่งอกและเปิดหีบ จากนั้นก็คว้าคอกิเลนมังกรและยัดเจ้าอ้วนนี้เข้าไปข้างใน

“จ้าวลัทธิ…” กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มอยู่ในหีบ “ข้างในนี้มีชิ้นส่วนอวัยวะเต็มไปหมด หัวก็มี! มีหัวใจด้วย! มือกับนิ้วยั้วเยี้ย!”

ฉินมู่ปิดหีบและส่งมันเข้าไปในรอยแยก โดยไม่มีกิเลนมังกรจ้ำม่ำ มันก็ราบรื่นยิ่งขึ้น หีบรุดหน้าเข้าไปยังส่วนลึก ขณะที่แสงเบื้องหน้าพวกเขาแรงกล้ามากขึ้นทุกที

ฉินมู่เอนอยู่กับหีบและมองตรงไปข้างหน้า ที่สุดรอยแยก เขากลับมองไม่เห็นทุ่งเขียวและฟ้าใส แต่มันกลายเป็นทะเลทรายสีเหลืองทอง มันแตกต่างจากภาพที่เขาเห็นก่อนหน้า

หรือว่าโลกในรอยแยกนี้แตกต่างจากโลกในรอยแยกก่อนหน้า

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น แสงเทวะก็พลันสาดส่องมาข้างหลังพวกเขา ทำให้ฉินมู่แตกตื่น คราวนี้ไม่มีที่หลบซ่อนตัวได้ เขาจึงได้แต่เร่งเร้าให้หีบคืบคลานไปข้างหน้า

โชคดีที่ว่า พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากโลกมิติในรอยแยกแล้ว และหีบก็คลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กลิ้งหลุนๆ เข้าไปยังทะเลทรายสีทอง หลังจากกลิ้งไปสองตลบ หีบก็ยืนขึ้นใหม่อีกครั้ง

ฉินมู่หันกลับไปและเห็นลำแสงเทวะยิ่งผ่านเข้ามาในรอยแยก ก่อนที่จะหายวับไป เขาไม่รู้ว่ามันมองเห็นพวกเขาหรือไม่

หัวใจเขาวูบไหว และเขารีบกระโดดลงมองไปที่ใต้หีบอย่างเร่งร้อน เงาร่างของผานกงสั่วหายไปเรียบร้อยแล้ว

เจ้าหมอนี่มันลื่นหายไปไวจริงๆ!

ฉินมู่ระเบิดหัวเราะออกมา ผานกงสั่วคงจะฉวยโอกาสหลบหนีไปตอนที่พวกเขาร่วงลงในทะเลทรายสีทอง นั่นเพื่อรักษาหนังหัวของเขาเอาไว้จากการจะถูกฉินมู่ลอบสังหารอย่างเลือดเย็น

ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในความมืดของแดนโบราณวินาศโดยมีซิงอ้านไล่ล่ามาติดๆ จึงต้องร่วมแรงกัน แต่ในเมื่อไม่มีความมืดในบริเวณรอบข้างแล้ว ผานกงสั่วก็ย่อมหลบหนีไป

เขาไม่มีขา และไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินมู่ หากว่าเขาหนีไปช้ากว่านี้สักนิด ก็คงไม่มีโอกาสหนีรอด

“ผู้สูงศักดิ์นี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” ฉินมู่ชมเปาะ

ฉินมู่เปิดหีบ และกิเลนมังกรก็กระโดดออกมาด้วยสีหน้าหวาดผวา เขาไม่กล้าเข้าใกล้หีบอีกต่อไป

ฉินมู่มองเข้าไปในหีบและพบว่ามันยังเหมือนก่อน กระดูกเต๋าตี้ได้ก่อโครงของมันและผิวหนังเต๋าตี้ก็หุ้มไว้รอบๆ ข้างในนั้น มีตู้ชั้นต่างๆ มากมายเหมือนที่เคยเห็น แต่จำนวนชิ้นส่วนมนุษย์น้อยลงไปมาก

เขายังเห็นส่วนของหีบที่ถูกเฉือนตัดออกจากกันและถูกเย็บเข้าไปใหม่ มันเป็นผลงานของสองมีดคนแล่เนื้อที่ได้ทิ้งความเสียหายเอาไว้

หลังจากซิงอ้านหนีไปจากมีดของคนแล่เนื้อ เขาก็คงจะเย็บซ่อมหีบนี้

หากว่าข้าสามารถเรียกพรายวิญญาณในมือ ขา ดวงจิต และศีรษะเทวะเหล่านี้ และปลุกส่วนต่างๆ ของร่างกายให้มีชีวิตได้ ก็อาจจะรับมือกับซิงอ้านได้

ฉินมู่สายตาวูบไหว และปิดหีบลงก่อนที่จะเริ่มวิ่งไปท่ามกลางทะเลทรายสีเหลืองทอง หีบวิ่งตามเขามาราวกับว่ากำลังเหินบิน ตามเขามาด้วยความเร็วคงที่ กิเลนมังกรคอยแต่เหลือบมองหีบเป็นระยะๆ ด้วยความหวาดผวา

ผ่านไปสักพัก กิเลนมังกรก็เอาชนะความกลัวของเขาได้ และกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนหีบเพื่อให้มันวิ่งแบกเขา

กิเลนมังกรได้บรรลุเขตขั้นใหม่แห่งความเกียจคร้านซะแล้ว! ฉินมู่คิดขณะที่เขาหันหลังกลับไปมองเจ้าอ้วน

ทะเลทรายในที่ไกลๆ นั้นเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ดังนั้นฉินมู่กับหีบจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ทันใดนั้น เขาก็หยุดลงตรงหน้าโครงกระดูกใหญ่มหึมาที่เอนกายอยู่บนเนินทราย ครึ่งหนึ่งของมันถูกกลบฝังภายใต้มวลทราย

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและพลันสัมผัสได้ถึงรัศมีเทพ เขารีบหยุดเท้าทันที และหีบข้างหลังเขาก็ชะงักกึก กิเลนมังกรผู้ซึ่งงีบหลับไปได้แผล็บเดียวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วร้องออกมา “ซิงอ้านตามมาถึงหรือ”

“ไม่ใช่!”

ฉินมู่ตรวจตราดูโครงกระดูกเทวะที่ถูกกลบฝังใต้ผืนทราย ซี่โครงเหล่านั้นใหญ่มหึมาและขยายออกไปข้างนอก ข้างใต้มันนั้นคือช่องโพรงในอกอันสามารถมีผู้คนเข้าไปยืนได้สิบกว่าคน

เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง และหีบก็เดินย่องเขย่งตามมาข้างหลังเขา

ฉินมู่ยื่นฝ่ามือออกไป แต่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขานำเอากระถางยักษ์ของผานกงสั่วออกมา และค่อยๆ เข้าไปใกล้โครงกระดูกเทพเจ้า

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคร้ง และเขาเองก็ครางหนักๆ ง่ามมือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของเขาฉีกขาดเลือดโซม ขากระถางข้างหนึ่งก็ถูกตัดออกไป!

กระถางใหญ่นี้ถูกผานกงสั่วหลอมสร้างขึ้นมาในชาติภพก่อนเมื่อเขาเป็นยอดฝีมืออันเข้าใกล้เขตขั้นเทวะ กระถางยักษ์นี้ย่อมต้องเป็นสมบัติระดับสืบทอดสำนัก!

แม้จะใช้ไจกระบี่ ฉินมู่ก็ยังทำอันตรายมันไม่ได้ นี่คือหลักฐานที่เพียงพอจะชี้ให้เห็นว่ากระถางนี้แข็งแกร่งแค่ไหน

กระนั้นตรงหน้าโครงกระดูกเทพ มันก็ไม่ต่างอะไรกับดินปั้น ขาของมันถูกเฉือนตัดไปเสียแบบนั้น

ฉินมู่ข่มกลั้นความเจ็บและปิดผนึกบาดแผล เขาหยิบขากระถางขึ้นมาจากพื้น และพบว่าตรงพื้นผิวรอยตัดนั้นแบนราบราวกับว่ามีมีดล่องหนอันคมกล้าไร้ประมาณเฉือนผ่ามันไป

เมื่อแตะต้องกับพื้นผิวที่ถูกตัด เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนฉ่า

“นี่คือ…ปราณหยางแห่งสองปราณหยินหยาง พวกมันถูกเจ้าของซากร่างนี้บ่มเพาะจนกลายเป็นพลังชีวาเทพเพื่อปกป้องร่างกายของเขา”

ฉินมู่เก็บกระถางยักษ์และขาที่หักออกมาของมันกลับไป ขณะที่กิเลนมังกรมองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาถามด้วยความใคร่รู้ “จ้าวลัทธิ อะไรทำให้กระถางหักหรือ”

“สมบัติเทวะของเทพตนนี้”

ฉินมู่กอบทรายเหลืองขึ้นมากำหนึ่ง และเป่ามันไปข้างหน้าอย่าแผ่วเบา เมื่อเม็ดทรายเข้าไปใกล้ บางสิ่งอันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็เกิดขึ้น!

ข้างในร่างของโครงกระดูกเทพเจ้าอันล้มพังพาบอยู่ในทราย มันมีสมบัติเทวะที่ครบสมบูรณ์เจ็ดอัน!

เดิมทีพวกมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เมื่อทรายเข้าไปใกล้ แสงเทวะหลากสีก็ฉายส่องออกมา จุดแสงขึ้นในสมบัติเทวะเหล่านั้น!

ศพเทพเจ้านี้ใหญ่โต แต่สมบัติเทวะไม่ใหญ่มาก สมบัติเทวะทารกวิญญาณที่หว่างคิ้วของโครงกระดูกนั้นมีขนาดแค่หนึ่งตารางนิ้ว สมบัติเทวะห้าธาตุใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย สมบัติเทวะหกทิศตั้งอยู่ที่ตันเถียน ขณะที่สมบัติเทวะเจ็ดดาวตั้งอยู่ระหว่างศีรษะ หัวใจ และปอด

สมบัติเทวะชาวสวรรค์อยู่ที่กระดูกหลัง และสมบัติเทวะเป็นตายก็อยู่ต่ำกว่าเอว ส่วนสมบัติเทวะสะพานเทวะนั้นมันก็จะพุ่งเหินออกมาจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ตรงออกไปจากศีรษะ

สมบัติเทวะเหล่านี้มิได้ใหญ่โต แต่น่าแปลกที่ว่าเมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ พวกมันก็ดูเหมือนจะมีพื้นที่อันกว้างเป็นล้านไร่อยู่ในนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาล ฉินมู่ถึงกับมองเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อับแสง เช่นเดียวกับทางช้างเผือกและจักรราศีอันแตกหัก!

ที่ใจกลางสมบัติเทวะทารกวิญญาณ มันมีทารกวิญญาณของเทพตนนี้ มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา แต่ดวงวิญญาณของโครงกระดูกนี้ได้ลับลาไปนานแล้ว แต่กระนั้นทารกวิญญาณก็ยังคงไม่สูญสลาย

เขาตายจากอาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณดั้งเดิม

วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ขณะที่เขากำลังเพ่งสายตาลงบนสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ทารกวิญญาณของเทพตนนี้ถูกแทงทะลุหน้าอก กระบี่นั้นถึงกับทิ้งรอยเงาเอาไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจู่โจมดังกล่าวน่ากลัวเพียงใด!

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่แตกหักโคจรรอบๆ ทารกวิญญาณ และแสงสว่างเจิดจ้าส่องลงมาจากพวกมัน มันคือหยินหยางสองปราณ

สิ่งที่ตัดสะบั้นขาหนึ่งของกระถางยักษ์คือปราณหยางพิสุทธิ์สายหนึ่ง

“หลังจากที่เขาตาย เลือดและเนื้อของเขาเน่าเปื่อยไป แต่เขายังคงรักษาสมบัติเทวะอันสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้ ทารกวิญญาณก็ยังคงอยู่ที่นี่ และเศษซากของพลังชีวาเทพของเขาก็ยังทรงอานุภาพ ตัดสะบั้นสมบัติสืบทอดสำนักได้อย่างง่ายดาย”

ฉินมู่พึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ เทพเจ้าธรรมดาไม่มีทางมีความสามารถเช่นนี้หลังจากที่เขาตาย ครั้งหนึ่งเขาเคยได้พิจารณาดูซากศพของอาจารย์ของซวีเซิงฮวา เทพครองแดนหยกผู้ซึ่งถูกปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่เขาหลอมสร้างเป่าร่วงลงจากฟากฟ้า และตายอย่างน่าสังเวช

แม้ว่าศพของเทพครองแดนหยกจะยังมีรัศมีเทพอันเข้มข้น แต่มันก็ไม่ทัดเทียมกับโครงกระดูกเทวะนี้

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เทพครองแดนหยกตายไป สมบัติเทวะของเขาก็พังทลาย

“นี่คือเทพเที่ยงแท้ เทพเจ้าที่แท้จริง!” ฉินมู่มีสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเขาพลิกหาดูถุงเต๋าตี้และนำลูกแก้วเต่าดำออกมา เขาพึมพำ “ทำไมเทพเที่ยงแท้ถึงตายอยู่ที่นี่”

เขานำเอาลูกแก้วเต่าดำออกมา และยืมพลานุภาพของมันเพื่อร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณของโครงกระดูกเทวะ

กระดูกลั่นโกร่งกร่าง

ซากร่างนี้พลันบิดเอี้ยว และกิเลนมังกรก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เกล็ดของเขาชี้ชันไปหมด แม้แต่หางของเขาก็สั่นริกริก

ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อันเหมาะแก่การฝึกปรือของสตรี ความคิดของเขาซับซ้อนเกินไป และเขาไม่อาจฝึกปรือมันจนถึงขีดสุดได้ แต่ถึงอย่างไร เขาก็พอจะช่วงใช้มันได้ผ่านลูกแก้วเต่าดำ

มือกระดูกขาวมหึมาค่อยๆ ยกขึ้นจากทราย และโครงกระดูกก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง กะโหลกของมันก้มลงมา ราวกับว่ามันกำลังสำรวจฉินมู่และกิเลนมังกร ทรายเหลืองร่วงลงจากมันเป็นน้ำตกจากรูเบ้าตาและปากของมัน

“สู้ศึก!” โครงกระดูกยืนขึ้นและหยิบธงขาดวิ่นออกมาจากเนินทราย เขาโบกมันไปมาพร้อมกับขากรรไกรที่อ้าขึ้นและหุบลง พลังวัตรที่ยังหลงเหลือในสมบัติเทวะของเขาสั่นสะเทือนอากาศ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่มีเลือดและเนื้อ แต่เขาก็ยังคงพูดได้ด้วยเสียงอันก้องสะท้านพิภพ “รับราชโองการ! ข้างหลังคือมาตุภูมิของเรา ดังนั้นพวกเราไม่มีทางถอยออกต่อไป! สู้! พวกเราทำได้แค่สู้ศึก!”

ฉินมู่อ้าปากหวอ และเขาเกาหัวแกรกๆ พรายวิญญาณที่เขาเรียกมานี้น่าจะเป็นดวงจิตใหม่ แต่จากที่เห็น สำนึกรู้ส่วนหนึ่งของโครงกระดูกดูจะหลับใหลอยู่ในนั้น และถูกปลุกขึ้นมาโดยวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ

“การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไปหลายปีแล้ว ผู้อาวุโส!” ฉินมู่ตะโกนออกไป “บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ไหน ทำไมท่านถึงมาตายที่นี่ แล้วท่านต่อสู้ตามคำสั่งของใคร ใครคือศัตรูของท่าน”

โครงกระดูกก้มศีรษะลงมองดูเขาและเสียงของเขาสะท้านสะเทือน “พวกเราเป็นข้าราชบริพารของจักรพรรดิสูงส่ง นายกองแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ รับพระบัญชามาป้องกันสถานที่นี้ ผู้เยาว์ เจ้ามาจากไหน ที่นี่คือสนามรบ รีบถอยไปเร็วเข้า! พี่น้องของข้าอยู่ที่ใด”

โครงกระดูกเทวะกวัดแกว่งธงผืนใหญ่และกระโดดขึ้น พุ่งตัวไปยังยอดเนินทรายสูง จากนั้นเขาก็ชะงักค้าง เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น

ยุคจักรพรรดิสูงส่ง? นั่นมิใช่สิ่งที่มาจากหลายหมื่นปีก่อนหรอกหรือ

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขารีบวิ่งตามไปพร้อมกับหีบ เมื่อเขามาถึงยอดเนินทราย เขาก็อดจะตกตะลึงไม่ได้ ทะเลทรายตรงหน้าเขา มีโครงกระดูกมากมายเรียงรายอยู่

พวกมันก่ายกองเต็มไปหมดทั้งผืนทรายสีเหลืองทอง โครงกระดูกมหึมาบางโครงไม่อาจถูกทรายกลบมิด และบางส่วนของพวกมันก็โผล่ออกมาจากใต้พื้น

เทพศาสตรามากมายดารดาษไปทั่วทะเลทราย พร้อมกับรถศึกอันหักพัง และยังมีเรือรบพุ่งทะลวง และแผ่นเหล็กกลมอันสูงกว่าร้อยห้าสิบวา

ฉินมู่ตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาเคยพบเห็นสมรภูมิรบของเทพและมารมาก่อน พวกเขานับหมื่นๆ ได้ตกตายไป แต่ไม่มีใครที่ถูกกลบฝัง

“ปีนี้คือปีอะไร” ข้างๆ เขา เทพเจ้าก้มหัวลงและถาม “จักรพรรดิสูงส่งอยู่ที่ใด ไฉนซากร่างของพี่น้องข้าถึงถูกทิ้งไว้เปิดเปลือยในที่ร้าง ไฉนนักรบเหล่านี้จึงมิได้รับการเคารพที่สมควรหลังจากที่พวกเขาตายไป…”

“ผู้อาวุโส ยุคจักรพรรดิสูงส่งได้สิ้นสุดลงไปเนิ่นนานแล้วและกลายเป็นตำนาน ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสูงส่ง แม้แต่ยุคจักรพรรดิก่อตั้งก็ได้สิ้นสุดไป…” ฉินมู่กล่าวด้วยความเศร้า

“จักรพรรดิสูงส่งก็ตายไปในการศึกด้วยหรือ” เทพเจ้าก้มหน้าลง เขาดูเหมือนกำลังร่ำไห้ แต่ไม่มีน้ำตาหยดลงมา เขาเดินตรงไปยังสมรภูมิ และหยิบกระดูกขาวขึ้นมาท่อนหนึ่ง “พี่น้องของข้า สหายร่วมเป็นตายในสมรภูมิ ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมิได้มีอยู่อีกต่อไป แต่ข้ามิอาจปล่อยให้พวกเขานอนระเนระนาดอยู่ที่นี่โดยปราศจากที่พำนักพักพิง…น้องชาย”

เขาหันไป ‘มอง’ ที่ฉินมู่ “เจ้าสามารถปลุกจิตวิญญาณของพี่น้องของข้าได้หรือไม่ พวกเราจะกลบฝังตนเอง และพักผ่อนชั่วนิรันดร์”

………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท