ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 493 จารึกหลักหินทิ้งข้อความ

ตอนที่ 493 จารึกหลักหินทิ้งข้อความ

กาลเวลากวาดผ่านภูเขาและแผ่นดิน นำผู้คนในอดีตจากไป เหลือก็แต่ความทรงจำและประวัติศาสตร์อันถูกลืมเลือนทิ้งเอาไว้

กาลเวลาประดุจบทเพลง และยังคงเป็นเพลงเศร้า

ฉินมู่ยืนอยู่บนหีบขณะที่กอดเด็กสาวเมื่อแสงตะวันสาดส่องลงมาบนร่างพวกเขาราวกับกระแสเวลา ยามที่รังสีอาบไล้พวกเขา เด็กสาวในอ้อมกอดของเขาก็กลายเป็นละอองทรายที่ปลิ่วว่อนและไหลรี่กลับไปยังความมืด

แสงอาทิตย์แยงตาได้พร่างพรมทะเลทรายสีทองและสาดส่องลงไปบนเนินทรายรูปเกล็ดอันดารดาษ สถานที่นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นหุบเขา แม้ว่าภูเขาทั้งหลายรอบๆ จะไม่สูงตระหง่าน แต่ก็สร้างทิวทัศน์อันน่าหลงใหล

กระนั้นการผันเวียนของกาลเวลาก็ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยทรายเหลือง

ฉินมู่กระโดดลงจากหีบ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากที่จะระงับความหดหู่ใจ

หีบเปิดฝาออกมา และโยนกิเลนมังกรออกไป หีบเองก็ดูสับสนงงงวย เมื่อครู่นี้มันยังมีผู้คนหลายร้อยอยู่ในท้องชัดๆ แต่บัดนี้คนเหล่านั้นหายไปกันหมด

กิเลนมังกรทั้งหวาดผวาและว้าวุ่น เขานั้นเชื่อเรื่องโชคลางเอามากๆ และกลัวผีอย่างสุดๆ บัดนี้เขาแตกตื่นจนถึงขั้นเอาหัวมุดเข้าไปในทราย

ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปยังหน้าผาเปลือยตรงหน้าเขาอันตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายสีเหลือง หลังจากผจญพายุทรายเป็นเวลาหลายหมื่นปี มันก็ยังคงไม่ถูกกัดเซาะหรือพังทลายลงมา

บนหน้าผา มันยังมีข้อความที่เขาเขียนทิ้งเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน

“ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!”

ฉินมู่ตกตะลึง เขาได้ทิ้งร่อยรอยอันเป็นของเขาไว้ในประวัติศาสตร์

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนนี้มิใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งความฝัน เขาไม่อาจเข้าใจประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เขาได้พบพานในค่ำคืนนี้ได้ ไม่สามารถอธิบายว่าทำไมเขาถึงได้ย้อนกลับไปยังห้วงเวลาสามสี่หมื่นปีก่อน และทำไมเขาถึงได้เผชิญกับการรุกรานของความมืดร่วมกับผู้คนแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง

เขายังไม่สามารถอธิบายได้อีกว่า ทำไมเขาถึงได้ย้อนเวลากลับมาสู่ปัจจุบัน และทำไมยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถึงลับลาไปในความมืด

กระนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ!

เขาได้ต่อสู้ร่วมกับผู้คนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ได้ประจักษ์มรณสักขีและความทุกข์ทนที่พวกเขาเผชิญ เขายังได้เห็นสภาสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่กำลังจะทำลายล้างสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง อีกทั้งความตายและความพินาศที่มันก่อขึ้นมา

“ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง และยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกทำลายล้างเช่นกัน นี่เป็นสภาสวรรค์กลุ่มเดียวกันหรือเปล่าที่ทำเรื่องนี้”

เขามีการคาดเดาในใจ แต่เขาไม่มีหลักฐานมั่นคงที่จะพิสูจน์มัน

บางทีพวกที่อยากจะทำลายสันตินิรันดร์ก็อาจจะเป็นสภาสวรรค์เดียวกัน? ถ้าเช่นนั้น พวกเขามาจากไหน

ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วลอบออกมาอย่างเงียบเชียบและเงยศีรษะขึ้นมองดูหน้าผาโดดเดี่ยวกลางทะเลทราย เขาเพ่งพิศถ้อยคำบนนั้นและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าคงจะผิดหวังและเศร้าโศกมากสินะ ตอนนี้? บางทีเด็กสาวจากตระกูลป๋ายนั้นชมชอบเจ้า และเจ้าเองก็อาจจะชมชอบนางเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่นางรู้ว่าเจ้าจะต้องจากไป ดังนั้นนางจึงไม่พูดมันออกมา กาลเวลาช่างอำมหิตเสียจริง…”

สายตาของเขาวูบไหว และน้ำเต้าข้างหลังเขาก็พลันเปิดออกมาเพื่อให้ก้อนโลหิตลอยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยไม่กระโตกกระตาก

ผานกงสั่วจ้องแผ่นหลังฉินมู่เขม็ง ก้อนโลหิตบนท้องฟ้านั้นราวกับงูพิษที่บิดเอี้ยวไปมา เสียงของเขาก็เหมือนกับอสรพิษร้ายที่ชอนไชเข้าไปในหัวใจของฉินมู่ กัดแทะดวงวิญญาณของเขาและทำลายจิตเต๋า นี่ทำให้เด็กหนุ่มเผยช่องโหว่

“หากว่าเจ้ายังคงรั้งอยู่ในยุคสมัยนั้น ชีวิตของเจ้าคงแตกต่างจากตอนนี้มาก”

ผานกงสั่วค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า พลางปรับลมหายใจของเขา ทำให้เสียงของเขายิ่งหลอกล่อเป่าหู เขาบอกอีกฝ่ายถึงความเป็นจริงอันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“พวกเจ้าทั้งสองอาจจะได้ตกลงไปในแม่น้ำแห่งความรัก อาจจะมีบุตรธิดามากมาย เจ้าอาจจะได้เผชิญกับความเพลี่ยงพล้ำและอันตรายเป็นจำนวนมาก แต่ชีวิตของเจ้าคงจะตื่นเต้นน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม การผันผ่านของประวัติศาสตร์ก็จะเต็มไปด้วยสีสันตระการ ที่พวกเจ้าผัวเมียหนุ่มสาวได้ประสบพบพาน… น่าเสียดาย”

น้ำเสียงของเขาพลันเปลี่ยนแปลง ราวกับอาบไปด้วยพิษร้าย “น่าเสียดายที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน แยกจากกันเป็นหมื่นๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความชอบ ไม่ว่าอนาคตใดๆ ก็ล้วนแต่จะกลายเป็นทรายเหลืองอันกระจัดกระจายไปในกระแสกาลเวลา แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องหลอกลวง!”

เขาเผยรอยยิ้มประหลาด และเสียงของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวไปมารับกับรอยยิ้มพิลึกกึกกือของเขา “เด็กสาวตระกูลป๋ายอาจจะตายไปนานแล้ว หลังจากที่เจ้าจากไป นางคงจะตกตายในน้ำมือของผู้ไล่ล่า! แม้ว่านางจะหนีไปได้ นางก็คงจะตกแต่งกับคนอื่น ให้กำเนิดบุตรธิดา และกลายเป็นหญิงเฒ่า มีก็แต่เมื่อความงามของนางเริ่มจางลงไป บางครั้งบางครานางถึงจะจดจำได้ถึงเด็กหนุ่มที่พลันปรากฏตัวขึ้นมาและประคองหน้านางขึ้นมาดู! จ้าวลัทธิฉิน เจ้ามีความเศร้าโศกในหัวใจไหม มันได้กัดแทะและแพร่พิษในก้อนเนื้อตรงอกของเจ้าหรือเปล่า”

ผานกงสั่วเข้าใกล้เขามากขึ้นทุกที เสียงของเขาพิลึกกึกกือ ราวกับว่าราชามารกำลังกระซิบกระซาบจากนอกอวกาศ ล่อลวงคนผู้หนึ่งให้ตกต่ำเสื่อมถอย “นางได้ตายจากไป กลายเป็นฝุ่นผง สามสี่หมื่นปีก่อนในทะเลทรายแห่งนี้ที่เก็บซ่อนประวัติศาสตร์เอาไว้ นอกจากเจ้า เด็กหนุ่มอ่อนไหวคนนี้ ก็ไม่มีใครอื่นที่จะจดจำนางได้อีกต่อไป ก็แบบนั้นแหละ นางถูกท่วมจมลงในฝุ่นผงแห่งประวัติศาสตร์ และถูกกลบฝังไว้ใต้ทรายเหลืองอันปลิวไป”

เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าว “เมื่อยังเยาว์ เจ้าไม่รู้ความเศร้าใจและพิไรรำพัน และก็หลงลอยไปด้วยความรักความชอบ ไปจนถึงยอดฟ้าวิมาน ความรักของเจ้าจะเทียวไป! บัดนี้ความเศร้าใจและพิไรรำพันที่เจ้าได้ลิ้มรส ทั้งความขมขื่น หดหู่ใจ ได้กระซิบบอกเจ้า ถึงความคาดหวัง ที่เจ้าก็อกหักลงมา! จ้าวลัทธิฉิน ส่วนลึกของหัวใจเจ้านั้นเปราะบาง ให้ข้าช่วยจบมันให้…”

เขากำลังจะลงมือ แต่ข้างหลังเขา กิเลนมังกรร่างขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น เขาพลันเงื้อกรงเล็บมหึมาตะปบเขาลงกับพื้น

ผานกงสั่วรีบลุกขึ้น แต่ก็โดนตะปบลงไปอีกครั้ง กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าฟาดเขาลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เขากระอักเลือด “พูดอีกสิ แน่จริงก็พูดอีกสิ!”

ผานกงสั่วโมโหขึ้นมาทันที “ไอ้หมูอ้วน เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้านักหรืออย่างไร”

กรงเล็บของกิเลนมังกรที่คมกริบราวมีดดาบพลันโผล่ออกมา เตรียมที่จะแหวะพุงเขาอีก

ทันใดนั้น เสียงอันเงียบสงบของฉินมู่ก็ดังมา “มังกรอ้วน ไม่จำเป็นต้องทุบตีเขาหรอก ปล่อยเขาไป”

กิเลนมังกรตะลึงไปเล็กน้อย เขาถามด้วยความฉงน “จ้าวลัทธิ เจ้าหมอนี่มันชั่วร้ายสุดๆ เขานั้นเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้านหนีเอาชีวิตรอด และเขายังคิดจะทำร้ายท่านอีกด้วย! หากว่าพวกเราปล่อยเขาไปตอนนี้ ก็จะยิ่งยากที่จะจับตัวเขาอีกครั้งในอนาคต!”

“พวกเราต่อสู้ร่วมกัน และเขาก็ยังมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการกอบกู้ชีวิตผู้คนเหล่านั้น เขาสมควรจะได้รับโอกาสมีชีวิตต่ออีกสักครั้ง” ฉินมู่เอามือไพล่หลังและมองไปยังถ้อยคำบนหน้าผา สีหน้าของเขาสงบนิ่ง “ผู้สูงศักดิ์ ข้าจะไม่สังหารเจ้า ดังนั้นจงไปเสียเถอะ ครั้งหน้าที่พวกเราพบกัน ข้าค่อยเด็ดหัวเจ้า”

ผานกงสั่วปีนลุกขึ้นมายืนและปัดฝุ่นทรายออกจากเนื้อตัว ประกายตาของเขาวูบไหวและกล่าว “เจ้าแน่ใจหรือที่จะปล่อยข้าไปในครั้งนี้ ไม่ได้โกหกข้า? เจ้าคงไม่สังหารข้าตอนที่ข้าหันหลังกลับไป ใช่ไหม”

ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มีผู้คนตกตายไปมากพอแล้ว และข้าไม่ต้องการสังหารใครอีกในวันนี้”

ผานกงสั่วหันกายกลับไป และเคลื่อนไหวไปทีละก้าวๆ เขาจ้องการเคลื่อนไหวของฉินมู่เขม็งพลางครุ่นคิด แม้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายและต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ได้ประโยชน์ใดเลย อย่างน้อยข้าก็ได้ขาเทวะสองข้าง…ช้าก่อน ขาเทวะสองข้าง…

ดวงตาของเขาลุกวาวเมื่อตระหนักว่าฉินมู่ยังคงยืนหันหลังให้แก่เขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ด้วยขาสองข้างนี้ ข้ายังต้องกลัวไอ้เด็กเปรตนี่อีกหรือ ข้ามีขาเทวะและความสามารถในการหลบหนีของข้าก็เป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า หากว่าข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ก็เพียงแค่วิ่งหนีไป! ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเร็วของข้าเป็นอันดับหนึ่งในโลก พลังการต่อสู้ของข้าก็จะพุ่งทะยานชี้ขึ้นเป็นเส้นตรง ข้าสามารถกำจัดเขาได้!

เขานั้นตื่นเต้นสุดๆ ขนาดที่ว่าหัวใจเขาเต้นโครมคราม แสงเย็นเยียบสาดส่องในดวงตาของเขา และขณะที่เขากำลังจะหยุดชะงักและลงมือนั่นเอง เขาก็พลันรู้สึกบางอย่าง และรีบกระโจนขึ้นไปบนอากาศ

แสงกระบี่พุ่งขึ้นมาจากทะเลทราย และตัดสะบั้นขาขวาเขาจากโคน!

ผานกงสั่วร้องกระอักด้วยความเจ็บ พลางตะโกนอยู่กลางอากาศ “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่รักษาคำพูด!”

ฉินมู่หันกลับไปและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ารักษาคำพูด ข้าตัดขาเจ้าไปเพียงข้างเดียวเมื่อครั้งก่อน ดังนั้นข้าก็จะคืนให้เจ้าหนึ่งข้าง แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีขาเทวะถึงสองข้างได้ ผู้สูงศักดิ์ ขออภัยที่ไม่ส่ง”

ข้างล่างนั่น แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบวาบราวกับเข็มเงินมากมายที่ร้อยสนไปมา ปกป้องขาเทวะข้างนั้นเอาไว้ พวกมันคือกระบี่แปดพันเล่มจากไจกระบี่ของฉินมู่ เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่เขาพยายามล่อลวงฉินมู่ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ลอบส่งไจกระบี่ของเขาเข้าไปในผืนทรายเหลืองแล้ว

ผานกงสั่วรู้ทันทีว่าเขาพลาดโอกาส และกัดฟันกรอด ดอกบัวอันสูงเท่าตัวคนปรากฏข้างหลังเขา

เขาถอยเข้าไปในดอกบัว และทั้งเขาและดอกบัวก็หายวับไปด้วยกัน

“จ้าวลัทธิฉิน ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะเด็ดหัวเจ้า!” เสียงของเขาดังมาจากที่ห่างไกลและห่างไกลขึ้นทุกที ก่อนที่จะหายลับไปในส่วนลึกของแดนทรายสีเหลืองทอง

“ผู้สูงศักดิ์กลายเป็นกล้าหาญและรู้จักคว้าโอกาสมากขึ้นทุกที” ฉินมู่หันกลับไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็โบยบินออกมาจากในทะเลทราย ส่งขาเทวะเข้าไปในหีบ “นี่เป็นเรื่องดี ในเมื่อเขามีความกล้าหาญและการรู้จักคว้าโอกาส ในครั้งหน้าจะสังหารเขาก็คงไม่เปลืองแรงเท่าที่เคย”

หีบตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และรีบอ้าฝาเพื่อรับขาข้างนั้นเข้าไปเป็นของสะสม

ฉินมู่มองไปที่ถ้อยคำบนหน้าผาและกล่าวด้วยเสียงเบา “หากว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะมาตามหาข้าหรือเปล่า หลายหมื่นปีที่เผชิญกับบทพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดจะลงเอยด้วยความตายของหญิงสาวโฉมสะคราญ กลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูหรือเปล่า…”

เขารออย่างเงียบงันที่ใต้หน้าผา ไม่จากไป

ภูเขาทั้งหลายในบริเวณโดยรอบถูกกัดเซาะไปจนหมด แต่ทำไมลูกนี้ถึงยังยืนยง

ความหวังในหัวใจของเขายังไม่ตาย

“จ้าวลัทธิ มีแท่นหลักจารึกหินแท่งอยู่ข้างๆ ภูเขา” ทันใดนั้นกิเลนมังกรก็เกิดค้นพบขึ้นมา

ฉินมู่หัวใจวูบไหว และเขารีบรุดเข้าไปชมดู กิเลนมังกรยืนอยู่ใกล้ๆ ศิลาจารึกแท่งหนึ่ง และมันอยู่ที่ตีนเขาดังนั้นจึงยากจะค้นพบ หากไม่เข้าไปดูอย่างละเอียด

หลักหินนี้ดูราวจะมีพลังอำนาจอันลึกลับที่ป้องกันมันจากลมและทราย ทำให้มันไม่ถูกกัดกร่อน

บนนั้นมีถ้อยคำอยู่จำนวนหนึ่ง

ฉินมู่มองดูและอึ้งไปเล็กน้อย ลายมือที่เขียนดูดุร้ายคุกคาม และเขียนไว้ว่า: ‘จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่ ผู้สูงศักดิ์วังทองโหรวหลัน ถูกกลบฝัง…’

ข้อความข้างล่างยากที่จะอ่าน ในเมื่อพวกมันจมอยู่ใต้ทรายเหลือง กิเลนมังกรกำลังจะก้าวเข้าไปและโกยทรายออก แต่ฉินมู่รีบบอกเตือนเขาทันที “มังกรอ้วน มันเป็นกับดัก! อย่าแตะต้องทรายบนหลักหิน!”

เมื่อกิเลนมังกรได้ยินคำว่ากับดัก เขาก็รีบถอยกลับมาทันที และไม่กล้าอยู่ใกล้แม้แต่วินาทีเดียว

ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “ใช้วิธีทำนองนี้เพื่อวางกับดักเอาไว้ นับว่าดูแคลนข้าเกินไปจริงๆ ข้อความข้างใต้หลักหินน่าจะเป็นว่า ถูกกลบฝังไว้ที่นี่ หากว่าข้าแตะต้องทราย มันก็จะกระตุ้นการทำงานของกับดัก และข้าก็จะตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!”

กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มและกล่าว “หากว่าเป็นชื่อของข้าอยู่บนนั้น ข้าก็คงจะต้องเข้าไปดูอย่างแน่นอน…”

ฉินมู่มองดูรอบๆ ไปทั่วทิศทางและเห็นว่าทะเลทรายเหลืองนี้รกร้างอย่างแท้จริง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีใครแอบซุ่มรออยู่ใกล้ๆ

“ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าก็ค่อนข้างอยากรู้อยู่หน่อยๆ”

สายตาของเขาวูบวาบ และเขามองหลักหินที่ถูกฝังไว้ใต้ทรายเหลืองขึ้นๆ ลงๆ กิเลนมังกรพลันสังหรณ์ไม่ดีและรีบกล่าว “จ้าวลัทธิ อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ!”

ฉินมู่รีบถอยไปอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากจะดูว่าบุคคลที่วางแผนร้ายใส่ข้ากับผู้สูงศักดิ์จะทิ้งนามเอาไว้หรือไม่ เขาเป็นคนหยิ่งผยองขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะต้องจารึกชื่อตนเองเอาไว้อย่างแน่นอน พวกเราถอยไปหนึ่งร้อยลี้กันเถอะ แล้วข้าจะร่ายเวทมนตร์เพื่อขยับทรายออกไปจากโคนของหลักหินนี้!”

…………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท