กาลเวลากวาดผ่านภูเขาและแผ่นดิน นำผู้คนในอดีตจากไป เหลือก็แต่ความทรงจำและประวัติศาสตร์อันถูกลืมเลือนทิ้งเอาไว้
กาลเวลาประดุจบทเพลง และยังคงเป็นเพลงเศร้า
ฉินมู่ยืนอยู่บนหีบขณะที่กอดเด็กสาวเมื่อแสงตะวันสาดส่องลงมาบนร่างพวกเขาราวกับกระแสเวลา ยามที่รังสีอาบไล้พวกเขา เด็กสาวในอ้อมกอดของเขาก็กลายเป็นละอองทรายที่ปลิ่วว่อนและไหลรี่กลับไปยังความมืด
แสงอาทิตย์แยงตาได้พร่างพรมทะเลทรายสีทองและสาดส่องลงไปบนเนินทรายรูปเกล็ดอันดารดาษ สถานที่นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นหุบเขา แม้ว่าภูเขาทั้งหลายรอบๆ จะไม่สูงตระหง่าน แต่ก็สร้างทิวทัศน์อันน่าหลงใหล
กระนั้นการผันเวียนของกาลเวลาก็ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยทรายเหลือง
ฉินมู่กระโดดลงจากหีบ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากที่จะระงับความหดหู่ใจ
หีบเปิดฝาออกมา และโยนกิเลนมังกรออกไป หีบเองก็ดูสับสนงงงวย เมื่อครู่นี้มันยังมีผู้คนหลายร้อยอยู่ในท้องชัดๆ แต่บัดนี้คนเหล่านั้นหายไปกันหมด
กิเลนมังกรทั้งหวาดผวาและว้าวุ่น เขานั้นเชื่อเรื่องโชคลางเอามากๆ และกลัวผีอย่างสุดๆ บัดนี้เขาแตกตื่นจนถึงขั้นเอาหัวมุดเข้าไปในทราย
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปยังหน้าผาเปลือยตรงหน้าเขาอันตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายสีเหลือง หลังจากผจญพายุทรายเป็นเวลาหลายหมื่นปี มันก็ยังคงไม่ถูกกัดเซาะหรือพังทลายลงมา
บนหน้าผา มันยังมีข้อความที่เขาเขียนทิ้งเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
“ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!”
ฉินมู่ตกตะลึง เขาได้ทิ้งร่อยรอยอันเป็นของเขาไว้ในประวัติศาสตร์
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนนี้มิใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งความฝัน เขาไม่อาจเข้าใจประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เขาได้พบพานในค่ำคืนนี้ได้ ไม่สามารถอธิบายว่าทำไมเขาถึงได้ย้อนกลับไปยังห้วงเวลาสามสี่หมื่นปีก่อน และทำไมเขาถึงได้เผชิญกับการรุกรานของความมืดร่วมกับผู้คนแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง
เขายังไม่สามารถอธิบายได้อีกว่า ทำไมเขาถึงได้ย้อนเวลากลับมาสู่ปัจจุบัน และทำไมยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถึงลับลาไปในความมืด
กระนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
เขาได้ต่อสู้ร่วมกับผู้คนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ได้ประจักษ์มรณสักขีและความทุกข์ทนที่พวกเขาเผชิญ เขายังได้เห็นสภาสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่กำลังจะทำลายล้างสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง อีกทั้งความตายและความพินาศที่มันก่อขึ้นมา
“ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง และยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกทำลายล้างเช่นกัน นี่เป็นสภาสวรรค์กลุ่มเดียวกันหรือเปล่าที่ทำเรื่องนี้”
เขามีการคาดเดาในใจ แต่เขาไม่มีหลักฐานมั่นคงที่จะพิสูจน์มัน
บางทีพวกที่อยากจะทำลายสันตินิรันดร์ก็อาจจะเป็นสภาสวรรค์เดียวกัน? ถ้าเช่นนั้น พวกเขามาจากไหน
ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วลอบออกมาอย่างเงียบเชียบและเงยศีรษะขึ้นมองดูหน้าผาโดดเดี่ยวกลางทะเลทราย เขาเพ่งพิศถ้อยคำบนนั้นและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าคงจะผิดหวังและเศร้าโศกมากสินะ ตอนนี้? บางทีเด็กสาวจากตระกูลป๋ายนั้นชมชอบเจ้า และเจ้าเองก็อาจจะชมชอบนางเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่นางรู้ว่าเจ้าจะต้องจากไป ดังนั้นนางจึงไม่พูดมันออกมา กาลเวลาช่างอำมหิตเสียจริง…”
สายตาของเขาวูบไหว และน้ำเต้าข้างหลังเขาก็พลันเปิดออกมาเพื่อให้ก้อนโลหิตลอยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยไม่กระโตกกระตาก
ผานกงสั่วจ้องแผ่นหลังฉินมู่เขม็ง ก้อนโลหิตบนท้องฟ้านั้นราวกับงูพิษที่บิดเอี้ยวไปมา เสียงของเขาก็เหมือนกับอสรพิษร้ายที่ชอนไชเข้าไปในหัวใจของฉินมู่ กัดแทะดวงวิญญาณของเขาและทำลายจิตเต๋า นี่ทำให้เด็กหนุ่มเผยช่องโหว่
“หากว่าเจ้ายังคงรั้งอยู่ในยุคสมัยนั้น ชีวิตของเจ้าคงแตกต่างจากตอนนี้มาก”
ผานกงสั่วค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า พลางปรับลมหายใจของเขา ทำให้เสียงของเขายิ่งหลอกล่อเป่าหู เขาบอกอีกฝ่ายถึงความเป็นจริงอันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“พวกเจ้าทั้งสองอาจจะได้ตกลงไปในแม่น้ำแห่งความรัก อาจจะมีบุตรธิดามากมาย เจ้าอาจจะได้เผชิญกับความเพลี่ยงพล้ำและอันตรายเป็นจำนวนมาก แต่ชีวิตของเจ้าคงจะตื่นเต้นน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม การผันผ่านของประวัติศาสตร์ก็จะเต็มไปด้วยสีสันตระการ ที่พวกเจ้าผัวเมียหนุ่มสาวได้ประสบพบพาน… น่าเสียดาย”
น้ำเสียงของเขาพลันเปลี่ยนแปลง ราวกับอาบไปด้วยพิษร้าย “น่าเสียดายที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน แยกจากกันเป็นหมื่นๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความชอบ ไม่ว่าอนาคตใดๆ ก็ล้วนแต่จะกลายเป็นทรายเหลืองอันกระจัดกระจายไปในกระแสกาลเวลา แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องหลอกลวง!”
เขาเผยรอยยิ้มประหลาด และเสียงของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวไปมารับกับรอยยิ้มพิลึกกึกกือของเขา “เด็กสาวตระกูลป๋ายอาจจะตายไปนานแล้ว หลังจากที่เจ้าจากไป นางคงจะตกตายในน้ำมือของผู้ไล่ล่า! แม้ว่านางจะหนีไปได้ นางก็คงจะตกแต่งกับคนอื่น ให้กำเนิดบุตรธิดา และกลายเป็นหญิงเฒ่า มีก็แต่เมื่อความงามของนางเริ่มจางลงไป บางครั้งบางครานางถึงจะจดจำได้ถึงเด็กหนุ่มที่พลันปรากฏตัวขึ้นมาและประคองหน้านางขึ้นมาดู! จ้าวลัทธิฉิน เจ้ามีความเศร้าโศกในหัวใจไหม มันได้กัดแทะและแพร่พิษในก้อนเนื้อตรงอกของเจ้าหรือเปล่า”
ผานกงสั่วเข้าใกล้เขามากขึ้นทุกที เสียงของเขาพิลึกกึกกือ ราวกับว่าราชามารกำลังกระซิบกระซาบจากนอกอวกาศ ล่อลวงคนผู้หนึ่งให้ตกต่ำเสื่อมถอย “นางได้ตายจากไป กลายเป็นฝุ่นผง สามสี่หมื่นปีก่อนในทะเลทรายแห่งนี้ที่เก็บซ่อนประวัติศาสตร์เอาไว้ นอกจากเจ้า เด็กหนุ่มอ่อนไหวคนนี้ ก็ไม่มีใครอื่นที่จะจดจำนางได้อีกต่อไป ก็แบบนั้นแหละ นางถูกท่วมจมลงในฝุ่นผงแห่งประวัติศาสตร์ และถูกกลบฝังไว้ใต้ทรายเหลืองอันปลิวไป”
เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าว “เมื่อยังเยาว์ เจ้าไม่รู้ความเศร้าใจและพิไรรำพัน และก็หลงลอยไปด้วยความรักความชอบ ไปจนถึงยอดฟ้าวิมาน ความรักของเจ้าจะเทียวไป! บัดนี้ความเศร้าใจและพิไรรำพันที่เจ้าได้ลิ้มรส ทั้งความขมขื่น หดหู่ใจ ได้กระซิบบอกเจ้า ถึงความคาดหวัง ที่เจ้าก็อกหักลงมา! จ้าวลัทธิฉิน ส่วนลึกของหัวใจเจ้านั้นเปราะบาง ให้ข้าช่วยจบมันให้…”
เขากำลังจะลงมือ แต่ข้างหลังเขา กิเลนมังกรร่างขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น เขาพลันเงื้อกรงเล็บมหึมาตะปบเขาลงกับพื้น
ผานกงสั่วรีบลุกขึ้น แต่ก็โดนตะปบลงไปอีกครั้ง กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าฟาดเขาลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เขากระอักเลือด “พูดอีกสิ แน่จริงก็พูดอีกสิ!”
ผานกงสั่วโมโหขึ้นมาทันที “ไอ้หมูอ้วน เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้านักหรืออย่างไร”
กรงเล็บของกิเลนมังกรที่คมกริบราวมีดดาบพลันโผล่ออกมา เตรียมที่จะแหวะพุงเขาอีก
ทันใดนั้น เสียงอันเงียบสงบของฉินมู่ก็ดังมา “มังกรอ้วน ไม่จำเป็นต้องทุบตีเขาหรอก ปล่อยเขาไป”
กิเลนมังกรตะลึงไปเล็กน้อย เขาถามด้วยความฉงน “จ้าวลัทธิ เจ้าหมอนี่มันชั่วร้ายสุดๆ เขานั้นเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้านหนีเอาชีวิตรอด และเขายังคิดจะทำร้ายท่านอีกด้วย! หากว่าพวกเราปล่อยเขาไปตอนนี้ ก็จะยิ่งยากที่จะจับตัวเขาอีกครั้งในอนาคต!”
“พวกเราต่อสู้ร่วมกัน และเขาก็ยังมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการกอบกู้ชีวิตผู้คนเหล่านั้น เขาสมควรจะได้รับโอกาสมีชีวิตต่ออีกสักครั้ง” ฉินมู่เอามือไพล่หลังและมองไปยังถ้อยคำบนหน้าผา สีหน้าของเขาสงบนิ่ง “ผู้สูงศักดิ์ ข้าจะไม่สังหารเจ้า ดังนั้นจงไปเสียเถอะ ครั้งหน้าที่พวกเราพบกัน ข้าค่อยเด็ดหัวเจ้า”
ผานกงสั่วปีนลุกขึ้นมายืนและปัดฝุ่นทรายออกจากเนื้อตัว ประกายตาของเขาวูบไหวและกล่าว “เจ้าแน่ใจหรือที่จะปล่อยข้าไปในครั้งนี้ ไม่ได้โกหกข้า? เจ้าคงไม่สังหารข้าตอนที่ข้าหันหลังกลับไป ใช่ไหม”
ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มีผู้คนตกตายไปมากพอแล้ว และข้าไม่ต้องการสังหารใครอีกในวันนี้”
ผานกงสั่วหันกายกลับไป และเคลื่อนไหวไปทีละก้าวๆ เขาจ้องการเคลื่อนไหวของฉินมู่เขม็งพลางครุ่นคิด แม้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายและต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ได้ประโยชน์ใดเลย อย่างน้อยข้าก็ได้ขาเทวะสองข้าง…ช้าก่อน ขาเทวะสองข้าง…
ดวงตาของเขาลุกวาวเมื่อตระหนักว่าฉินมู่ยังคงยืนหันหลังให้แก่เขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ด้วยขาสองข้างนี้ ข้ายังต้องกลัวไอ้เด็กเปรตนี่อีกหรือ ข้ามีขาเทวะและความสามารถในการหลบหนีของข้าก็เป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า หากว่าข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ก็เพียงแค่วิ่งหนีไป! ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเร็วของข้าเป็นอันดับหนึ่งในโลก พลังการต่อสู้ของข้าก็จะพุ่งทะยานชี้ขึ้นเป็นเส้นตรง ข้าสามารถกำจัดเขาได้!
เขานั้นตื่นเต้นสุดๆ ขนาดที่ว่าหัวใจเขาเต้นโครมคราม แสงเย็นเยียบสาดส่องในดวงตาของเขา และขณะที่เขากำลังจะหยุดชะงักและลงมือนั่นเอง เขาก็พลันรู้สึกบางอย่าง และรีบกระโจนขึ้นไปบนอากาศ
แสงกระบี่พุ่งขึ้นมาจากทะเลทราย และตัดสะบั้นขาขวาเขาจากโคน!
ผานกงสั่วร้องกระอักด้วยความเจ็บ พลางตะโกนอยู่กลางอากาศ “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่รักษาคำพูด!”
ฉินมู่หันกลับไปและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ารักษาคำพูด ข้าตัดขาเจ้าไปเพียงข้างเดียวเมื่อครั้งก่อน ดังนั้นข้าก็จะคืนให้เจ้าหนึ่งข้าง แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีขาเทวะถึงสองข้างได้ ผู้สูงศักดิ์ ขออภัยที่ไม่ส่ง”
ข้างล่างนั่น แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบวาบราวกับเข็มเงินมากมายที่ร้อยสนไปมา ปกป้องขาเทวะข้างนั้นเอาไว้ พวกมันคือกระบี่แปดพันเล่มจากไจกระบี่ของฉินมู่ เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่เขาพยายามล่อลวงฉินมู่ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ลอบส่งไจกระบี่ของเขาเข้าไปในผืนทรายเหลืองแล้ว
ผานกงสั่วรู้ทันทีว่าเขาพลาดโอกาส และกัดฟันกรอด ดอกบัวอันสูงเท่าตัวคนปรากฏข้างหลังเขา
เขาถอยเข้าไปในดอกบัว และทั้งเขาและดอกบัวก็หายวับไปด้วยกัน
“จ้าวลัทธิฉิน ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะเด็ดหัวเจ้า!” เสียงของเขาดังมาจากที่ห่างไกลและห่างไกลขึ้นทุกที ก่อนที่จะหายลับไปในส่วนลึกของแดนทรายสีเหลืองทอง
“ผู้สูงศักดิ์กลายเป็นกล้าหาญและรู้จักคว้าโอกาสมากขึ้นทุกที” ฉินมู่หันกลับไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็โบยบินออกมาจากในทะเลทราย ส่งขาเทวะเข้าไปในหีบ “นี่เป็นเรื่องดี ในเมื่อเขามีความกล้าหาญและการรู้จักคว้าโอกาส ในครั้งหน้าจะสังหารเขาก็คงไม่เปลืองแรงเท่าที่เคย”
หีบตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และรีบอ้าฝาเพื่อรับขาข้างนั้นเข้าไปเป็นของสะสม
ฉินมู่มองไปที่ถ้อยคำบนหน้าผาและกล่าวด้วยเสียงเบา “หากว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะมาตามหาข้าหรือเปล่า หลายหมื่นปีที่เผชิญกับบทพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดจะลงเอยด้วยความตายของหญิงสาวโฉมสะคราญ กลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูหรือเปล่า…”
เขารออย่างเงียบงันที่ใต้หน้าผา ไม่จากไป
ภูเขาทั้งหลายในบริเวณโดยรอบถูกกัดเซาะไปจนหมด แต่ทำไมลูกนี้ถึงยังยืนยง
ความหวังในหัวใจของเขายังไม่ตาย
“จ้าวลัทธิ มีแท่นหลักจารึกหินแท่งอยู่ข้างๆ ภูเขา” ทันใดนั้นกิเลนมังกรก็เกิดค้นพบขึ้นมา
ฉินมู่หัวใจวูบไหว และเขารีบรุดเข้าไปชมดู กิเลนมังกรยืนอยู่ใกล้ๆ ศิลาจารึกแท่งหนึ่ง และมันอยู่ที่ตีนเขาดังนั้นจึงยากจะค้นพบ หากไม่เข้าไปดูอย่างละเอียด
หลักหินนี้ดูราวจะมีพลังอำนาจอันลึกลับที่ป้องกันมันจากลมและทราย ทำให้มันไม่ถูกกัดกร่อน
บนนั้นมีถ้อยคำอยู่จำนวนหนึ่ง
ฉินมู่มองดูและอึ้งไปเล็กน้อย ลายมือที่เขียนดูดุร้ายคุกคาม และเขียนไว้ว่า: ‘จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่ ผู้สูงศักดิ์วังทองโหรวหลัน ถูกกลบฝัง…’
ข้อความข้างล่างยากที่จะอ่าน ในเมื่อพวกมันจมอยู่ใต้ทรายเหลือง กิเลนมังกรกำลังจะก้าวเข้าไปและโกยทรายออก แต่ฉินมู่รีบบอกเตือนเขาทันที “มังกรอ้วน มันเป็นกับดัก! อย่าแตะต้องทรายบนหลักหิน!”
เมื่อกิเลนมังกรได้ยินคำว่ากับดัก เขาก็รีบถอยกลับมาทันที และไม่กล้าอยู่ใกล้แม้แต่วินาทีเดียว
ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “ใช้วิธีทำนองนี้เพื่อวางกับดักเอาไว้ นับว่าดูแคลนข้าเกินไปจริงๆ ข้อความข้างใต้หลักหินน่าจะเป็นว่า ถูกกลบฝังไว้ที่นี่ หากว่าข้าแตะต้องทราย มันก็จะกระตุ้นการทำงานของกับดัก และข้าก็จะตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!”
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มและกล่าว “หากว่าเป็นชื่อของข้าอยู่บนนั้น ข้าก็คงจะต้องเข้าไปดูอย่างแน่นอน…”
ฉินมู่มองดูรอบๆ ไปทั่วทิศทางและเห็นว่าทะเลทรายเหลืองนี้รกร้างอย่างแท้จริง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีใครแอบซุ่มรออยู่ใกล้ๆ
“ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าก็ค่อนข้างอยากรู้อยู่หน่อยๆ”
สายตาของเขาวูบวาบ และเขามองหลักหินที่ถูกฝังไว้ใต้ทรายเหลืองขึ้นๆ ลงๆ กิเลนมังกรพลันสังหรณ์ไม่ดีและรีบกล่าว “จ้าวลัทธิ อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ!”
ฉินมู่รีบถอยไปอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากจะดูว่าบุคคลที่วางแผนร้ายใส่ข้ากับผู้สูงศักดิ์จะทิ้งนามเอาไว้หรือไม่ เขาเป็นคนหยิ่งผยองขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะต้องจารึกชื่อตนเองเอาไว้อย่างแน่นอน พวกเราถอยไปหนึ่งร้อยลี้กันเถอะ แล้วข้าจะร่ายเวทมนตร์เพื่อขยับทรายออกไปจากโคนของหลักหินนี้!”
…………….