ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 498 ท้องพระโรงราชาฉินแห่งยมโลก

ตอนที่ 498 ท้องพระโรงราชาฉินแห่งยมโลก

ฉินมู่และกิเลนมังกรมีสีหน้าตะลึงลาน พวกเขาเงยศีรษะขึ้นมองดูสัตว์ยักษ์ข้างๆ พูดอะไรไม่ออก

เต๋าตี้นี้ยืนข้างๆ พวกเขาราวกับแพะภูเขาที่ใหญ่เท่าภูเขา ขาหน้าสองข้างของมันแข็งแกร่ง และขาก็ทั้งหนาและสั้นเต่อ ขนบนร่างกายของมันมีลวดลายทองแดง ม้วนขดเป็นวงๆ

สัตว์ยักษ์นี้มีใบหน้ามนุษย์ แต่เค้าโครงหน้าประหลาดพิสดารอย่างสุดๆ ดวงตาของมันอยู่ใต้รักแร้ ตรงจุดที่ขาหน้าเชื่อมต่อกับหน้าอก ปากของมันเป็นสี่เหลี่ยมและอ้ากว้าง เต็มไปด้วยเขี้ยวเสือ เขาแพะของมันชี้ชันออกไปราวกับหนาม ดูดุร้ายเป็นพิเศษ!

หีบของซิงอ้านทำมาจากหนังเต๋าตี้ อันถูกใช้ที่พื้นผิวภายนอกของหีบ และกระดูกอันใช้ขึ้นรูปเป็นโครง

พึงรู้ว่าฉินมู่ก็มีถุงเต๋าตี้สองใบ แต่จำนวนหนังที่ใช้ทำมันขึ้นมานั้นกว้างอย่างมากก็หนึ่งตารางคืบ กระนั้นพื้นผิวภายนอกหีบนี้กลับใช้หนังของเต๋าตี้ทั้งตัว!

หากว่านับกระดูกเต๋าตี้ที่ใช้ค้ำยันพื้นที่ข้างในแล้ว หีบนี้อาจกล่าวได้ว่าหรูหราอย่างไม่มีใครทัดเทียมได้!

ถุงเต๋าตี้ของฉินมู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าพื้นที่ภายในของมันมิได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอก ในทางกลับกัน หีบนี้ได้กลายร่างเป็นเต๋าตี้ก็เพราะว่าพื้นที่ภายในของมันเชื่อมต่อกับโลกภายนอก!

การแปลงร่างของหีบนั้นค่อนข้างช้ากว่าคนอื่นๆ ก็เพราะว่าพื้นที่ภายในนั้นนับเป็นโลกมิติหนึ่งในตนเอง เมื่อมันพ่นทุกๆ คนที่อยู่ในท้องออกมา หีบก็ได้เปิดอ้าออก อันส่งผลให้พื้นที่ภายในของมันเข้ามาสัมผัสกับยมโลก ดังนั้นหีบจึงได้รับผลกระทบจากแดนเป็นของคนตาย

ฉินมู่ละสายตาของเขาออกไป และรีบคว้าจับถุงเต๋าตี้ที่สะอาด คิดในใจ ถุงเต๋าตี้ข้าต้องเก็บไว้ดีๆ ข้าไม่อาจเปิดมันออกโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นไม่ที่เอวข้าจะไม่ได้สะพายถุงเต๋าตี้ แต่จะเป็นเต๋าตี้สองตัวแทน…

เต๋าตี้ตัวเท่าภูเขาสองตัวเหน็บอยู่ที่สะเอวของเขาและบีบเขาเอาไว้ตรงกลางนั้น คงมิใช่อะไรที่น่าดูชม ไม่ว่าจะถูกเบียดเค้นหรือถูกชน เขาก็คงจะตายอย่างน่าอนาถ!

เต๋าตี้ที่แปลงร่างออกมาจากหีบยกอุ้งเท้าของมันขึ้น ยังงุนงงว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้

แต่ทว่า มันก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย และออกตัวพุ่งไปไล่ตามผู้คนที่วิ่งหนีไปทางยมโลกทันที มันอ้าปากกว้างด้วยความเริงร่าและพยายามจะกลืนพวกเขาเข้าไปทั้งหมด

แม้ว่ามันจะได้รับผลกระทบจากแดนเป็นของคนตาย แต่จิตใจของมันก็ยังคงเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นหีบที่ถูกปลุกวิญญาณโดยฉินมู่

คนตายที่ถูกมันไล่ตามมาตื่นตกใจจนขวัญบิน ถึงขนาดที่ว่ามือไม้อ่อนเปลี้ย

เต๋าตี้นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่โด่งดังในเรื่องว่ามันจะสวาปามทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เคยเลือกกิน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ทุกๆ คนจะหนีพล่านไปทั่วทุกที่ด้วยความตื่นกลัว

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเรียกสัตว์ยักษ์ตัวนี้กลับมา หีบเต๋าตี้วิ่งกลับมาและมองไปยังพวกที่วิ่งหนีด้วยสายตาละห้อย เมื่อมันเห็นกิเลนมังกร มันก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและอ้าปากอันกว้างขวางอย่างผิดธรรมดา

กิเลนมังกรขนลุกชูชันและเขารีบกล่าว “เจ้ากินข้าไม่ได้นะ! ข้านับเจ้าเป็นสหายรัก แต่เจ้ากลับคิดจะกินข้า คุณธรรมน้ำมิตรอยู่ที่ไหนกัน”

ฉินมู่ปลอบโยนเขา “ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้คิดจะกินเจ้าหรอก มันแค่ชอบเก็บสะสมกระดูก มือ และขา…คายข้าออกมานะ รีบคายข้าออกมาเร็วเข้า! ไอ้หีบที่น่าตาย ไอ้หีบโง่ ถึงกับกินข้าเลยหรือ! รีบคายข้าออกมาเดี๋ยวนี้…”

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเทพยดาแห่งที่หนึ่งในยมโลก ที่สถานที่แห่งนี้ ฉินมู่เห็นผู้คนแปลกประหลาดต่างๆ นานา บางคนก็ไม่มีหัว บ้างก็มีรูโหว่ที่หน้าอก และบ้างก็แขนขาดขาขาด

แต่ทว่า ก็ยังมียอดฝีมือหลายคนที่ตายตามปกติธรรมดา ดังนั้นแขนและขาของพวกเขาจึงยังอยู่ดี

มีผู้คนมามากอยู่ในเมืองเทพยดาแห่งที่หนึ่ง และก็ยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ลอยไปมาในอากาศ พวกมันดูไม่เหมือนคนตาย แต่ดูเหมือนพรายวิญญาณ

“นั่นเป็นดวงวิญญาณที่แตกซ่านของยอดฝีมือ ดวงวิญญาณที่ไม่ครบสมบูรณ์ของพวกเขาลอยไปลอยมาแถวๆ นี้ แต่ทว่าแม้ในแดนยมโลก เขาก็ไม่มีร่างเนื้อเป็นของตนเอง” เทพหัวนกฉือซิ่วกล่าว “อย่าไปมองพวกเขา ระวังจะโดนสิง”

ฉินมู่เบือนสายตาออกไป แต่ทว่าความอยากรู้อยากเห็นของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา แทนที่เขาจะมองไปยังดวงวิญญาณขาดแหว่งอันลอยวนเวียน เขาก็สำรวจตรวจตราดูคนอื่นๆ

ไม่นานนักเขาก็พบสิ่งประหลาด นอกจากดวงวิญญาณขาดแหว่งบนท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีผู้คนที่ปราศจากร่างเนื้อด้วยเช่นกัน!

มีผู้คนหลายคนที่ไม่มีร่างเนื้อเลยสักกระผีก เหลือก็แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา!

แต่กระนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว เพียงแต่ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขามีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากร่างมนุษย์ พวกเขามักจะมีรูปลักษณ์แบบสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

จิตวิญญาณดั้งเดิมที่พบได้บ่อยที่สุดก็จะเป็นสี่มหากายาวิญญาณ อันได้แก่เทพหงส์แดง เทพเต่าดำ เทพมังกรเขียว และเทพพยัคฆ์ขาว

แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ หลายตนนั้นมหัศจรรย์พันลึกเสียเกินกว่าจะบรรยาย มีเทพเจ้าหน้าอสูรอันมีใบหน้าสีเขียวและเขี้ยวยักษ์อสูรที่โผล่ออกมาจากปาก เทพหัววัวที่มีเขาบนหัวและมีเพลิงไฟห่อหุ้มรอบร่างกาย เทพหัวมนุษย์และร่างงู เทพที่มีสามหัวหกแขน และเทพอื่นๆ ทุกรูปแบบ

ผู้คนเหล่านี้มิใช่ดวงวิญญาณอันขาดแหว่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาครบสมบูรณ์ พวกเขามาจากที่ไหน ในเมื่อพวกเขามีจิตวิญญาณดั้งเดิมแต่ไม่มีร่างเนื้อที่นี่ หรือว่ากายเนื้อของเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่

ฉินมู่พลันจับสังเกตประเด็นสำคัญ

กายเนื้อของจิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่!

เขาจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง มีจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกรูปลักษณ์อยู่ในเมือง เพียงแค่ชั่วระยะเวลาที่เขาเดินเข้าเมืองมา เขาก็ได้เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้มากกว่าสองร้อยตน นี่มิได้แปลว่ามีเทพเจ้ามากกว่าสองร้อยที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ

พวกเขาเหล่านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ใดในโลกหล้า

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเลขสองร้อยนี้ยังนับเท่าที่เขาเห็นระหว่างการเดินเข้าเมืองมา นี่หมายความว่าในเมืองแห่งนี้ยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอยู่อีกมาก

อีกอย่าง เมืองแห่งนี้ยังเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเมืองเทพยดาในยมโลก จากที่เขาเคยไปเมื่อคราวก่อนที่มาเยือนยมโลก มันน่าจะมีเมืองยมโลกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นสถานที่นี้ มันน่าจะมีเก้าเมืองหรือสิบเมือง และแต่ละเมืองก็กว้างใหญ่ไพศาล!

ถ้าอย่างนั้น ในโลกหล้ายังมีเทพเจ้าอาศัยอยู่อีกจำนวนเท่าใดกันแน่

ทำไมเทพเจ้าเหล่านี้จึงละทิ้งร่างเนื้อของตนเองและเข้ามาในยมโลก ร่างเนื้อของพวกเขาอยู่ที่ไหน…ช้าก่อน!

ฉินมู่จิตกระเจิดกระเจิง และปราณและโลหิตก็แล่นพล่านเข้าไปในหัวสมองของเขา ทำให้หูเขาอึ้งอึงไปหมด

ในโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่มากมาย!

เพียงแต่ว่าพวกเขาได้กลายไปเป็นรูปสลักหิน!

มีรูปสลักหินมากมายที่ปกป้องพิทักษ์ผู้คนในแดนโบราณวินาศ!

นี่ก็แปลว่าพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอดเวลาและกลับมาเป็นเทพเจ้า มิใช่หรือ

การคาดเดานี้น่าตื่นตระหนกจนเกินไป!

เหตุการณ์ประหลาดพิสดารมากมายในแดนโบราณวินาศได้รบกวนจิตใจของฉินมู่มาช้านาน แต่หากว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง เขาก็จะสามารถอธิบายความแปลกพิสดารนี้ได้ส่วนหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่วิหารราชาสวรรค์อันรูปสลักหินราชาสวรรค์ได้ขี่กิเลนมังกรออกไปสังหารราชามังกรในยามค่ำคืน!

ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่รูปสลักเทพค้างคาวขาวฟื้นคืนชีพ!

และยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขาและผู้ใหญ่บ้านท่องตระเวนไปในค่ำคืนของแดนโบราณวินาศและพบเห็นการต่อสู้ระหว่างเทพและมาร!

แน่นอนว่า ก็ยังคงมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้อีกมากมาย ในเหตุการณ์การสังหารราชามังกร ราชาสวรรค์แห่งวิหารราชาสวรรค์ได้ออกไปตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อประหารราชามังกรอันก่อกบฏ แล้วบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้งมาจากที่ใด

ในเหตุการณ์ของรูปสลักเทพค้างคาวขาว ทำไมถึงมีเทพเจ้าที่ดูเหมือนจะเป็นกายาจ้าวแดนดิน แข็งเป็นหินอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาภูตผี ทำไมถึงมีช่องทางเข้าไปยังแดนใต้พิภพอยู่ที่นั่น

ระหว่างการต่อสู้ระหว่างเทพและมาร ใครคือฝ่ายที่ต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศ

ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งหลายแห่งยมโลกก็ไม่สามารถอธิบายภาพของการซ้อนเหลื่อมกันของห้าโลกมิติที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง พวกเขาก็ยังไม่สามารถใช้อธิบายได้ว่าฉินมู่ย้อนเวลาไปยังสมัยโบราณได้อย่างไร

ภาพพิสดารในแดนโบราณวินาศนี่ยังกับทะเลหมอก หลังจากกวาดหมอกออกไปหอบหนึ่ง ก็ยังมีหมอกอีกข้างหน้า ทำให้ยากจะมองเห็นข้อเท็จจริง ฉินมู่คิด

พวกเขามาถึงแม่น้ำอันกว้างใหญ่ในเมือง มันมีสะพานเหินหาวที่เชื่อมต่อระหว่างสองฟากฝั่ง ฉินมู่เดินไปที่ราวสะพานและก้มลงมองดู แต่เขาเห็นเพียงหมอกหนาที่กระเพื่อมขึ้นลงแทนที่จะเป็นมวลน้ำ และในบางครั้ง เขาก็มองเห็นเงาร่างที่ลื่นเมือกเลื้อยว่ายอยู่ในนั้น

“สถานที่นี้เชื่อมต่อกับทะเลหมอกหรือเปล่า” เขาไต่ถาม

“ไม่ อีกฟากของหมอกหนานี้คือแดนใต้พิภพ พวกเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ” เทพหัวนกฉือซิ่วกล่าว

“สิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ?” ฉินมู่จิตใจงุนงงไปหมด เขาพึมพำ “ยมโลกและแดนใต้พิภพเชื่อมต่อกันอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแดนใต้พิภพไม่โจมตีที่นี่หรือ”

เทพฉือซิ่วไม่อธิบาย เขาพาพวกเขาเดินข้ามสะพานแห่งความจนปัญญา และมายังโถงวังศักดิ์สิทธิ์ มันถูกเรียกว่าท้องพระโรงราชาฉิน เมื่อฉินมู่มองเห็นคำเหล่านี้บนป้ายขวางเหนือประตู เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไป

ทำไมโถงวังศักดิ์สิทธิ์นี้ถึงเรียกว่าท้องพระโรงราชาฉิน หรือว่าเจ้าของโถงวังก็แซ่ฉินเช่นกัน

เขาฉงนฉงาย แต่เทพหัวนกได้นำตัวพวกเขาเข้าไปในโถง ในตอนนั้นเอง ท้องพระโรงก็ถูกจุดสว่างไปหมด แต่แสงที่ส่องออกมาให้ความรู้สึกว่างเปล่า มันเหมือนกับว่านี่มิใช่เปลวไฟอันแท้จริง แสงของมันขมุกขมัว

บนสองข้างท้องพระโรง มีรูปสลักอันเคร่งขรึมน่าเกรงขามของเทพเจ้าภูตผี พวกเขาทั้งสูงตระหง่านและมีรูปลักษณ์อันพิลึกกึกกือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายพวกเขาแตกต่างไปจากผู้คนโดยทั่วไป ที่เอวของพวกเขาคาดสายห้อยอาวุธต่างๆ มากมาย และถือในมือด้วย อย่างเช่นมีด หอก กระบี่ ง้าวโล่ ตรา และแม้กระทั่งงูยักษ์

ฉินมู่หยุดตรงหน้ารูปสลักหนึ่งเพื่อเพ่งพิศดู หมายจะศึกษารอยประทับอักษรรูนบนร่างของมัน แต่ทันใดนั้นลูกตาของรูปสลักเทพภูตผีก็กลอกมามองเขาด้วยความสนใจใคร่รู้

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และผงะถอยไปหนึ่งก้าว ลูกตาของรูปสลักเทพภูตผีก็กลอกกลับไปมองตรงเหมือนเดิม ทำให้เขาคิดว่าตาฝาดไป

พวกนี้ไม่ใช่รูปสลัก แต่เป็นเทพภูตผีตัวจริง!

ฉินมู่พลันกลายเป็นเจี๋ยมเจี้ยมเรียบร้อย และเดินตามเทพฉือซิ่วไป

ในท้องพระโรงใหญ่ เทพเจ้าที่สวมผ้าคลุมหลังสีดำนั่งตรงตระหง่านและไม่ไหวติง กำลังอ่านฎีกาอย่างเคร่งเครียด

เทพฉือซิ่วโค้งคารวะและกล่าว “ท้าวยมราช อาชญากรฉินมู่ ซิงอ้าน และเทพหมอผีขุยได้ถูกจับกุมมาแล้ว รอรับคำสั่งของท่าน!”

เทพชุดดำผู้นี้วางพู่กันผงชาดในมือลงและยกมมือขึ้น ใบหน้าของเขาภายใต้ผ้าคลุมมิอาจมองเห็นได้ถนัดถนี่ มีก็แต่แสงเลือนสองจุดเท่านั้นที่เห็นอยู่ลางๆ

“อายุขัยตามลิขิตของซิงอ้านนั้นยังไม่สิ้นสุด และเขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของยมโลกของข้า ดังนั้น ปล่อยเขาไป”

เทพฉือซิ่วตะลึงไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งและปล่อยซิงอ้านไป

“ซิงอ้าน แม้ว่าเจ้าก่อกรรมทำชั่วมามาก แต่ยมโลกไม่จัดการกับผู้คนที่ยังไม่ตาย” ท้าวยมราชกล่าว “เจ้าสามารถไปได้”

ซิงอ้านประหลาดใจระคนดีใจ เขายิ้มหยันแล้วกล่าว “ที่แท้ยมโลกก็ยังเป็นสถานที่อันมีเหตุมีผลอยู่บ้าง ยอดเยี่ยม ข้าลาก่อน!”

เขากำลังจะขยับ แต่ร่างกายยี่สิบสามสิบร่างในตัวเขาไม่ยินยอม พวกเขาเหล่านั้นทำให้ซิงอ้านก้าวออกไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!

ซิงอ้านทั้งตื่นตระหนกทั้งเดือดดาล ร่างกายเหล่านี้กำลังดิ้นรน หวีดร้องและสาปแช่ง หมายที่จะตอบแทนเขาอย่างสาสม!

“ท้องพระโรงราชาฉินจะให้ผู้คนมาอึกทึกโวยวายได้อย่างไร?” เสียงของท้าวยมราชกลายเป็นไม่พอใจ “โยนเขาออกไป”

ทันใดนั้น ‘รูปสลัก’ เทพภูตผีสองตนก็ขยับ เทพภูตผีทั้งสองนั้นถือสามง่ามเข้ามาแทงซิงอ้าน และโยนเขาออกไปจากท้องพระโรง

“ไหนเจ้าว่าจะให้ข้าออกไป ทำไมพวกเจ้ายังเก็บข้าเอาไว้ในยมโลก” ซิงอ้านถามด้วยความโมโห

เทพฉือซิ่วยิ้มหยัน “เจ้าจะโทษคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเดินออกไปเองไม่ได้ โง่เง่า”

ท้าวยมราชมองไปที่เทพหมอผีขุยผู้ซึ่งไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มหยันและกล่าว “อายุขัยของข้าก็ยังไม่สิ้นสุดเช่นกัน ตาเฒ่าฉิน เจ้าก็ควรปล่อยข้าไปด้วยมิใช่หรือ”

ตาเฒ่าฉิน? หัวใจฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรง ท้าวยมราชก็มีแซ่ฉินอย่างงั้นหรือ เขาคือใครกันแน่

ท้าวยมราชมองไปด้วยสายตาอันไม่ยินดียินร้าย “ยมโลกของข้าจะคร่าชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าได้ก่อกรรมทำชั่วมากมาย และมีผู้คนในยมโลกที่ตายไปในน้ำมือของเจ้า ดวงวิญญาณของพวกเขากระเจิดกระเจิงจากการสักการะของเจ้า เจ้าจะตายไปก็ไม่มีใครเวทนา”

เทพหมอผีขุยไร้ความกลัวและหัวเราะในคอ “แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ยมโลกของเจ้าก็เป็นเพียงที่ดินอันแย่งชิงมาจากแดนใต้พิภพ ยมโลกเป็นเพียงสถานที่ที่พวกซากทัพมารวมตัวกัน ก่อสร้างขึ้นมาเลียนแบบแดนใต้พิภพ พยายามอย่างไร้ประโยชน์ที่จะล้มล้างสรวงสวรรค์! มรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพที่เจ้าใช้สอย นั้นก็เป็นเพียงแค่ของเล่นหยาบกร้านอันไม่สะดุดตาข้าเลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับทักษะเทวะแดนใต้พิภพแห่งสภาสวรรค์ เจ้านั้นอยู่ห่างชั้นเป็นหมื่นลี้”

“ข้าได้รับมอบแดนครองและบรรดาศักดิ์จากสรวงสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่อยู่ใต้กำกับของแดนใต้พิภพ ข้าสามารถตกตายในเงื้อมมือของใครก็ได้ แต่จะไม่เป็นอันตรายจากมรรคา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพ! เจ้าสังหารข้าไม่ได้!”

ท้าวยมราชยังไม่หวั่นไหว และน้ำเสียงของเขาเยือกเย็น “สาเหตุที่พวกเราจับตัวเจ้าแทนที่จะสังหารเจ้านั้นก็เพื่อจะเข้าใจศัตรูของพวกเราผ่านตัวเจ้า ไปนำกระจกสามชีวิตมา และค้นหามรรคา วิชา และทักษะเทวะ รวมทั้งประสบการณ์ชีวิตของเขา รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!”

เทพภูตผีในท้องพระโรงราชาฉินเดินลงมาจากแท่นเวทมนตร์และก้าวมายังเบื้องหน้าเทพหมอผีขุย ราชาผีตนนี้มีผิวหนังสีเขียวและมีปีกเล็กอย่างน่าเวทนาสองปีก บนหัวของเขามีเขาหลายเขา และในปากก็มีเขี้ยวงางอกออกมา ทำให้ปากของเขาดูกว้างเป็นพิเศษ

มันพลันเปิดอ้าออก และกว้างมากเสียยิ่งกว่าร่างกายของเขา ปากนั้นใหญ่มหึมาขนาดที่ว่าทำให้ผู้ชมดูต้องขนหัวลุกสุดเหยียด!

ปากของเขาราวกับประตูอันมีแสงเข้ามารวบรวมกันเพื่อก่อรูปขึ้นมาเป็นกระจกบานใหญ่อันฉายส่องลงไปบนเทพหมอผีขุย

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยหวีดร้องโหยหวน และพลันแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไอสีเขียวที่ถูกดูดซับเข้าไปในกระจก

จากตอนนั้นภาพที่เห็นในกระจกจึงเริ่มเปลี่ยน มันแสดงชีวิตทั้งชีวิตของเทพหมอผีขุยในทางย้อนกลับ นับตั้งแต่วินาทีที่เทพฉือซิ่วจับตัวเขา เวลาไหลกลับ ย้อนทวนทิศทางถอยหลัง

ภาพทุกภาพบนกระจกถูกแสดงออกมาเพียงชั่วแวบ ซิงอ้านสยบเทพหมอผีขุย เขาถูกผู้สูงศักดิ์แทงข้างหลัง เขาใช้บันทึกเป็นตายเพื่อสักการะชีวิตนับพันล้านให้สิ้นสุด สังหารแม่ทัพของศัตรู ย้อนกลับไปจนถึงการต่อสู้แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เวลาในกระจกย้อนไปในยุคโบราณ และประสบการณ์ของเขาก็เผยแสดงออกมาโดยไม่มีซ่อนเร้น!

ฉินมู่หนังหัวชาวูบ หากว่าใครถูกกระจกสามชีวิตจับเอาไว้ได้ จะเหลือความลับที่ไหนอีกล่ะ

……………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท