ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 502 ทุบตีบรรพจารย์จนน่วม

ตอนที่ 502 ทุบตีบรรพจารย์จนน่วม

บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายมีสีหน้าพิลึก ผู้ใหญ่บ้านบอกพวกเขาว่า เขาได้กุเรื่องกายาจ้าวแดนดินขึ้นมาเอง อันเป็นคำโกหกด้วยความหวังดีเพื่อกระตุ้นปลุกใจฉินมู่ กายธรรมดานี้ ให้พากเพียรขวนขวาย และอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็เชื่อเขา

แต่ที่ขั้นวรยุทธเดียวกัน กษัตริย์มนุษย์ฉีคังถึงกับเสียเปรียบตั้งแต่กระบวนท่าแรก หลังจากนั้นเขาก็ถูกอัดจนน่วมถึงขั้นที่ว่าไม่น่าจะเป็นเพียงกายธรรมดาที่ขวนขวายพากเพียร!

เป็นไปได้อย่างไรที่เพียงแค่กายธรรมดาอันขวนขวายพากเพียรจะสามารถทุบตีกษัตริย์มนุษย์คนหนึ่งให้น่วมขนาดนี้ได้

เพราะอย่างนี้ แม้แต่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ากายาจ้าวแดนดินอาจจะมีอยู่จริงๆ ในโลก

บนสะพาน ปราณชีวิตของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานแปรเปลี่ยนเป็นมือมหึมาและจิ้มกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอันกำลังลอยไปตามน้ำ ด้วยนิ้วอันขาวสล้างเหมือนกับหยก

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังนอนแผ่แขนอ้าออกและจ้องไปที่ท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาไม่กระดุกกระดิก และหลังจากที่ถูกจิ้ม เขาก็จมลงไปในน้ำ ก่อนที่จะลอยขึ้นมาใหม่

“ศิษย์รัก เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือยังที่ถูกศิษย์หลานของตนเองอัดจนน่วมน่ะ” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานถามพลางกลั้นหัวเราะ

“ตาเฒ่าที่น่าตาย อย่าจิ้มข้า ปล่อยให้ข้าอยู่สงบๆ บ้าง” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเพียงแค่ยังไม่หายงงจากการถูกทุบตี ไม่ใช่ว่าข้ายอมรับความพ่ายแพ้! ข้าเพียงต้องการเวลาคิดใคร่ครวญว่าทำไมข้าถึงพ่ายแพ้…”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานระเบิดหัวเราะและเริงร่าในความโชคร้ายของศิษย์ “ยังพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้น่ะ”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพลิกตัวคว่ำ และลอยไปบนน้ำโดยหงายก้นขึ้นมา ปล่อยให้กระแสน้ำพัดเขาไปไกล

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงและตะโกนไป “อาจารย์ปู่ ระวังจะสำลักน้ำนะ!”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหัวเราะ “ไอ้เด็กนี่มันก็เป็นเสียอย่างนี้เมื่อเขาพ่ายแพ้ ไม่ต้องสนใจเขา เขานั้นกำลังปาดป้ายน้ำตา และไม่อยากให้เจ้าเห็น”

ฉินมู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาได้ทุบตีอาจารย์ปู่ของเขาจนต้องไปร่ำไห้อยู่ในแม่น้ำ การทำเช่นนี้ไม่สุภาพเอาเสียเลย สำหนับเด็กหนุ่มที่ได้รับการสอนสั่งจากหมู่บ้านพิการชรา เขานั้นมักจะเคารพนับถือผู้เฒ่าผู้แก่ แต่แน่ล่ะว่า เฒ่าเป๋และเฒ่าใบ้ก็เคยโดนเขาอัดจนน่วมในขั้นวรยุทธเดียวกันมาไม่น้อย

“ข้าอาจจะลงมือหนักเกินไป อาจารย์ปู่ เพลงหมัดของข้าจริงๆ แล้วด้อยกว่าท่าน เพียงแต่ข้าอาศัยพลังวัตรที่เข้มข้นกว่ามาท่วมท้นท่าน ดังนั้นอย่าเสียใจไปเลย!”

ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหัวสะพานและชะโงกไปจากราวสะพาน เพื่อตะโกนไปยังฉีคังซึ่งลอยห่างออกไป “ข้าไม่ได้กะจะลงมือหนักขนาดนั้น! ข้าเห็นว่ากำลังฝีมือของอาจารย์ปู่แข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นจิตใจชอบแข่งขันของข้าจึงปลุกขึ้นมา และข้าก็เลยใช้พละกำลังเต็มที่ไปตั้งแต่ต้น นานทีข้าถึงจะทำเช่นนั้นยามที่ข้าพบกับยอดฝีมือในขั้นวรยุทธเดียวกัน”

เขานั้นดูอ้างว้างและเศร้าใจ “เพราะถึงอย่างไร ข้าก็เป็นกายาจ้าวแดนดิน ข้าคิดว่าข้าคงได้พบพานกับยอดฝีมือขั้นวรยุทธเดียวกัน ผู้ซึ่งสามารถเป็นคู่มือของข้าได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่ากำลังฝีมือของอาจารย์ปู่จะค่อนข้างอ่อนด้อย แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านนะ!”

บนสะพาน กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายรั้งข่มโทสะของพวกตนเอาไว้ เมื่อเห็นกษัตริย์มนุษย์หนุ่มเผยสีหน้าอันโดดเดี่ยวเพราะไร้เทียมทานระหว่างที่เขามองไปยังฉีคังผู้ซึ่งลอยไปยังปลายแม่น้ำ “หากว่าบรรพจารย์และอาจารย์ปู่ทั้งหลายสามารถมาอยู่ร่วมยุคสมัยของข้า ก็คงจะเยี่ยมยอดมาก”

“หากว่าพวกเราเกิดร่วมสมัยเดียวกัน พวกท่านก็คงพัฒนารุดหน้าไปพร้อมกับข้า และเป็นคู่ต่อสู้ให้กับข้า น่าเสียดายที่พวกท่านมีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว และไม่อาจตามทันยุคสมัยของข้าและราชครูสันตินิรันดร์เมื่อพวกเราขับเคลื่อนการปฏิรูป ในท้ายที่สุด มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกท่านก็เลยล้าหลังตกยุค”

บรรพชนทั้งหลายกำหมัดกรอบแกรบ และกัดฟันรั้งตัวเองเต็มที่ไม่ให้ระเบิดออกมา

กษัตริยมนุษย์หลันโพ่หุบยิ้มของนางพลางกัดฟันกรอด เสียงขบกรามของนางฟังดูน่าตื่นตระหนก

แม้ว่าคำพูดของไอ้เด็กผีนี่จะถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกๆ ประโยคของเขาสามารถทำให้คนเป็นๆ คั่งแค้นจนตาย และคนตายก็คั่งแค้นจนลุกคืนชีพได้ นี่ทำให้อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายอยากที่จะจับเขากดแล้วรุมสกรัมกันทั้งวง!

“กายาจ้าวแดนดินฉิน เจ้าเพียงแค่เอาชนะเจ้าเด็กฉีคังนั่นเท่านั้น แต่ก็กล้าพูดแล้วหรือว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเราล้าหลังตกยุค นั่นไม่โอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานน้ำเสียงทื่อตึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะแช่มชื่น “มาสิมา ให้ข้าสอนเจ้าว่าทักษะเทวะมันเป็นอย่างไร!”

ฉินมู่เผยสีหน้าลำบากใจเมื่อเขาหันกลับมามองยังอาจารย์ทวดผู้นี้ ซึ่งสูงเพียงห้าคืบ “บรรพจารย์ มรรคาที่ท่านดำเนินคือมรรคาแห่งทักษะเทวะ และพวกมันก็แข็งแกร่งจริงๆ นั่นแหละ แต่มาอยู่ใกล้ข้าขนาดนี้ ท่านได้ตายไป หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบหก สิบเจ็ดครั้ง”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานแทบจะระงับความเดือดดาลเอาไว้ไม่อยู่และยกลูกบอลสายฟ้าในมือ พลางข่มกลั้นความคิดที่อยากจะทุบให้เด็กนี้ให้ตายไปเสีย

“เมื่ออยู่ใกล้ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ก็ไม่อาจต้านทานรับแม้แต่กระบวนท่าเดียวจากข้า”

ฉินมู่พึมพำกับตนเองโดยไร้อารมณ์ “ที่บรรพจารย์ฝึกปรือนั้นคือทักษะเทวะ แต่ทว่าการฝึกปรือทักษะเทวะนั้นหมายความว่าท่านขาดพร่องในด้านกายเนื้อ ในเมื่อพวกเราอยู่ใกล้ เพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่งประโยคที่บรรพจารย์พูด นั่นก็เพียงพอให้ข้าสังหารท่านไปยี่สิบสามสิบครั้ง”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานแทบจะกระอักเลือด และสีหน้าเขาก็ดำคล้ำ เขากระโดดออกไปจากสะพาน และมีเมฆลอยขึ้นมารองรับร่างเตี้ยม่อต้อของเขาขึ้นมา พลางกล่าวอย่างโมโหเดือด “เด็กตัวเหม็นพูดเขื่องโขเชียวนะ! ให้ข้าถอยไประยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยสู้ละกัน!”

เมฆใต้เท้าเขายกตัวเขาขึ้นและลอยขึ้นไปทางเหนือน้ำอย่างเร่งร้อน หลังจากห้าหกลี้ กษัตริย์มนุษย์อี้ซานก็รู้สึกว่าระยะกำลังเหมาะ

แต่ทว่าเขาพลันระลึกได้ความเพลงกระบี่ของฉินมู่รวดเร็วเพียงใด และรู้สึกว่าระยะห่างเท่านี้ก็ยังไม่ปลอดภัยพอ ดังนั้นเขาถึงถอยไปอีกสามลี้ เมื่อเขาระลึกได้ว่าความเร็วการเคลื่อนไหวของฉินมู่รวดเร็วเพียงใด และตามฉีคังทันได้ง่ายดายเพียงใด เขาก็ถอยไปอีกสองลี้

ข้าถอยไปอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดว่าข้ากลัวที่จะแพ้ให้ศิษย์เหลนของข้า…

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานมองกลับไปและในเมื่อระยะห่างนั้นไกลขนาดนี้ สะพานจึงกลายเป็นเส้นตรงบางๆ และฉินมู่ก็เป็นจุดบนเส้นตรงนั้น

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหน้าแดงฉาน วิ่งถ่างระยะออกไปไกลขนาดนี้ นับว่าเป็นความขี้ขลาดจริงๆ

“มาสิ!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานมีจังหวะหัวใจที่มั่นคง และเสียงของเขาก็ทรงพลัง เขาดูเหมือนกับกษัตริย์มนุษย์ฉีคังไม่มีผิด

บนสะพาน บรรพชนสองตะโกนไป “อี้ซาน เจ้าลืมปิดผนึกสมบัติเทวะ!”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหน้าแดงฉานอีกครั้ง เขานั้นกระวนกระวายเกินไปและทำให้ลืมที่จะปิดผนึกสมบัติเทวะ เขารีบปิดผนึกมหาสมบัติเทวะทั้งสามของเขา และตะโกนออกไปด้วยความฮึกเหิม “มาสิ!”

ตึง

ฉินมู่กระโดลงไปในแม่น้ำ

“เชื่อมกำแพงแตะขุนเขาน้ำเงิน!”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานลงมือกระบวนท่าแรก และในแขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขา นิ้วสั้นทู่ทั้งห้าของเขาก็ขยับขึ้นๆ ลงๆ ในพริบตานั้น พื้นที่แม่น้ำในรัศมีกว่าสิบลี้ใต้เท้าเขาก็ระเบิดออก และมวลน้ำก็ก่อขึ้นมาเป็นขุนเขาสีน้ำเงินมากมาย สันและยอดเขาก่ายกองสลับกันเป็นเทือกเขาพลางสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างดุดัน

แม่น้ำมหึมาได้แปรเปลี่ยนเป็นขุนเขาน้ำเงินอาจจะดูสวยงาม แต่นี่คือทักษะเทวดาที่แอบแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร!

ทักษะเทวะของอี้ซานได้บรรลุถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า ทว่าแตกต่างจากทักษะเทวะของคนอื่น ของเขานั้นมิได้ระเบิดพลังออกมาหากว่ามันมิได้กระตุ้นให้ทำงาน มีก็แต่เมื่อผู้คนอยู่ในทักษะเทวะของเขา การเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเดียวก็จะกระตุ้นการทำลายล้างอย่างวินาศสันตะโร!

ขุนเขาสีน้ำเงินผงาดสูงขึ้นมาอย่างดุร้าย และมาถึงข้างกายของฉินมู่ในพริบตา เขาเองนั้นอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขนาดที่ว่าปราณชีวิตของเขาทุกหยดสั่นสะเทือน คึกคักยิ่งกว่าปกติ!

นี่คือแหล่งที่มาของกระบวนท่าแรกของผู้ใหญ่บ้าน! กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของผู้ใหญ่บ้านมาจากกระบวนท่าของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานนี้ แปรเปลี่ยนจากทักษะเทวะเป็นเพลงกระบี่ ผู้ใหญ่บ้านเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง!

ฉินมู่ตื่นเต้นจนเกินพิกัด และอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมา “กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!”

สุดยอดเกินไปแล้ว!

เขาได้พ่ายแพ้ภายใต้กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของผู้ใหญ่บ้านมานับครั้งไม่ถ้วนเมื่อตอนที่เขาเรียนรู้กระบวนท่านี้เป็นครั้งแรก ในเวลานั้น เขาพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือผู้ใหญ่บ้านนับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้เมื่อวิสัยทัศน์ขอบฟ้าและความรู้ของเขามิได้เหมือนก่อน เมื่อพบกับแหล่งที่มาของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้ต่อสู้ประลองกับผู้ใหญ่บ้านอีกครั้งหนึ่ง

เขาตื่นเต้นจนขับเคลื่อนกายามังกรแท้จ้าวแดนดินอย่างลืมตัว ปราณชีวิตของเขากลายเป็นไร้ขอบเขต และทุกเส้นสายของมันที่ไหลรินออกจากร่างกายของเขาก็เผยให้เห็นมังกรรูปร่างต่างๆ กัน

กายามังกรแท้จ้าวแดนดินนั้นเป็นทักษะเทวะกายเนื้อที่เขาตรึกตรองเข้าใจโดยการผสานวิชาฝึกปรือแห่งเผ่ามังกรจากรังมังกรแท้ เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวามังกรอันสั่นสะเทือนห้วงอวกาศโดยรอบ ก่อรอยประทับรูปทรงมังกรอันแปลกพิสดารทุกชนิดทุกประเภท พวกมันดูเหมือนอักษรรูนและยันต์เมื่อเรืองแสงสว่างขึ้นมาทั่วร่างของเขา!

เขาใช้ทักษะเทวะกายเนื้อ เพื่อต่อสู้กับทักษะเทวะเวทมนตร์!

ฉินมู่พุ่งตะลุยเข้าไปตรงๆ เขาเหยียบไปบนภูเขาพลางวิ่งตะบึงไปยังกษัตริย์มนุษย์อี้ซานผู้ซึ่งอยู่ห่างไปสิบลี้

ตูม ตูม ตูม!

หมัดและขาของเขาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว มังกรแท้หลายร้อยตัวร่ายรำอยู่รอบๆ ตัวเขาและส่งเสียงคำรามอย่างทรงฤทธิ์อำนาจ ฟาดทำลายภูเขาและแม่น้ำให้กลายเป็นผุยผง เขาปล่อยให้ทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานโถมถล่มเข้าใส่เขา แต่มันไม่อาจทลายฝ่าการป้องกันของกายามังกรแท้จ้าวแดนดินได้

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เจ้าหมอนี่ทรงพลังถึงขนาดที่ว่าเขาสามารถใช้กายเนื้อบุกทำลายทักษะเทวะได้เชียวหรือ อี้ซานพลันรีบเปลี่ยนทักษะเทวะของเขา และจู่โจมไปอย่างบ้าคลั่งพลางคิดกับตนเอง ดูสิว่าเจ้าจะบุกทำลายอันนี้ได้ไหม! ถ้าเจ้าบุกมาถึงนี่เจ้าต้องน่วมแน่นอน!

ขุนเขาทั้งหลายถล่มลงไป และแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสูง บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณต่อสู้อันเดือดพล่านที่แผ่ออกมาจากกายเนื้อของฉินมู่ อันซัดมาถึงใบหน้าของพวกเขาด้วยกระแสลมแรงที่เป่าเสื้อผ้าสะบัดกระพือไปหมด

“ทักษะเทวะกายเนื้อเช่นนี้ ถึงกับแข็งแกร่งกว่าของบรรพชนสอง” บรรพชนสามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถัวอวี่ เจ้าเชี่ยวชาญในการคำนวณกระบวนพยุหะและความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็ไร้เทียมทานในโลกหล้า ดังนั้นเจ้าสามารถคำนวณหาจุดอ่อนของเขาได้หรือไม่”

ในดวงตาของกษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ พยุหะจำนวนมากจุดแสงขึ้นมาสลับกับหรี่มัวเมื่อเขาคิดคำนวณการจัดเรียงรอยประทับมังกรรอบๆ ร่างกายของฉินมู่อันเคลื่อนไปไม่หยุดยั้ง จากที่เห็นเขาคิดคำนวณการเปลี่ยนแปลงของรอยประทับมังกรบนผิวหนัง จากตรงนั้น เขาคำนวณการโคจรปราณชีวิตในร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และการขับเคลื่อนพละกำลัง

จากนั้นเขาคิดคำนวณเส้นทางการประมวลของวิชาฝึกปรือฉินมู่ และเส้นทางโคจรของปราณชีวิตในสมบัติเทวะของเขา

ปริมาณสิ่งที่เขาต้องคำนวณมีมากเกินไป และพวกมันก็ล้วนแต่ซับซ้อน แต่กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่นั้นไม่ย่อท้อ และยังคงมีพละกำลังหลงเหลือ

เขาเป็นยอดฝีมือด้านพยุหะที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคสมัย และความสำเร็จของเขาในพีชคณิตก็ถึงกับเอาชนะเจ้าสำนักเต๋าในยุคนั้น เมื่อเขาไปโต้วาทีกับสำนักเต๋า ก็ไม่มีใครที่ไม่ยอมรับนับถือ!

จนถึงตอนนี้ อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็มองเห็นแล้วว่าฉินมู่แข็งแกร่งเพียงใด และคาดคะเนได้ว่าหากสู้กันด้วยขั้นวรยุทธเดียวพวกเขาคงเป็นได้แค่กระสอบทราย การพ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความเสียหน้าที่ตามมานั้นเป็นเรื่องใหญ่

นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่คิดคำนวณจุดอ่อนของฉินมู่เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเอาชนะ

นี่คือการกระทำที่จนตรอก

“เขามีจุดอ่อน”

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ดวงตาลุกวาว ในขณะเดียวกันนั้นที่ข้างล่าง ฉินมู่ราวกับมีดร้อนอันเฉือนผ่านก้อนเนย เมื่อเขาวิ่งตะบึงตรงไปยังกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “จุดอ่อนของเขาอยู่ที่จุดศูนย์กลางกาย ช้าก่อน มันเลื่อนไปแล้ว ตอนนี้มันอยู่ที่หัวไหล่ซ้าย ไม่ ตอนนี้มันอยู่ที่หลัง…”

“มันอยู่ตรงไหนกันแน่” กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ถามด้วยความโมโห “อาจารย์ทวด ท่านคำนวณได้จริงหรือไม่”

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่กำลังจะพูด ในตอนนั้นกษัตริย์มนุษย์อี้ซานข้างล่างนั่นก็ขับเคลื่อนทักษะเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา อันคือนิ้วผนึกเทพยดา มันดึงดูดสายตาของทุกๆ คน

นิ้วผนึกเทพยดาจะปิดผนึกปราณชีวิตและจิตวิญญาณดั้งเดิมโดยการโจมตีดวงวิญญาณ นี่คือทักษะเทวะที่กษัตริย์มนุษย์อี้ซานใช้ต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า และถึงกับประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า!

เมื่อเขาจิ้มไปด้วยนิ้วของตน คลื่นก็ไม่กระเพื่อมและลมก็ไม่กระพือ ฉินมู่ได้มายังเบื้องหน้าของเขาแล้ว และทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น แต่ทว่าการโจมตีนั้นมาถึงหว่างคิ้วของฉินมู่ในพริบตา ไม่ให้เวลาเขาตั้งตัว!

“ยอดเยี่ยม!” ทุกคนบนสะพานเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกัน “นิ้วจากเทพเจ้า! มาดูกันว่ากายาจ้าวแดนดินน้อยผู้นี้จะหยิ่งผยองไปได้อีกกี่น้ำ!”

ในตอนนั้นเอง หว่างคิ้วของฉินมู่ก็แยกออกและทารกวิญญาณเล็กๆ ก็ปรากฏ มันหลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณของเขาและแปลงกายเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม ชั้นวงจรพยุหะหมุนวนอย่างดุเดือดในดวงตาของเขาขณะที่ทางช้างเผือกอันพัวพันอยู่รอบๆ ดวงตะวันระเบิดพลังออกมา ลำแสงสองลำยิงออกไปด้วยเสียงหึ่งฮัม หนึ่งนั้นทะลวงผ่านิ้วผนึกเทพยดาของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานอย่างง่ายดายราวกับฟาดใส่ไม้ผุ!

จิตวิญญาณดั้งเดิมที่แข็งแกร่งปานนี้ทำให้ทุกๆ คนบนสะพานจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง พวกเขาเห็นลำแสงอีกลำหนึ่งยิ่งตรงไปยังหน้าอกของกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ทะลุผ่านทักษะเทวะป้องกันตัวของเขา ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นมา!

“กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!”

ปราณชีวิตรอบกายฉินมู่อันเดือดพล่านประดุจมังกรพิโรธพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซัดถล่มกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ภูเขาและแม่น้ำอันโอ่อ่าตระการก่อขึ้นมาจากกระบี่นับหมื่น สะเทือนเลื่อนลั่นและแทงกษัตริย์มนุษย์อี้ซานไปทั่วร่าง ส่งให้เขาร่วงหักปักแม่น้ำ

“กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต!”

ทันใดนั้นกระบี่นับหมื่นหลอมรวมเข้าด้วยกัน และแม่น้ำสายยาวพลันดูราวกับว่าถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต ศีรษะของเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา สร้างภาพน่าสะพรึงกลัวของบ่อเลือด

ฉินมู่ขยับไปด้านข้างและฟันลงไปข้างล่างด้วยกระบี่ของเขา กษัตริย์มนุษย์อี้ซานลอยขึ้นมาจากทะเลเลือดและไหลไปทางปลายน้ำ

ไม่กี่อึดใจ ภาพปรากฏการณ์ก็จางหาย และน้ำในแม่น้ำก็ใสกระจ่างดุจเดิม ฉินมู่มองไปที่สีหน้าขมขื่นของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานที่ไหลลอยไป ผู้เฒ่าร่างม่อต้อผมขาวจ้องมาที่เขาด้วยสายตาของผู้ที่ตายตาไม่หลับ

ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ และอ้าปาก “บรรพจารย์อี้ซาน…”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานทำน้ำกระเซ็นเมื่อเขาพลิกตัวคว่ำหน้าปล่อยให้ก้นเขาชี้ฟ้าและลอยไปอย่างเงียบเชียบ

พบแล้ว!

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ตาลุกวาบ และเขากล่าวด้วยความยินดี “จุดอ่อนของเขาอยู่ในตันเถียน จุดที่สามนับจากปลายก้นกบ! นั่นคือแหล่งที่มาของจุดอ่อนเขา!”

“ข้าจะไปอัดไอ้เด็กตัวเหม็นนี่ให้น่วม!” หลันโพ่เต็มไปด้วยแรงทะยานใจเมื่อนางหิ้วตะกร้ากระโดดลงไปจากสะพาน นางวิ่งตรงไปยังฉินมู่ด้วยรอยยิ้ม “ฉินน้อย ให้ยายดวลอาวุธวิญญาณกับเจ้าหน่อย!”

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกราวกับว่าเขาพลาดอะไรบางอย่างไป ทันใดนั้น เขาก็ตบหัวตัวเองและร้องออกมา “ข้าพลาดแล้ว! เขามีสมบัติเทวะเพียงแค่สาม มิใช่สี่! เขาได้หลอมรวมสมบัติเทวะหกทิศเข้ากับสมบัติเทวะเจ็ดดาวให้เป็นหนึ่ง! ข้าคิดคำนวณจากเส้นทางโคจรของสมบัติเทวะสี่ชิ้นดังนั้นจุดอ่อนที่คำนวณออกมา อยู่ห่างจากจุดอ่อนที่แท้จริงเป็นพันๆ ลี้…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว!”

แม่น้ำคลั่งสงบลง และข้างใต้สะพาน กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ลอยมาพร้อมด้วยอาวุธวิญญาณหลากชนิดจากตะกร้าของนางที่กระจัดกระจายไปทั่ว นางกัดฟันกรอดพลางกล่าว “ไม่ต้องพูดแล้ว อาจารย์ทวด ในวินาทีที่ข้าลงมือ ข้าก็รู้ว่าท่านคำนวณผิด!”

กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่สีหน้าแดงฉ่า และเขามองไปที่กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ บนสะพาน “ข้าไม่คำนวณผิดแล้วตอนนี้…ทำหน้าอะไรแบบนั้น ตอนนี้ข้าไม่คำนวณผิดแล้วจริงๆ!”

…………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท