ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 514 มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง

ตอนที่ 514 มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง

ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิดเรื่องนี้ดู หลังจากที่เขาถูกฉินมู่บังคับให้มาเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ เขาก็ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรมากมายในบทบาทหน้าที่ของตน มีแต่ฉินมู่และลัทธินักบุญสวรรค์ที่คอยช่วยเขาตลอดโดยไม่มีกั๊ก

อุดมการณ์ของลัทธินักบุญสวรรค์และของเขาไม่ขัดแย้งกัน ในเมื่อเขาได้รับความอนุเคราะห์จากลัทธิ เขาก็ย่อมต้องควรตอบแทนไป

“ตกลง ข้าจะมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินตะวันตกพร้อมกับผู้อาวุโส เทวราช และหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งเพื่อชักนำผู้มีพรสวรรค์เข้ามาในลัทธิ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่งเขาออกไปจากเคหาสน์ แต่แล้วก็ยั้งเขาเอาไว้ “จ้าวลัทธิฉิน ในฐานะจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์เจ้ายังใช้เวลากับลัทธิไม่มากเท่าใดนัก เจ้านั้นเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกและขนาดเวลาฝึกปรือวิทยายุทธก็ยังไม่มี”

“อย่าลืมที่จะไม่ถ่วงรั้งความก้าวหน้าของตนเองในการฝึกปรือ ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้เปลี่ยนแปลงไป และเห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้เมื่อข้ากลับมายังสันตินิรันดร์ ข้าก็ยังได้ร่ำเรียนมรรคาวิชา และทักษะเทวะใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่นี่ และหากว่าเจ้าไม่เรียนรู้ เจ้าก็จะล้าหลัง จ้าวลัทธิ โปรดใส่ใจเรื่องนี้ด้วย”

ฉินมู่สะท้อนใจเล็กน้อย และเขาถาม “เจ้าบรรลุเป็นเทพไปแล้ว แต่ก็ยังต้องเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ อีกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “ท่ามกลางยอดฝีมือเยาว์ในรุ่นเดียวกับจ้าวลัทธิ ไม่ขาดแคลนผู้คนที่มีความคิดใหม่ๆ สำหรับเพลงกระบี่นั้น ข้าได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามท่วงท่าที่ข้าคิดค้นขึ้นมา และยังได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดอันจ้าวลัทธิคิดค้นไปอีกด้วย”

“เพียงแค่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานใหม่ทั้งสี่นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างกระบวนท่ากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากวิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศถูกเผยแพร่ออกไป ก็ยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะเพิ่มขึ้นอีก ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงแต่ระบบวิชากระบี่ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือนั้นใหญ่โตกว่ามาก”

ฉินมู่เห็นด้วยกับเขาอย่างสุดใจ การคิดค้นเพลงกระบี่นั้นยากเย็น แต่มันยิ่งยากเข็ญเมื่อจะเปลี่ยนแปลงฐานราก เมื่อฐานรากเปลี่ยนแปลง ผู้คนจำนวนไร้ประมาณก็จะมีโอกาสในการสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ และนี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมอันเปลี่ยนแปลงฐานรากของการฝึกปรือ เมื่อมันเปลี่ยนแปลง ก็จะปรากฏความเป็นไปได้ใหม่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และผู้คนมากมายก็ขับเคลื่อนความรู้ของตนเพื่อคิดค้นบนฐานรากใหม่นี้ ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก้าวกระโดดไปอย่างมหาศาล เช่นนั้น ปรมาจารย์มากมายก็จะถือกำเนิดขึ้น!

ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ยังต้องไปเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ เหล่านี้

“ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและสี่สถาบันใหญ่ อยู่ในแต่ละสถาบันเป็นระยะหนึ่งและแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับผู้คนรุ่นเยาว์ที่นั่น” ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “มรรคา วิชา และทักษะเทวะรุดหน้าไปอย่างเร็วรี่ทุกเมื่อเชื่อวัน และความคิดบรรเจิดของผู้เยาว์ก็ไร้สิ้นสุด”

“ในเพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือน ข้าก็ได้แก่ชราและล้าหลังตกสมัย ต้องไปเรียนรับความรู้จากผู้เยาว์ ในอนาคตก็จะยิ่งมีชนรุ่นเยาว์ที่สามารถฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะได้มากทุกที!”

“สองวันก่อนที่เจ้าจะมาถึงเมืองหลวง เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนได้นำเอาศิษย์สำนักหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ อันข้าก็ได้เปิดหูเปิดตาเช่นกัน เมื่อสนทนากับเขา ข้าได้ความคิดและความรู้สึกอย่างมากมาย เมื่อวานนี้ ยูไลหม่าก็ได้นำหลวงจีนและปีศาจจำนวนมากมายมาที่นี่เพื่อโต้วาทีกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ทว่าข้าไม่มีเวลาไปชมดู”

“ผู้เฒ่าหม่าก็อยู่ในเมืองหลวงหรือ” ฉินมู่ปีติยินดี เขาจึงถาม “ราชครู ในสันตินิรันดร์มีเทพเจ้ากี่ตนแล้ว”

ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้”

ฉินมู่บอกเล่าเขาถึงสิ่งที่เห็นในแดนโบราณวินาศ และแบ่งปันข้อสันนิษฐานของราชามารตู้เถียน “การชนกันของสองโลกมิติอาจจะเกิดขึ้นในอีกหมื่นปีข้างหน้า แต่มันก็อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องจัดแจงตระเตรียมเอาไว้ ยิ่งมีเทพเจ้าในสันตินิรันดร์มากเท่าไร ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถต่อต้านฝั่งตรงข้ามได้!”

ราชครูสันตินิรันดร์พึมพำกับตนเองอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่จะถามอย่างไม่เชื่อหู “เจ้าสามารถเข้าไปในความมืดได้หรือ”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกความจริงกับเขา “ข้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย ข้าเดาว่าเขาคงจะหมายถึงว่าข้าอาจจะเป็นลูกครึ่งมารปีศาจจากแดนใต้พิภพ”

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากและกล่าว “หากว่าสวรรค์หมายที่จะทำลายล้างสันตินิรันดร์ของข้า ก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะทำได้ ส่วนในตอนนี้ จักรพรรดิได้ข้ามสะพานเทวะแล้ว และยังมีเทพเจ้ามากกว่าสิบตนอยู่ตามชายแดน”

“ข้าบอกกับจักรพรรดิว่า เทพเจ้าทุกตนต้องมีประวัติบันทึก และเขาก็ได้ทำเช่นนั้นแล้ว เพียงแต่การต่อสู้กับโลกมิติของมารร้ายดูจะเป็นเรื่องอันตรายอักโข สันตินิรันดร์คงไม่มีแสนยานุภาพขนาดนั้นภายในเวลาหลายสิบปี หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ…” เขาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าก็จะส่งต่อความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่เจ้า”

ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง ในเมื่อเขารู้ดีว่าข้างในถ้อยคำนั้นคือจิตมุ่งมั่นที่จะสละชีวิตเพื่อจักรวรรดิ “มารพวกนั้นได้โจมตีโลกในความมืดมามากกว่าสองหมื่นปี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะเอาชนะได้ในวันพรุ่งนี้ ราชครูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก การบุกเบิกถนนนั้นสำคัญกว่า”

ทั้งสองคนจึงกล่าวลาจากกัน

ฉินมู่นำกิเลนมังกรและหีบไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อันคึกคักพลุกพล่านมากกว่าแต่ก่อน มีผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากที่มาจากทั่วโลกหล้า แม้แต่จากทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็ง

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้บัญชาให้สี่สถาบันใหญ่แบ่งเบาภาระของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นสถาบันสุสานแม่น้ำ สถาบันแม่น้ำหย่ง สถาบันแม่น้ำหลี่ และสถาบันนักบุญสวรรค์จึงรุ่งเรืองคับคั่งด้วยเช่นกัน สถาบันเหล่านั้นมากล้นไปด้วยบัณฑิต แต่เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว ก็ยังขาดพร่องอยู่บ้าง

“จ้าวลัทธิฉิน!”

“อธิการบดีฉิน!”

ข่าวการมาถึงของฉินมู่ได้แพร่กระจายออกไปทั่วมหาวิทยาลัยจักรวรรดิโดยทันที และเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนก็พานักพรตมากมายเข้ามา เฒ่าหม่าเองก็พาหลวงจีนของเขามา ขณะที่กู่ลี่หนวนก็พาคณะบัณฑิตจักรวรรดิมาต้อนรับ สหายของฉินมู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็ออกมาเช่นกัน ฉินมู่รีบคารวะทักทายทุกๆ คนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอันคับคั่ง

“อธิการบดีฉินเป็นบัณฑิตที่มาจากบัณฑิตนิเวศน์พวกเรา และแม้แต่ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องเลิศล้ำเหนือธรรมดาและผงาดขึ้นไปเป็นมังกรฟ้าอย่างแน่นอน!” ใบหน้าของกู่ลี่หนวนเปล่งปลั่งขณะที่เขาแย้มยิ้ม “ใครจะไปคิดว่าบัณฑิตฉินจะกลายเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ มาคิดๆ ดูแล้ว ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติเช่นกัน!”

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ใต้เท้ากู่ ข้ามาเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่อีกครั้ง ดังนั้นข้ายังคงเป็นบัณฑิตตัวเล็กๆ ของท่าน!”

กู่ลี่หนวนซาบซึ้งใจอย่างหนัก “ใต้เท้าฉิน โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น! มาคิดดูแล้ว พวกเรานั้นเป็นสหายเก่า ครั้งก่อนนั้นที่ข้าได้พบกับท่านในวังมังกรแม่น้ำหย่ง ข้าก็รู้แล้วว่าท่านน่ะไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ยกกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้ท่านหรอก นี่เรียกว่ามีสายตาเฉียบแหลมเล็งเห็นพรสวรรค์ กำนัลกระบี่ล้ำค่าให้แก่วีรบุรุษ วาสนาระหว่างข้าและใต้เท้าฉินได้เริ่มต้นที่วังมังกรแม่น้ำหย่ง! ฮ่าๆๆๆๆ!”

ทุกคนครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่น้อมคารวะยูไลหม่าและหลินเสวียน ก่อนที่จะทักทายเว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ ลิงยักษ์อสูรก็มาด้วยเช่นกัน และทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น และคนอื่นๆ ได้ไปฝึกฝนในกองทัพระหว่างช่วงสองปีมานี้ และวรยุทธของพวกเขาก็เพิ่มพูนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้เติบโตมาเป็นบุคคลอันสามารถรับผิดชอบหน่วยกองได้ และฉินมู่ก็ดีใจแทนพวกเขา

ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ที่ได้พบความสำเร็จมานานแล้ว และเดินทางไปยังสถานที่อื่นเพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง

แต่การที่ลิงยักษ์อสูรปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้น เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายของฉินมู่

เมื่อซิงอ้านสร้างความโกลาหลในวัดน้อยฟ้าคำราม ยูไลน้อยไม่อาจต้านรับการสักการะของเทพหมอผีขุย และดวงวิญญาณของเขาก็แตกสลาย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงได้นำหลวงจีนทั้งหลายแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำรามตามคำสั่งเสียของยูไลน้อย การเดินทางลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพวกเขาไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม การมาเยือนของหลวงจีนปีศาจมากมายก็สร้างความอลหม่านเป็นอย่างหนัก

ในฐานะศิษย์ของยูไลน้อย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงนับว่าอยู่ในรุ่นอาวุโสเดียวกับเฒ่าหม่า หนึ่งมนุษย์และหนึ่งปีศาจถกเถียงกันเรื่องธรรมะบนยอดเขาทองคำแห่งเขาพระสุเมรุ โดยมีหลวงจีนนับไม่ถ้วนยืนสดับอยู่ข้างล่าง

คำพูดของลิงยักษ์อสูรมีไม่มาก แต่ทุกคำของเขามีค่าราวไข่มุกราวทองคำ ประโยคหนึ่งของเขามีแค่สามถึงห้าคำ แต่ว่าแต่ละคำนั้นน่าสะท้านขวัญและทำให้ผู้คนต้องเอาไปขบคิดอย่างลึกซึ้ง เขาทำให้ไต้ซือทั้งหลายบนเขาพระสุเมรุอึ้งจนพูดไม่ออก ถึงขั้นที่ว่าไม่อาจจะโต้วาทะได้อีกต่อไป

นี่ยาวนานถึงสามวันสามคืน จนกระทั่งหลวงจีนทั้งหมดถอยร่นไปด้วยความพ่ายแพ้ โชคดีที่ว่ามีแม่ทัพหนวดเฟิ้มผู้หนึ่งแห่งสันตินิรันดร์ขึ้นมาบนภูเขา เมื่อเขาขึ้นไปยังยอดเขาทองคำและถอดเกราะของเขาออก เขาเรียกตนเองว่าหลวงจีนหมิงซิ่น และโต้วาทีกับลิงยักษ์อสูรไปอีกหลายวัน นั่นแหละวัดใหญ่ฟ้าคำรามจึงกู้หน้ากลับมาได้บ้าง

หลวงจีนหมิ่งซิ่นไม่กล่าวยืดยาด และสิ่งที่เขาสนทนาทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน เขาไม่ได้พูดถึงคัมภีร์หรือพระธรรมคำสอน แต่ทว่าถ้อยคำของเขามีความหมายอันลึกล้ำและทำให้ทุกคนรู้สึกว่าที่เขากล่าวนั้นคือธรรมะในศาสนาพุทธ อันทั้งเลิศปัญญาและหลากหลาย

การโต้วาทีนี้ได้สะท้านสะเทือนโลกหล้า

เฒ่าหม่ากล่าวชมหลวงจีนทั้งสอง สำหรับการโต้วาทีที่ลื่นไหลและไร้ข้อจำกัด จากนั้นก็รับปิฎกพระสูตรปีศาจจากลิงยักษ์อสูร และรับเอาหลวงจีนปีศาจทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหญ่ฟ้าคำราม สองสำนักก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และแพร่กระจายออกไปทั่วแดนศักดิสิทธิ์และสถาบันทั้งหลาย มันเป็นที่รู้จักในนามว่า การถกเต๋าบนยอดเขาทองคำ และกลายเป็นเรื่องอันโด่งดั่งที่ผู้คนพูดถึงทั่วหัวมุมถนนไปพักหนึ่ง

ในช่วงเวลานั้น ฉินมู่กำลังวิ่งหนีจากซิงอ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปเป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนเขาพระสุเมรุ ส่วนว่าเรื่องจริงนั้นจะสมกับตำนานเล่าขานหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

ในครั้งนี้ เฒ่าหม่าพาลิงยักษ์อสูรและหลวงจีนหมิงซิ่นกับหลวงจีนอื่นๆ จำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องราวอันทำให้ทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก และเมื่อเจ้าสำนักเต๋านำนักพรตมากมายมาด้วยเช่นกัน นี่ก็กลายเป็นวโรกาสอันยิ่งใหญ่!

หลังจากความวุ่นวายไปพักหนึ่ง ทุกคนก็เข้าไปนั่งในโถงบรมศึกษา เมื่อฉินมู่กล่าวว่ามาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น และเมื่อครู่นั้นกู่ลี่หนวนก็คิดว่าเขาเพียงแต่พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้จริงๆ

กู่ลี่หนวนจึงรีบเชิญผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกโถงในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาเพื่อพูดถึงความเข้าใจในวิชาใหม่ๆ ของแต่ละคน นักพรตและหลวงจีนแห่งสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำรามก็ก้าวออกมาเพื่อพูดถึงความสำเร็จในปัญญาของตนเองด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลานั้น ทักษะเทวะ มรรคา และวิชาอันไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก็ท่วมท้นอยู่เต็มห้องโถง แม้แต่ฉินมู่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ เขานั้นอัศจรรย์ใจต่อความคิดสร้างสรรค์ของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้

หลังจากสองวัน หลิงอวี้จิวและหลิงอวี้ชู้ก็มายังเมืองหลวงเพื่อซักไซ้ไต่ถาม และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาก็เข้าร่วมการอภิปรายการปฏิรูปและความก้าวหน้าใหม่ๆ ในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ

หลังจากเวลาสี่ห้าวัน ชนรุ่นเยาว์จากสถาบันใหญ่ทั้งสี่ก็รีบรุดมา บัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์นำมาโดยซีอวิ๋นเซี่ยง บัณฑิตแห่งสถาบันสุสานแม่น้ำนำมาโดยฉินเฟยเยว่ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของราชครูสันตินิรันดร์ และเป็นครูผู้สอนของสถาบันสุสานแม่น้ำ

อวี้เหยียนชูอวี่นำบัณฑิตแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งมา และสำหรับสถาบันแม่น้ำหลี่ อธิการบดีของพวกเขาคือป้าซาน แม่น้ำหลี่นั้นอยู่ห่างไกลที่สุด และต้องใช้ผู้มีความสามารถสูงในการก่อตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นมา ดังนั้นจักรพรรดิจึงแต่งตั้งให้ป้าซานไปดำรงตำแหน่งนั้น

ชนรุ่นเยาว์แห่งสี่สถาบันใหญ่มารวมตัวกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และมันกลายเป็นคับคั่งมากยิ่งขึ้น ด้วยความประหลาดใจของทุกคน หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ และหลงอวี๋แห่งนครหยกน้อยก็เร่งรุดมาหลังจากนั้นไม่กี่วันด้วยเช่นกัน

ไม่ทันที่ทุกคนจะนั่งกันครบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “ในวินาทีที่ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้าก็รีบเร่งมา แต่ดูท่าก็ยังคงล่าช้า!”

ฉินมู่รีบลุกขึ้นต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม “พี่ซวี นับแต่จากกันมาที่วัดน้อยฟ้าคำรามหวังว่าท่านคงจะสบายดีนะ?”

ซวีเซิงฮวานำจิงเอี้ยนมาด้วย “ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของจ้าวลัทธิเป็นเวลานาน และเห็นเจ้าก็ยังสบายดีอยู่ทำให้ข้าโล่งอก”

ทุกคนนั่งลง และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกค่ายสำนักพูดถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของตน การฝึกปรือและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน ทุกความคิดประหลาดพิสดารถูกกล่าวออกมา พวกเขาได้ทำให้แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและขุนนางราชสำนักก็สนอกสนใจและรีบรุดมารับฟังด้วยเช่นกัน

ฉินมู่ หลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง นักพรตหลินเสวียน ลิงยักษ์อสูรจ้านคง หมิงซิ่น ซวีเซิงฮวา และหวางมู่หรัน ต่างได้รับเชิญให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อสนทนาถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขา การปะทะสังสรรค์กันของความคิดทุกรูปแบบทำให้ผู้ชมข้างล่างลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม

พวกเขาล้วนแต่มีความสำเร็จอันเป็นเอกลักษณ์ในจิตวิญญาณดั้งเดิม และด้วยการแบ่งปันความคิดพิสดารอัศจรรย์ทั้งหมดของแต่ละคนออกมา พวกเขาทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก

“ข้ามีความคิดหนึ่ง!” ฉินมู่พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สันตินิรันดร์กลายใหญ่กว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆ อันทำให้ยากต่อการติดต่อสื่อสารเมื่อพวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถเดินทางได้รวดเร็วและเคลื่อนไปได้เป็นล้านๆ ลี้ภายในชั่วพริบตา หากว่าพวกเราสามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิม นี่จะไม่ช่วยพวกเราประหยัดเวลาการเดินทางเพื่อมาพบปะกันหรอกหรือ”

ข้อเสนอแนะของเขาพลันได้รับการสนับสนุนจากคนหนุ่มสาวมากมายในทันที ทุกคนเริ่มที่จะระดมสมองเพื่อคิดหาวิธีให้จิตวิญญาณดั้งเดิมอันแตกต่างกันสามารถมาติดต่อสื่อสารกันได้ และออกความคิดเห็นของพวกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวง

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและเจ้านครเว่ยหันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ เจ้านครเว่ยกล่าว “เมื่อครู่พวกเขายังพูดกันมีสาระอยู่ดีๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มพูดเหลวไหล จิตวิญญาณดั้งเดิมเคลื่อนที่เร็วเกินไป ข้ามระยะทางล้านๆ ลี้ได้ในพริบตา ดังนั้นจึงยากที่จะเอามันมาพบปะกัน มันยากที่จะควบคุมจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แม่นยำ ต่อให้รู้เป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งมันไปที่ไหน ดังนั้นจะพูดถึงเรื่องการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มกล่าว “มาลองรอดูกันเถอะ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้านครเว่ยและคนอื่นๆ ก็จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง อึ้งจนพูดไม่ออก ที่หน้าโถงบรมศึกษาขณะที่ทุกคนอภิปรายว่าจะดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมที่แตกต่างกันเข้ามาด้วยกันได้อย่างไร วิชามากมายก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย นี่ทำให้เจ้านครเว่ย จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และชนรุ่นอาวุโสทั้งหลายต่างก็ต้องอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ

ในระหว่างนั้นฉินมู่ก็กำลังจัดระเบียบความคิดเห็นใหม่ๆ เหล่านั้น และหลังจากเวลานานอยู่ เขาก็สร้างสรรค์วิชาฝึกปรือใหม่ขึ้นมาบนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม

เขาถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้แก่ทุกๆ คนอันทำให้พวกเขาทั้งหลายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขารีบรื้อสร้างโถงบรมศึกษาขึ้นมาใหม่ และเพิ่มรอยประทับอักษรรูนมากมายข้างในอาคาร

“ทุกท่าน พวกเราไปยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก หนึ่งพันลี้จากที่นี่กันเถอะ และเริ่มการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม!” ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

บัณฑิตหมื่นคนในโถงบรมศึกษาลุกขึ้นพร้อมกับเสียงอึงคะนึงและเร่งรุดจากไปในทิศไกลๆ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิพลันว่างเปล่า มีก็แต่จักรพรรดิและขุนนางทั้งหลายเหลืออยู่ มองไปยังโถงอันโล่งว่าง

หลังจากสองชั่วโมง จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็พลันปรากฏ ร่างของมันใหญ่มหึมา สำนึกรู้ของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อเขาประกาศ “มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง เริ่มได้!”

ปัง ปัง ปัง!

จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมายพลันปรากฏในโถงบรมมศึกษา มารวมตัวกัน

จิตวิญญาณดั้งเดิมหมื่นตน นั่งอยู่กลางอากาศ

ข้างนอกนั้น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและคนอื่นๆ อึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน จ้องไปข้างหน้าพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า

…………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท