ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิดเรื่องนี้ดู หลังจากที่เขาถูกฉินมู่บังคับให้มาเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ เขาก็ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรมากมายในบทบาทหน้าที่ของตน มีแต่ฉินมู่และลัทธินักบุญสวรรค์ที่คอยช่วยเขาตลอดโดยไม่มีกั๊ก
อุดมการณ์ของลัทธินักบุญสวรรค์และของเขาไม่ขัดแย้งกัน ในเมื่อเขาได้รับความอนุเคราะห์จากลัทธิ เขาก็ย่อมต้องควรตอบแทนไป
“ตกลง ข้าจะมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินตะวันตกพร้อมกับผู้อาวุโส เทวราช และหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งเพื่อชักนำผู้มีพรสวรรค์เข้ามาในลัทธิ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่งเขาออกไปจากเคหาสน์ แต่แล้วก็ยั้งเขาเอาไว้ “จ้าวลัทธิฉิน ในฐานะจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์เจ้ายังใช้เวลากับลัทธิไม่มากเท่าใดนัก เจ้านั้นเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกและขนาดเวลาฝึกปรือวิทยายุทธก็ยังไม่มี”
“อย่าลืมที่จะไม่ถ่วงรั้งความก้าวหน้าของตนเองในการฝึกปรือ ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้เปลี่ยนแปลงไป และเห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้เมื่อข้ากลับมายังสันตินิรันดร์ ข้าก็ยังได้ร่ำเรียนมรรคาวิชา และทักษะเทวะใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่นี่ และหากว่าเจ้าไม่เรียนรู้ เจ้าก็จะล้าหลัง จ้าวลัทธิ โปรดใส่ใจเรื่องนี้ด้วย”
ฉินมู่สะท้อนใจเล็กน้อย และเขาถาม “เจ้าบรรลุเป็นเทพไปแล้ว แต่ก็ยังต้องเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ อีกหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “ท่ามกลางยอดฝีมือเยาว์ในรุ่นเดียวกับจ้าวลัทธิ ไม่ขาดแคลนผู้คนที่มีความคิดใหม่ๆ สำหรับเพลงกระบี่นั้น ข้าได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามท่วงท่าที่ข้าคิดค้นขึ้นมา และยังได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดอันจ้าวลัทธิคิดค้นไปอีกด้วย”
“เพียงแค่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานใหม่ทั้งสี่นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างกระบวนท่ากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากวิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศถูกเผยแพร่ออกไป ก็ยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะเพิ่มขึ้นอีก ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงแต่ระบบวิชากระบี่ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือนั้นใหญ่โตกว่ามาก”
ฉินมู่เห็นด้วยกับเขาอย่างสุดใจ การคิดค้นเพลงกระบี่นั้นยากเย็น แต่มันยิ่งยากเข็ญเมื่อจะเปลี่ยนแปลงฐานราก เมื่อฐานรากเปลี่ยนแปลง ผู้คนจำนวนไร้ประมาณก็จะมีโอกาสในการสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ และนี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมอันเปลี่ยนแปลงฐานรากของการฝึกปรือ เมื่อมันเปลี่ยนแปลง ก็จะปรากฏความเป็นไปได้ใหม่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และผู้คนมากมายก็ขับเคลื่อนความรู้ของตนเพื่อคิดค้นบนฐานรากใหม่นี้ ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก้าวกระโดดไปอย่างมหาศาล เช่นนั้น ปรมาจารย์มากมายก็จะถือกำเนิดขึ้น!
ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ยังต้องไปเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ เหล่านี้
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและสี่สถาบันใหญ่ อยู่ในแต่ละสถาบันเป็นระยะหนึ่งและแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับผู้คนรุ่นเยาว์ที่นั่น” ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “มรรคา วิชา และทักษะเทวะรุดหน้าไปอย่างเร็วรี่ทุกเมื่อเชื่อวัน และความคิดบรรเจิดของผู้เยาว์ก็ไร้สิ้นสุด”
“ในเพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือน ข้าก็ได้แก่ชราและล้าหลังตกสมัย ต้องไปเรียนรับความรู้จากผู้เยาว์ ในอนาคตก็จะยิ่งมีชนรุ่นเยาว์ที่สามารถฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะได้มากทุกที!”
“สองวันก่อนที่เจ้าจะมาถึงเมืองหลวง เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนได้นำเอาศิษย์สำนักหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ อันข้าก็ได้เปิดหูเปิดตาเช่นกัน เมื่อสนทนากับเขา ข้าได้ความคิดและความรู้สึกอย่างมากมาย เมื่อวานนี้ ยูไลหม่าก็ได้นำหลวงจีนและปีศาจจำนวนมากมายมาที่นี่เพื่อโต้วาทีกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ทว่าข้าไม่มีเวลาไปชมดู”
“ผู้เฒ่าหม่าก็อยู่ในเมืองหลวงหรือ” ฉินมู่ปีติยินดี เขาจึงถาม “ราชครู ในสันตินิรันดร์มีเทพเจ้ากี่ตนแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้”
ฉินมู่บอกเล่าเขาถึงสิ่งที่เห็นในแดนโบราณวินาศ และแบ่งปันข้อสันนิษฐานของราชามารตู้เถียน “การชนกันของสองโลกมิติอาจจะเกิดขึ้นในอีกหมื่นปีข้างหน้า แต่มันก็อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องจัดแจงตระเตรียมเอาไว้ ยิ่งมีเทพเจ้าในสันตินิรันดร์มากเท่าไร ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถต่อต้านฝั่งตรงข้ามได้!”
ราชครูสันตินิรันดร์พึมพำกับตนเองอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่จะถามอย่างไม่เชื่อหู “เจ้าสามารถเข้าไปในความมืดได้หรือ”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกความจริงกับเขา “ข้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย ข้าเดาว่าเขาคงจะหมายถึงว่าข้าอาจจะเป็นลูกครึ่งมารปีศาจจากแดนใต้พิภพ”
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากและกล่าว “หากว่าสวรรค์หมายที่จะทำลายล้างสันตินิรันดร์ของข้า ก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะทำได้ ส่วนในตอนนี้ จักรพรรดิได้ข้ามสะพานเทวะแล้ว และยังมีเทพเจ้ามากกว่าสิบตนอยู่ตามชายแดน”
“ข้าบอกกับจักรพรรดิว่า เทพเจ้าทุกตนต้องมีประวัติบันทึก และเขาก็ได้ทำเช่นนั้นแล้ว เพียงแต่การต่อสู้กับโลกมิติของมารร้ายดูจะเป็นเรื่องอันตรายอักโข สันตินิรันดร์คงไม่มีแสนยานุภาพขนาดนั้นภายในเวลาหลายสิบปี หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ…” เขาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าก็จะส่งต่อความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่เจ้า”
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง ในเมื่อเขารู้ดีว่าข้างในถ้อยคำนั้นคือจิตมุ่งมั่นที่จะสละชีวิตเพื่อจักรวรรดิ “มารพวกนั้นได้โจมตีโลกในความมืดมามากกว่าสองหมื่นปี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะเอาชนะได้ในวันพรุ่งนี้ ราชครูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก การบุกเบิกถนนนั้นสำคัญกว่า”
ทั้งสองคนจึงกล่าวลาจากกัน
ฉินมู่นำกิเลนมังกรและหีบไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อันคึกคักพลุกพล่านมากกว่าแต่ก่อน มีผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากที่มาจากทั่วโลกหล้า แม้แต่จากทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็ง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้บัญชาให้สี่สถาบันใหญ่แบ่งเบาภาระของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นสถาบันสุสานแม่น้ำ สถาบันแม่น้ำหย่ง สถาบันแม่น้ำหลี่ และสถาบันนักบุญสวรรค์จึงรุ่งเรืองคับคั่งด้วยเช่นกัน สถาบันเหล่านั้นมากล้นไปด้วยบัณฑิต แต่เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว ก็ยังขาดพร่องอยู่บ้าง
“จ้าวลัทธิฉิน!”
“อธิการบดีฉิน!”
ข่าวการมาถึงของฉินมู่ได้แพร่กระจายออกไปทั่วมหาวิทยาลัยจักรวรรดิโดยทันที และเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนก็พานักพรตมากมายเข้ามา เฒ่าหม่าเองก็พาหลวงจีนของเขามา ขณะที่กู่ลี่หนวนก็พาคณะบัณฑิตจักรวรรดิมาต้อนรับ สหายของฉินมู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็ออกมาเช่นกัน ฉินมู่รีบคารวะทักทายทุกๆ คนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอันคับคั่ง
“อธิการบดีฉินเป็นบัณฑิตที่มาจากบัณฑิตนิเวศน์พวกเรา และแม้แต่ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องเลิศล้ำเหนือธรรมดาและผงาดขึ้นไปเป็นมังกรฟ้าอย่างแน่นอน!” ใบหน้าของกู่ลี่หนวนเปล่งปลั่งขณะที่เขาแย้มยิ้ม “ใครจะไปคิดว่าบัณฑิตฉินจะกลายเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ มาคิดๆ ดูแล้ว ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติเช่นกัน!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ใต้เท้ากู่ ข้ามาเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่อีกครั้ง ดังนั้นข้ายังคงเป็นบัณฑิตตัวเล็กๆ ของท่าน!”
กู่ลี่หนวนซาบซึ้งใจอย่างหนัก “ใต้เท้าฉิน โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น! มาคิดดูแล้ว พวกเรานั้นเป็นสหายเก่า ครั้งก่อนนั้นที่ข้าได้พบกับท่านในวังมังกรแม่น้ำหย่ง ข้าก็รู้แล้วว่าท่านน่ะไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ยกกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้ท่านหรอก นี่เรียกว่ามีสายตาเฉียบแหลมเล็งเห็นพรสวรรค์ กำนัลกระบี่ล้ำค่าให้แก่วีรบุรุษ วาสนาระหว่างข้าและใต้เท้าฉินได้เริ่มต้นที่วังมังกรแม่น้ำหย่ง! ฮ่าๆๆๆๆ!”
ทุกคนครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่น้อมคารวะยูไลหม่าและหลินเสวียน ก่อนที่จะทักทายเว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ ลิงยักษ์อสูรก็มาด้วยเช่นกัน และทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น และคนอื่นๆ ได้ไปฝึกฝนในกองทัพระหว่างช่วงสองปีมานี้ และวรยุทธของพวกเขาก็เพิ่มพูนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้เติบโตมาเป็นบุคคลอันสามารถรับผิดชอบหน่วยกองได้ และฉินมู่ก็ดีใจแทนพวกเขา
ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ที่ได้พบความสำเร็จมานานแล้ว และเดินทางไปยังสถานที่อื่นเพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง
แต่การที่ลิงยักษ์อสูรปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้น เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายของฉินมู่
เมื่อซิงอ้านสร้างความโกลาหลในวัดน้อยฟ้าคำราม ยูไลน้อยไม่อาจต้านรับการสักการะของเทพหมอผีขุย และดวงวิญญาณของเขาก็แตกสลาย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงได้นำหลวงจีนทั้งหลายแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำรามตามคำสั่งเสียของยูไลน้อย การเดินทางลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม การมาเยือนของหลวงจีนปีศาจมากมายก็สร้างความอลหม่านเป็นอย่างหนัก
ในฐานะศิษย์ของยูไลน้อย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงนับว่าอยู่ในรุ่นอาวุโสเดียวกับเฒ่าหม่า หนึ่งมนุษย์และหนึ่งปีศาจถกเถียงกันเรื่องธรรมะบนยอดเขาทองคำแห่งเขาพระสุเมรุ โดยมีหลวงจีนนับไม่ถ้วนยืนสดับอยู่ข้างล่าง
คำพูดของลิงยักษ์อสูรมีไม่มาก แต่ทุกคำของเขามีค่าราวไข่มุกราวทองคำ ประโยคหนึ่งของเขามีแค่สามถึงห้าคำ แต่ว่าแต่ละคำนั้นน่าสะท้านขวัญและทำให้ผู้คนต้องเอาไปขบคิดอย่างลึกซึ้ง เขาทำให้ไต้ซือทั้งหลายบนเขาพระสุเมรุอึ้งจนพูดไม่ออก ถึงขั้นที่ว่าไม่อาจจะโต้วาทะได้อีกต่อไป
นี่ยาวนานถึงสามวันสามคืน จนกระทั่งหลวงจีนทั้งหมดถอยร่นไปด้วยความพ่ายแพ้ โชคดีที่ว่ามีแม่ทัพหนวดเฟิ้มผู้หนึ่งแห่งสันตินิรันดร์ขึ้นมาบนภูเขา เมื่อเขาขึ้นไปยังยอดเขาทองคำและถอดเกราะของเขาออก เขาเรียกตนเองว่าหลวงจีนหมิงซิ่น และโต้วาทีกับลิงยักษ์อสูรไปอีกหลายวัน นั่นแหละวัดใหญ่ฟ้าคำรามจึงกู้หน้ากลับมาได้บ้าง
หลวงจีนหมิ่งซิ่นไม่กล่าวยืดยาด และสิ่งที่เขาสนทนาทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน เขาไม่ได้พูดถึงคัมภีร์หรือพระธรรมคำสอน แต่ทว่าถ้อยคำของเขามีความหมายอันลึกล้ำและทำให้ทุกคนรู้สึกว่าที่เขากล่าวนั้นคือธรรมะในศาสนาพุทธ อันทั้งเลิศปัญญาและหลากหลาย
การโต้วาทีนี้ได้สะท้านสะเทือนโลกหล้า
เฒ่าหม่ากล่าวชมหลวงจีนทั้งสอง สำหรับการโต้วาทีที่ลื่นไหลและไร้ข้อจำกัด จากนั้นก็รับปิฎกพระสูตรปีศาจจากลิงยักษ์อสูร และรับเอาหลวงจีนปีศาจทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหญ่ฟ้าคำราม สองสำนักก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน
เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และแพร่กระจายออกไปทั่วแดนศักดิสิทธิ์และสถาบันทั้งหลาย มันเป็นที่รู้จักในนามว่า การถกเต๋าบนยอดเขาทองคำ และกลายเป็นเรื่องอันโด่งดั่งที่ผู้คนพูดถึงทั่วหัวมุมถนนไปพักหนึ่ง
ในช่วงเวลานั้น ฉินมู่กำลังวิ่งหนีจากซิงอ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปเป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนเขาพระสุเมรุ ส่วนว่าเรื่องจริงนั้นจะสมกับตำนานเล่าขานหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ในครั้งนี้ เฒ่าหม่าพาลิงยักษ์อสูรและหลวงจีนหมิงซิ่นกับหลวงจีนอื่นๆ จำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องราวอันทำให้ทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก และเมื่อเจ้าสำนักเต๋านำนักพรตมากมายมาด้วยเช่นกัน นี่ก็กลายเป็นวโรกาสอันยิ่งใหญ่!
หลังจากความวุ่นวายไปพักหนึ่ง ทุกคนก็เข้าไปนั่งในโถงบรมศึกษา เมื่อฉินมู่กล่าวว่ามาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น และเมื่อครู่นั้นกู่ลี่หนวนก็คิดว่าเขาเพียงแต่พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้จริงๆ
กู่ลี่หนวนจึงรีบเชิญผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกโถงในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาเพื่อพูดถึงความเข้าใจในวิชาใหม่ๆ ของแต่ละคน นักพรตและหลวงจีนแห่งสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำรามก็ก้าวออกมาเพื่อพูดถึงความสำเร็จในปัญญาของตนเองด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลานั้น ทักษะเทวะ มรรคา และวิชาอันไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก็ท่วมท้นอยู่เต็มห้องโถง แม้แต่ฉินมู่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ เขานั้นอัศจรรย์ใจต่อความคิดสร้างสรรค์ของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้
หลังจากสองวัน หลิงอวี้จิวและหลิงอวี้ชู้ก็มายังเมืองหลวงเพื่อซักไซ้ไต่ถาม และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาก็เข้าร่วมการอภิปรายการปฏิรูปและความก้าวหน้าใหม่ๆ ในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ
หลังจากเวลาสี่ห้าวัน ชนรุ่นเยาว์จากสถาบันใหญ่ทั้งสี่ก็รีบรุดมา บัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์นำมาโดยซีอวิ๋นเซี่ยง บัณฑิตแห่งสถาบันสุสานแม่น้ำนำมาโดยฉินเฟยเยว่ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของราชครูสันตินิรันดร์ และเป็นครูผู้สอนของสถาบันสุสานแม่น้ำ
อวี้เหยียนชูอวี่นำบัณฑิตแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งมา และสำหรับสถาบันแม่น้ำหลี่ อธิการบดีของพวกเขาคือป้าซาน แม่น้ำหลี่นั้นอยู่ห่างไกลที่สุด และต้องใช้ผู้มีความสามารถสูงในการก่อตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นมา ดังนั้นจักรพรรดิจึงแต่งตั้งให้ป้าซานไปดำรงตำแหน่งนั้น
ชนรุ่นเยาว์แห่งสี่สถาบันใหญ่มารวมตัวกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และมันกลายเป็นคับคั่งมากยิ่งขึ้น ด้วยความประหลาดใจของทุกคน หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ และหลงอวี๋แห่งนครหยกน้อยก็เร่งรุดมาหลังจากนั้นไม่กี่วันด้วยเช่นกัน
ไม่ทันที่ทุกคนจะนั่งกันครบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “ในวินาทีที่ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้าก็รีบเร่งมา แต่ดูท่าก็ยังคงล่าช้า!”
ฉินมู่รีบลุกขึ้นต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม “พี่ซวี นับแต่จากกันมาที่วัดน้อยฟ้าคำรามหวังว่าท่านคงจะสบายดีนะ?”
ซวีเซิงฮวานำจิงเอี้ยนมาด้วย “ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของจ้าวลัทธิเป็นเวลานาน และเห็นเจ้าก็ยังสบายดีอยู่ทำให้ข้าโล่งอก”
ทุกคนนั่งลง และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกค่ายสำนักพูดถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของตน การฝึกปรือและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน ทุกความคิดประหลาดพิสดารถูกกล่าวออกมา พวกเขาได้ทำให้แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและขุนนางราชสำนักก็สนอกสนใจและรีบรุดมารับฟังด้วยเช่นกัน
ฉินมู่ หลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง นักพรตหลินเสวียน ลิงยักษ์อสูรจ้านคง หมิงซิ่น ซวีเซิงฮวา และหวางมู่หรัน ต่างได้รับเชิญให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อสนทนาถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขา การปะทะสังสรรค์กันของความคิดทุกรูปแบบทำให้ผู้ชมข้างล่างลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม
พวกเขาล้วนแต่มีความสำเร็จอันเป็นเอกลักษณ์ในจิตวิญญาณดั้งเดิม และด้วยการแบ่งปันความคิดพิสดารอัศจรรย์ทั้งหมดของแต่ละคนออกมา พวกเขาทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก
“ข้ามีความคิดหนึ่ง!” ฉินมู่พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สันตินิรันดร์กลายใหญ่กว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆ อันทำให้ยากต่อการติดต่อสื่อสารเมื่อพวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถเดินทางได้รวดเร็วและเคลื่อนไปได้เป็นล้านๆ ลี้ภายในชั่วพริบตา หากว่าพวกเราสามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิม นี่จะไม่ช่วยพวกเราประหยัดเวลาการเดินทางเพื่อมาพบปะกันหรอกหรือ”
ข้อเสนอแนะของเขาพลันได้รับการสนับสนุนจากคนหนุ่มสาวมากมายในทันที ทุกคนเริ่มที่จะระดมสมองเพื่อคิดหาวิธีให้จิตวิญญาณดั้งเดิมอันแตกต่างกันสามารถมาติดต่อสื่อสารกันได้ และออกความคิดเห็นของพวกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและเจ้านครเว่ยหันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ เจ้านครเว่ยกล่าว “เมื่อครู่พวกเขายังพูดกันมีสาระอยู่ดีๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มพูดเหลวไหล จิตวิญญาณดั้งเดิมเคลื่อนที่เร็วเกินไป ข้ามระยะทางล้านๆ ลี้ได้ในพริบตา ดังนั้นจึงยากที่จะเอามันมาพบปะกัน มันยากที่จะควบคุมจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แม่นยำ ต่อให้รู้เป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งมันไปที่ไหน ดังนั้นจะพูดถึงเรื่องการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มกล่าว “มาลองรอดูกันเถอะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้านครเว่ยและคนอื่นๆ ก็จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง อึ้งจนพูดไม่ออก ที่หน้าโถงบรมศึกษาขณะที่ทุกคนอภิปรายว่าจะดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมที่แตกต่างกันเข้ามาด้วยกันได้อย่างไร วิชามากมายก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย นี่ทำให้เจ้านครเว่ย จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และชนรุ่นอาวุโสทั้งหลายต่างก็ต้องอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ
ในระหว่างนั้นฉินมู่ก็กำลังจัดระเบียบความคิดเห็นใหม่ๆ เหล่านั้น และหลังจากเวลานานอยู่ เขาก็สร้างสรรค์วิชาฝึกปรือใหม่ขึ้นมาบนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม
เขาถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้แก่ทุกๆ คนอันทำให้พวกเขาทั้งหลายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขารีบรื้อสร้างโถงบรมศึกษาขึ้นมาใหม่ และเพิ่มรอยประทับอักษรรูนมากมายข้างในอาคาร
“ทุกท่าน พวกเราไปยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก หนึ่งพันลี้จากที่นี่กันเถอะ และเริ่มการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม!” ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น
บัณฑิตหมื่นคนในโถงบรมศึกษาลุกขึ้นพร้อมกับเสียงอึงคะนึงและเร่งรุดจากไปในทิศไกลๆ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิพลันว่างเปล่า มีก็แต่จักรพรรดิและขุนนางทั้งหลายเหลืออยู่ มองไปยังโถงอันโล่งว่าง
หลังจากสองชั่วโมง จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็พลันปรากฏ ร่างของมันใหญ่มหึมา สำนึกรู้ของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อเขาประกาศ “มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง เริ่มได้!”
ปัง ปัง ปัง!
จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมายพลันปรากฏในโถงบรมมศึกษา มารวมตัวกัน
จิตวิญญาณดั้งเดิมหมื่นตน นั่งอยู่กลางอากาศ
ข้างนอกนั้น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและคนอื่นๆ อึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน จ้องไปข้างหน้าพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
…………….