ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 511 ลู่หลีแห่งแดนใต้พิภพ

ตอนที่ 511 ลู่หลีแห่งแดนใต้พิภพ

ซิงอ้านลืมตาขึ้นมาเพื่อมองไปรอบๆ ร่างกายเขายังคงมีชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ นานางอกเงยออกมาอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนปลาหมึกยักษ์เกาะอยู่ที่หลังของเขา หนวดของมันแข็งแรงและม้วนพันรัดเขาไว้แน่นพลางบีบเข้าอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาหมดสติไปจากการบีบรัดของสัตว์ประหลาดนี้

“ใครกำลังพูด” เขาถามอย่างอ่อนแรง

“มนุษย์จากโลกแห่งคนเป็น สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ ซิงอ้าน หลังจากที่ตกมาถึงสภาพนี้แล้ว เจ้ายังอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็นอีกไหม”

เจ้าของเสียงวนอ้อมไปรอบๆ ตัวเขา บางครั้งคำพูดก็ดังมาจากทางซ้าย บางครั้งก็มาจากทางขวา บางครั้งมาจากข้างบน และบางครั้งก็มาจากข้างล่าง มันดูเหมือนกับมัจฉาที่แหวกว่ายไปในความมืด

“เจ้าคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี แต่กระนั้นก็ยังต้องตกในสภาพเช่นนี้ นี่ทำให้ข้าต้องถอนหายใจด้วยความเสียดายจริงๆ เจ้าจะพบหน้าผู้คนในโลกหล้าด้วยสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร”

แขนขาของซิงอ้านถูกสัตว์ประหลาดรัดพันเอาไว้และเขามิอาจขยับได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่หายใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้ เขาได้ถูกทรมานอย่างเกินจินตนาการและทุกข์ทุรนมากที่สุดเท่าที่เคยพบในชีวิต เขาไม่เคยน่าอนาถและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ขนาดนี้มาก่อน

ทว่าในบัดนี้ เขาก็ยังไม่อาจคลายใจได้อยู่ดีเมื่อเขาอยู่ในแดนใต้พิภพ

หลังจากที่เขากระโดดลงไปในแม่น้ำเขาถึงพบว่าเขาได้หล่นลงมาที่ไหน นั่นคือสถานที่อันคนตายจ่อมจมลงไป

เขาสิ้นหวัง แดนใต้พิภพคือสถานที่ที่ภูติบดีปกครอง และเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครรอดชีวิตมาได้หลังจากเข้าไปในแดนใต้พิภพ

เขาได้บุกเข้าไปในยมโลกและบัดนี้ก็บุกเข้าไปในแดนใต้พิภพ ทำไมสวรรค์ถึงทำร้ายเขาซ้ำๆ ซากๆ

“เจ้าคือตัวอะไรกันแน่ ทำไมถึงมาเย้ยหยันข้า”

ซิงอ้านระบายลมหายใจสะท้าน เขาอยากที่จะดิ้นรนออกจากการรัดพันของสัตว์ประหลาด แต่ไม่อาจรีดเร้นพลังงานใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาสามารถหลุดออกมาได้ ชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆ ก็จะกระด้างกระเดื่องและทุบตีเขา ด่าทอเขา

เขาไม่มีพละกำลังหลบหนีไปจากสัตว์ประหลาด ต่อให้เขาหลุดเป็นอิสระจากชิ้นส่วนร่างกายบนเนื้อตนของตนได้ อายุขัยของเขาก็ไม่ยาวนาน และหากว่ามันมาถึงจุดจบ เขาก็คงจะตายในแดนใต้พิภพ

“ชื่อของข้าคือลู่หลี” เสียงนั้นกล่าว ไม่ขยับเคลื่อนที่อีกต่อไป “เสวียนหมิงคือซ้าย หานเหลยคือขวา ลู่หลีคือข้างหน้า และเจว้หวงคือข้างหลัง”

ซิงอ้านหอบหายใจ “ลู่หลี? เจ้าถามข้าว่าข้าอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็นใช่หรือไม่ ข้าอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็น!”

“เจ้าไม่รู้ความหมายของบทกวีนี้หรอกหรือ” น้ำเสียงของมันดูค่อนข้างผิดหวังพลางถอนหายใจ “ยอดฝีมือขั้นสุดแห่งโลกแห่งคนเป็นนี่ช่างโง่เขลาไร้ความรู้เสียเหลือเกิน ถึงกับไม่รู้จักเสวียนหมิง หานเหลย ลู่หลี และเจว้หวง พวกเจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียว? เอาเถอะ ข้าจะไม่รังแกความโง่เขลาของเจ้า ข้าสามารถทำให้เจ้ากลับไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ ทั้งยังแก้ไขอันตรายของร่างเนื้อเจ้าอีกด้วย ข้ายังสามารถลบบันทึกความตายของเจ้า และทำให้เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะตายจากความชรา”

ซิงอ้านสีหน้าผ่อนคลายลง และเขาถาม “ข้าต้องทำอะไร”

“คุยกับคนฉลาดช่างน่ารื่นรมย์” ลู่หลีกล่าว “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีเด็กคนหนึ่งถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และดูซับปราณแห่งแดนใต้พิภพ ก่อนที่จะถูกนำตัวจากไป เขานั้นถูกส่งออกไปจากที่นี่ และข้าต้องการให้เจ้าส่งเขากลับมา ร่างเนื้อของข้าแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นข้าจึงไม่อาจผ่านม่านคุ้มกันระหว่างแดนใต้พิภพและโลกแห่งคนเป็นได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเดินทางไปที่นั่นและทำงานให้ข้า!”

“ข้าจะหาเด็กคนนั้นได้อย่างไร” ซิงอ้านถาม

“ง่ายมาก เขามีจี้หยกอยู่อันหนึ่ง บนจี้มีอักษรรูนอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ ทั้งยังมีคำว่าฉินสลักอยู่บนนั้น ดังนั้นเจ้าจะจดจำมันได้ทันทีที่เห็นมัน” ลู่หลีอธิบาย “ตอนนี้เขาน่าจะอายุสิบเจ็ดปี เกือบจะสิบแปด ข้าได้เขียนข้อมูลการเกิดของเขาและรูปร่างของจี้หยก เขาเกิดขึ้นในวันที่แปดเดือนจันทรคติที่สิบสอง ปีแรกแห่งรอบหกสิบปี เดือนสุริยคติที่สิบสอง เวลาเที่ยงคืน”

ภาพโบยบินออกมา และสัตว์ประหลาดแปดหนวดที่รัดพันซิงอ้านอยู่พลันละออกไป หายลับในความมืด

ในเวลาเดียวกันนั้น ชิ้นส่วนอวัยวะบนร่างกายของซิงอ้านก็เริ่มเน่าเปื่อย และศีรษะ แขน ขา และร่างมากมายก็ร่วงหลุดออกไป ซิงอ้านสะท้านหัวใจอย่างรุนแรง เมื่อเขาพบว่าร่างกายของเขากลายเป็นของเขาอีกครั้ง เขารีบยื่นมือคว้าภาพวาด

เสียงของลู่หลีดังข้างๆ หูเขาในตอนนั้น “ตามหาเด็กคนนี้ เจ้าจะจับเป็นหรือจับตายก็ได้ แต่ไม่อาจทำให้ดวงวิญญาณของเขาแตกสลายเป็นอันขาด ข้าต้องการให้เจ้าส่งดวงวิญญาณที่ครบสมบูรณ์ของเขามายังแดนใต้พิภพ! ถ้าเขาเสียหายแม้แต่เส้นผมเดียว เจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!”

เมื่อมันกล่าวคำสุดท้าย แขนขาก็พลันงอกเงยขึ้นมาจากร่างของซิงอ้าน

เสียงหัวเราะคิกคักของลู่หลีลอยไปมารอบๆ ขณะที่ร่างกายของซิงอ้านกลับมาเป็นปกติ เหงื่อเย็นเยียบผุดออกมาจากหน้าผากของเขา

“ข้าจะให้กระจกเจ้าไปบานหนึ่ง หลังจากที่เจ้าหาตัวเขาพบ เจ้าสามารถใช้กระจกนี้เพื่อยืนยันตัวตนของเขา” กระจกบานหนึ่งพลันปรากฏออกมาความมืดและร่วงลงไปในมือซิงอ้าน ลู่หลีกล่าวแกมหัวเราะ “กระจกนี้สามารถสะท้อนตัวตนของเขาได้ แต่เจ้าจะต้องไม่ส่องกระจกไปที่เขาตอนที่เจ้าหันหน้าไปหาเขา เจ้าเข้าใจไหม”

“ต้องไม่ส่องกระจกไปที่เขาตอนที่ข้าหันหน้าไปหาเขา?” ซิงอ้านจ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังวัตถุที่ลอยอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าสิ่งประหลาดที่กำลังสนทนากับเขาอยู่หมายความว่าอย่างไร

“ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าใช้กระจกส่องสำรวจเขา เจ้าจะต้องหันหลังให้กับเขา!” น้ำเสียงของลู่หลีกลายเป็นเฉียบขาด “จำเอาไว้ เมื่อหันหน้าเข้าหาเขา เจ้าส่องกระจกไปที่เขาไม่ได้โดยเด็ดขาด! เจ้าจะต้องไปหันหน้าไปมองเขา!”

“ข้าเข้าใจแล้ว! ไม่ต้องย้ำหลายครั้งหรอก แค่เรื่องเล็กๆ….”

“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน!” ลู่หลียิ้มหยัน “หากว่าเจ้าส่องกระจกไปที่เขาระหว่างที่หันหน้าไปทางเขา เจ้าจะสร้างปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่มากๆ! ข้าสามารถยืดอายุขัยเจ้าได้สามสิบปี ดังนั้นเจ้ามีเวลาสามสิบปีที่จะทำเรื่องนี้ให้แก่ข้า เจ้าไปได้แล้ว!”

“ช้าก่อน!” ซิงอ้านแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “พวกเรายังไม่ได้พบหน้ากันสักครั้ง แต่ในเมื่อกระจกนี้สามารถส่องมองผู้คนได้ มันก็น่าจะสะท้อนภาพของเจ้าได้เช่นกัน ใช่หรือไม่” เขาพลิกกระจก และส่องมันไปข้างหลังเขา

“เจ้า…”

เขาจ้องมองไปที่กระจกและเห็นเงาสะท้อนของสตรีโฉมงามไร้ผู้ทัดเทียม เสียงของลู่หลีเป็นของบุรุษ แต่กระจกกลับส่องออกมาเป็นภาของสตรี!

สาวงามผู้นั้นดีดนิ้ว และซิงอ้านก็หมุนปั่นติ้วๆ ราวกับว่าเขาร่วงหล่นลงไปในวังน้ำวนยักษ์ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ตระหนักว่ากำลังอยู่บนก้อนหินยาวใต้ต้นสนโบราณราวกับว่าเขาได้ผล็อยหลับและใช้เวลาค่ำคืนอยู่กลางแจ้งนี้

บริเวณโดยรอบมีเสียงนกร้องและมวลดอกไม้หอมกรุ่น เช่นเดียวกับบ่อน้ำพุและน้ำตก และยังมีฝูงลิงจำนวนหนึ่งแกว่งโยนตัวเองไปมาระหว่างพงไพร ก่อนที่จะหยุดเพื่อเด็ดกล้วย พวกมันปอกเปลือกกล้วยและกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางมองมาที่เขาด้วยความระแวดระวัง

ด้วยความตกตะลึง ซิงอ้านมองไปรอบๆ ตอนนี้ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ที่หน้าผาขาดแห่งแดนโบราณวินาศล่ะ ตรงหน้าเขามีมหาสมุทรอยู่!

“ที่นี่คือที่ไหน” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างงุนงง

“ที่นี่คือทะเลใต้” ลิงนั้นปาเปลือกกล้วยมาโดนหัวของเขา

“ทะเลใต้?”

ซิงอ้านลุกขึ้นทันที ด้วยความงุนงง ตอนนี้เขาอยู่ที่อาณาเขตทางใต้สุดแห่งแดนโบราณวินาศอันอยู่ห่างจากจุดที่เขาเข้าไปในยมโลกถึงสามหมื่นสี่หมื่นลี้!

“เจ้าคือสัตว์พิสดารในแดนโบราณวินาศ แต่สามารถพูดได้ ดูท่าเจ้าจะเป็นพันธุ์ผสมประหลาดๆ ที่ปลุกสติปัญญาขึ้นมา”

ซิงอ้านหยิบเปลือกกล้วยขึ้นมา ดีดมันออกไป “เห็นแก่ที่เจ้าชี้ตำแหน่งสถานที่ให้กับข้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่โทษทัณฑ์เล็กน้อยยังต้องมี”

ลิงนั้นกระโดดขึ้น และเมื่อมันเหยียบลงมา เปลือกกล้วยก็ปรากฏใต้เท้าของมัน ทำให้มันลื่นล้ม ลิงนี้โมโหเดือด แต่เมื่อมันปีนขึ้นมา หมายที่จะแก้แค้นซิงอ้าน อีกฝ่ายก็หายสาบสูญไปแล้ว

“ใจแคบจริงๆ!” ลิงรู้สึกคั่งแค้นและกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อีกต้น ทว่าด้วยความประหลาดใจ ที่มันคว้าจับได้กลับเป็นเปลือกกล้วย ทำให้มันร่วงตึงลงมาจากต้นไม้

เปลือกกล้วยดูเหมือนว่าจะตามติดลิงตัวนี้ไปตลอด ตราบใดที่มันกระโดดขึ้น เปลือกกล้วยก็จะลอยไปที่มือหรือเท้าของมัน ทำให้มันลื่นและร่วงอย่างหมดท่า

ลิงเดือดดาล คว้าหินมาทุบเปลือกกล้วยจนแหลกละเอียด

ในตอนนั้น ซิงอ้านก็จากไปแล้วและพึมพำ “แม้ว่าลู่หลีจะไม่ธรรมดา แต่นางก็ไม่อาจเข้าในโลกแห่งคนเป็น ข้า ซิงอ้าน จะถูกนางชักใยบงการได้หรือ นางให้อายุขัยข้ามาสามสิบปี และคิดจะควบคุมข้าด้วยของเพียงเท่านั้น? ไม่ง่ายนักหรอก! หมอเทวดาฉินกล่าวว่าเขาได้คิดค้นตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ และเผยแพร่มันไปในวงกว้าง ข้าจะไปที่สันตินิรันดร์ และด้วยปฏิภาณกับพรสวรรค์ของข้า ข้าก็จะสามารถกลายเป็นเทพเจ้าได้ภายในปีสองปี และหลุดพ้นจากการควบคุมของนาง!”

ทันใดนั้น เสียงของลู่หลีก็ดังมาข้างหูเขา “วายร้าย ข้าจะหักอายุขัยเจ้าออกไปสิบห้าปี”

ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรงและหันไปมองดูรอบๆ ทว่าไม่อาจพบร่องรอยของลู่หลี

นี่คือโลกคนเป็น และนางไม่สามารถมาที่นี่ได้! ข้าจะต้องหลอนไปเองแน่!

ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขาก็พลันสำเหนียกขึ้นมา และรีบเปิดสมบัติเทวะเป็นตายของตน เขาพบว่ามันเชื่อมต่อกับแดนใต้พิภพอันมืดมนและขมุกขมัว ดวงตาคู่หนึ่งวาววามอยู่ในความมืดนั้น จับจ้องมาที่เขา

ซิงอ้านเลือดในกายเย็นเฉียบ เขารู้แล้วว่าเขาไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ต่อให้เขากลายเป็นเทพเจ้า ก็ยากที่จะหลุดเงื้อมมือของสตรีนางนี้อยู่ดี!

บุคคลที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพคือใครกัน

ซิงอ้านขมวดคิ้ว มีผู้คนมากมายที่อายุสิบเจ็ดปี ดังนั้นเขาจะไปเสาะหาคนผู้นี้ได้ที่ไหน

“มังกรอ้วน เร็วเข้า ท้องฟ้าจะมืดแล้ว!” ฉินมู่เร่งเร้า “พวกเราจะต้องหาซากโบราณหรือหมู่บ้านก่อนกลางคืนจะมาถึง!”

ความมืดท่วมท้นมาจากทิศตะวันตกขณะที่ฉินมู่นำกิเลนมังกรและหีบวิ่งเข้าไปในซากโบราณอันเต็มไปด้วยสัตว์พิสดารแห่งแดนโบราณวินาศ พวกมันล้วนแต่อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

หีบขุดเอาหลักจารึกหินแตกหักขึ้นมาจากใต้ดินและหมายจะงาบมันเข้าไปในท้อง แต่หลักจารึกนั้นใหญ่เกินไปมันจึงยัดไม่เข้า

ฉินมู่ก้าวเข้าไปและปัดฝุ่นออกจากหลักจารึกแตกหัก แล้วอ่าน–สวรรค์พิสุทธิ์แสงมืดแห่งเทพมารดรเจ็ดดาว นี่คือสภาสวรรค์ของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สถานที่อันเทพมารดรเจ็ดดาวพำนักอยู่งั้นหรือ เทพมารดรเจ็ดดาวนี้น่าจะเป็นเทพนารีที่แข็งแกร่งตนหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าขนาดสถานที่เช่นนี้ก็ยังกลายเป็นซากปรักหักพัง…

เขาลุกขึ้นยืนและไปยังที่ทางเข้าตำหนักของเทพมารดรเจ็ดดาว และมองเข้าไปยังความมืดภายในนั้น

ความมืดดูเหมือนจะถูกขวางกั้นไว้โดยม่านแสงที่ทางเข้าตำหนัก มันแบ่งแยกชัดเจนระหว่างแสงและมืด

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นหัวแม่มือออกไป เล็บของเขาเข้าใกล้ความมืดเข้าไปทุกที

“จ้าวลัทธิ อย่าตายนะ–”

กิเลนมังกรกระโจนเข้าไป และกัดขาเขาเพื่อลากเขากลับมา ทำให้เขาถูกลากคลุกฝุ่นเต็มไปหมด และฉินมู่ก็ลุกขึ้นมาอัดกิเลนมังกรให้น่วมเมื่อเขาลุกขึ้นมาได้

โฮกกก!

ในซากโบราณพลันปั่นป่วนวุ่นวาย สัตว์พิสดารและสัตว์ร้ายระดับจ้าวครองแคว้นหลายตัวโกรธเกรี้ยว และพวกมันร้องคำรามพร้อมๆ กันพลางเดินรุกคืบเข้ามาหาฉินมู่

หน้าผากของเขาแตกเหงื่อออกมา และเขาค่อยๆ ถอยหลัง เขามองไปยังสัตว์พิสดารนับพันที่กำลังเข้าใกล้เขาและพยายามอธิบาย “ทุกคนฟังข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจละเมิดกติกาของแดนโบราณวินาศ เป็นเจ้ามังกรอ้วนต่างหากที่ทำข้าก่อน…”

เขาถอยไปที่ประตูและหลังชนเสาหินต้นหนึ่ง สัตว์พิสดารบางตนก็ทุบอกปึ้กๆ บางตนก็ขู่คำรามในคอ และบางตนก็แยกเขี้ยว บ้างก็ลับเล็บของพวกมัน และบ้างก็เตรียมทักษะเทวะ พร้อมที่จะสังหารไอ้เจ้าคนละเมิดกติกาแดนโบราณวินาศ

ฉินมู่กัดฟันกรอด และพลันหันหลัง เขาถลันไปหนึ่งช่วงหัว และศีรษะของเขาก็ดันเข้าไปในความมืด

สัตว์พิสดารเกือบทั้งหมดตกตะลึง กิเลนมังกรร้องโหยหวนและรีบงับขากางเกงของฉินมู่เพื่อดึงเขากลับมา สัตว์พิสดารตัวอื่นๆ ปิดหน้าของพวกมันเมื่อพวกมันรู้ว่าโครงกระดูกอันไร้เลือดเนื้อจะถูกดึงออกมาจากในนั้น ไม่ว่าจะทั้งหัวถูกตัดไปจนเกลี้ยง หรือไม่ก็เละเป็นเลือด!

“มังกรอ้วน ไปไกลๆ” ฉินมู่เตะทีหนึ่ง และสัตว์พิสดารทุกตัวก็ขนลุกซู่เต็มเหยียด โลหิตของพวกมันเย็นเฉียบ!

“ศะ-ศะ-ศพ…” สัตว์พิสดารจ้าวครองแคว้นตนหนึ่งตะกุกตะกัก และเสียงของเขาก็สูงขึ้นเป็นตะโกน “ศพขยับได้!”

ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็เข้าไปในความมืดในผลุบเดียว ไม่ทันที่สัตว์พิสดารทั้งหลายจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศีรษะหนึ่งก็ผลุบกลับเข้ามาจากในความมืด

ตึง!

สัตว์พิสดารตนหนึ่งล้มคว่ำ เป็นลมไปจากความตกใจ

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท