ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 520 สักการะบรรพชนในโถงกษัตริย์มนุษย์

ตอนที่ 520 สักการะบรรพชนในโถงกษัตริย์มนุษย์

“กษัตริย์มนุษย์พวกนั้นทำอะไรกันอีกแล้ว ทำไมมันถึงอึกทึกนัก” ในยมโลก ท้าวยมราชยืนอยู่หน้าท้องพระโรงราชาฉินและมองเข้าไปในเมือง เขาสามารถมองเห็นราชวังต่างๆ ถล่มลงมาตามๆ กัน และถามอย่างสงสัย “นี่คือศิษย์ต่อยตีอาจารย์อีกแล้วหรือ การต่อยตีรอบนี้ดูจะไม่ปรานีเลยสักนิด…”

นกยักษ์บินมา และลงจอดที่พื้นเพื่อแปลงกลายเป็นเทพหัวนกฉือซิ่ว ขาไซ้ขนของตนเองและส่ายหัว “ท้าวยมราชเดาผิดแล้ว นี่มิใช่ศิษย์ต่อยตีอาจารย์ แต่เป็นอาจารย์และบรรพชนทั้งหลายร่วมกันกลุ้มรุมประชาทัณฑ์ศิษย์คนท้ายสุด กษัตริย์มนุษย์ซูกลับเมืองมา และถูกต่อยตีโดยอาจารย์ของเขา อาจารย์ปู่ และบรรพชนทั้งหมด เขาถูกทุบตีจนยับเยินน่าสังเวช แต่เขาตายไม่ได้ต่อให้อยากตายก็ตาม”

ท้าวยมราชตื่นตระหนกเล็กน้อย “พวกเขาเปลี่ยนกฎกติกาหรือ”

“ข้าก็ไม่ทราบ แต่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน กษัตริย์มนุษย์ซูนำจารึกโบราณมาและกล่าวว่ามีตำนานเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินปรากฏเมื่อสี่หมื่นปีก่อน บรรพชนสองและคนอื่นๆ รับฟังด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าล้อมและรุมประชาทัณฑ์”

เทพฉือซิ่วหยุดไปครู่หนึ่ง “หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์มนุษย์ซูต่อต้าน เขาก็ถูกทุบตีหนักกว่าเก่า พวกเขาพูดกันว่าเขาได้หลอกลวงอาจารย์และบรรพชน ว่าเขาได้วางแผนเพทุบายให้กษัตริย์มนุษย์น้อยมาทุบตีพวกเขา ข้าได้ยินแค่เศษๆ เสี้ยวๆ พวกนี้ แต่กษัตริย์มนุษย์ซูดูจะถูกรุมตีจนน่าอนาถ”

“เทพและมารคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปห้ามศึก จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ก็ถึงกับออกมาโห่ร้องสนับสนุนอย่างคึกคัก และหวังให้โลกนี้ยิ่งปั่นป่วนโกลาหล ข้าควรไปหยุดพวกเขาหรือไม่”

ท้าวยมราชอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไม่ต้องทำเช่นนั้น หากเจ้าเข้าไปห้ามพวกเขา พวกเขาจะรุมตีเจ้าแทน”

ในรัตติกาลอันดึกดื่น ความมืดของแดนโบราณวินาศก็ยังคงคึกคัก สัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวเมื่อซิงอ้านเดินผ่านพวกมันไป แสงเทวะรอบกายเขาได้ขับไล่การรุกรานของสสารมืดขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่หลิงอวี้จิวระบุเอาไว้

จิตของเขาสั่นสะท้านเมื่อพบเห็นเขตปิดผนึกใหญ่มหึมา ผืนป่ามีอยู่ทั้งข้างบน ข้างล่าง ซ้าย และขวาของลูกบาศก์ขนาดยักษ์ ห่อหุ้มมันไว้ทุกทิศทาง ในขณะเดียวกันนั้น ในเขตปิดผนึก ก็มีเรือใหญ่โตมโหฬารที่ใหญ่ยิ่งกว่าเรือตะวันและเรือจันทราไปหลายๆ เท่า!

มันเป็นเรือยักษ์ที่หลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเผ่าเทพวิศวกรรมแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล มหานาวาปารมิตา!

เรือนี้ยับเยินขาดวิ่น อันแสดงให้เห็นว่ามีการต่อสู้อันนองเลือดเกิดขึ้นที่นี่ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรือถูกทำลายและไม่อาจแล่นต่อไปได้!

ซิงอ้านเล็งเห็นอันตราย และเขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ยังคงก้าวไปข้างใน

เขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ ดังนั้นต่อให้เขาเล็งเห็นอันตราย แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น!

ไม่นานนัก เขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ในป่า และซิงอ้านก็จิตใจสั่นสะท้าน เขาได้เห็นภาพวาดอันคล้ายคลึงกับจี้หยกจริงๆ “องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลิงมิได้โกหกข้า!”

ในตอนนั้น เขาก็พบว่าเขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้

ประตูของลานเรือนถูกเปิดออก และเขามองเห็นเงาหลังผู้คนอยู่ไวๆ

นี่คือคนที่ข้ากำลังตามหาหรือ

ซิงอ้านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขานำเอากระจกออกมาและส่องไปยังบุคคลผู้นั้น ชายผู้นั้นหันกลับมา เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขายิ้มแก่ซิงอ้าน “อา อา!”

ซิงอ้านตะลึงไปเล็กน้อย มันเป็นผู้เฒ่าและมิใช่บุคคลที่เขากำลังเสาะหา ผู้เฒ่าคนนี้กำลังแบกหีบใบหนึ่งและมีเตาหลอมเหล็กอยู่ใกล้ๆ

“เจ้าแข็งแกร่งมาก” ซิงอ้านหันไปเผชิญกับเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกถึงความเริงใจที่ได้พบเจอเหยื่อ เมื่อข้าสังเกตเห็นพลังงานอันไร้ขีดจำกัดในกายของเจ้า มันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดๆ! เจ้าอาจจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบในช่วงหลายปีล่าสุดนี้”

“อา อา!” ใบหน้าของผู้เฒ่าเหี่ยวย่นราวกับเปลือกส้ม เขายิ้มอย่างเริงร่าและส่งภาษามือสองสามครั้ง

ซิงอ้านไม่เข้าใจ และยังคงพูดกับตนเอง “ข้าอยากจะสะสมเจ้าจริงๆ เผยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งของเจ้าสิ ให้ข้าดูกำลังฝีมือเจ้าเสียหน่อย”

ตูม!

เตาหลอมข้างกายผู้เฒ่านี้แผดอัคคีโหมไหม้ออกมา และเพลิงไฟก็พวยพุ่งขึ้นไปสิบลี้บนท้องฟ้า ซิงอ้านพลันรู้สึกว่าห้วงอวกาศรอบๆ ถูกแผดเผา และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดมิใช่เตาหลอม ภัยคุกคามมาจากข้างในร่างกายของผู้เฒ่าคนนี้

ตันเถียนของเขาพลันแผ่พุ่งออกมาด้วยแสงเจิดจ้า ราวกับดวงตะวันดวงเล็กที่ระเบิดปะทุพลังงานอันไร้เทียมทาน!

ซิงอ้านตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสะพานเทวะข้างหลังผู้เฒ่าทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า บนนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาที่เป็นเทพหัวนกอันมีพลังงานความร้อนร้ายกาจเปล่งออกมาจากกายของมัน จิตวิญญาณดั้งเดิมกระโดดขึ้นและข้ามสะพานไป เข้าไปยังปราสาทสวรรค์ข้างบนนั้น

ตูม!

พลังวัตรของผู้เฒ่าระเบิดออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง และความร้อนแผดเผาสามารถบิดเบี้ยวห้วงอวกาศได้ ทันใดนั้น หีบก็เปิดออกมาเอง และเม็ดกลมสีเงินเล็กๆ มากมายก็หลั่งไหลออกมาราวธารน้ำ พวกมันห่อหุ้มร่างกายของผู้เฒ่าและพลันแปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นแม่ทัพในชุดเกราะสีเงิน แสงเงินสองกระแสกลายเป็นค้อนยักษ์สองอัน ซึ่งฟาดเข้าไปใส่ซิงอ้าน!

เมื่อค้อนฟาดโดนเขา ซิงอ้านรู้สึกราวกับตนเองเป็นก้อนเหล็กบนทั่ง เขานั้นถูกหลอมตีให้เป็นรูปร่างตามแต่ผู้เฒ่าจะต้องการ!

“แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! ตันเถียนของเจ้าแข็งแกร่งกว่าตันเถียนขั้นเทวะที่ข้าได้เก็บสะสมมาจากยอดฝีมือคนอื่นๆ!”

ซิงอ้านตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น เขายกมือขึ้นและเกิดคลื่นกระเพื่อมหมุนวน รูปเงาของทะเลใหญ่ไพศาลปรากฏข้างหลังเขา และเสียงคลื่นลมก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาต้านรับการโจมตีตรงๆ และถูกเป่ากระเด็นออกจากหมู่บ้านน้อยเแห่งนั้น ผู้เฒ่าพุ่งตามเขาไป ค้อนใหญ่ของเขาเงื้อขึ้นและฟาดลงโจมตี

ทั้งสองคนต่อสู้กันท่ามกลางขุนเขาและพงไพร ทะยานขึ้นลงไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซิงอ้านหัวร่อด้วยเสียงอันดัง

“ร่างกายอันเยี่ยมยอด ตันเถียนอันเยี่ยมยอด! ข้าจะต้องเพิ่มเจ้ามาไว้ในของสะสมข้าอย่างแน่นอน! หยินอย่างเดียวหรือหยางอย่างเดียวไม่อาจทำให้อายุวัฒนะยืนนาน มรรคาเต๋าที่เจ้าเดินนั้นคือมรรคาแห่งหยางพิสุทธิ์อันดุร้ายและกร้าวแกร่ง แต่ว่ามันยากที่จะดำรงอยู่ได้นาน! พละกำลังของเจ้าส่งผลร้ายต่อร่างกายของเจ้ามากเกินไป อันทำให้เจ้าดูแก่เฒ่าขนาดนี้”

“เว้นก็แต่ว่าเจ้าได้บ่มเพาะร่างเนื้อจนถึงเขตขั้นเทวะ มิเช่นนั้นเจ้าก็จะไม่อาจทานทนเทวานุภาพแห่งตันเถียนเตายักษ์ได้ หากว่าเจ้ายังคงต่อสู้เช่นนี้ เจ้าก็จะต้องไปเกินขีดจำกัดร่างกายอย่างแน่นอน เจ้าไม่มีทางชนะ!”

ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าก็พบว่าตนเองต่อสู้เช่นนี้ต่อไปไม่ไหว เขารีบรั้งค้อนกลับ และเกราะเงินก็ไหลร่วงลงมาที่ขาของเขาเพื่อกลายเป็นม้าสีเงิน อันเขาขี่มันหนีไป

ซิงอ้านรีบไล่ตาม แต่เท้าของเขาพลันเหยียบเข้าไปในความว่างเปล่า พวกเขาได้เข้าไปในห้วงมิติของมหานาวาปารมิตาแล้ว และทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนแตกหักของมหานาวาอันใหญ่มหึมานี้

ซิงอ้านเห็นว่าความเร็วของม้าสีเงินที่ผู้เฒ่านั้นขี่อยู่ช้าลงไป และหยั่งทราบว่าตันเถียนของอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน มันได้ทำร้ายร่างกายของบุรุษผู้นี้ และเขาก็ไม่อาจทานทนไปได้นานนัก

ซิงอ้านไล่ล่าไปอีกครั้ง

ผ่านไปสักพัก เหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจากหน้าผากของเขา เขาพลัดหลงกับเบาะแสร่องรอยของผู้เฒ่าคนนั้น และพบว่าตนเองถูกกักเอาไว้ในสถานที่อันตราย เวทปิดผนึกอยู่เต็มไปหมดทุกหนแห่ง และมันทำให้เขายากจะเดินไปรอบๆ

ทันใดนั้น ผู้เฒ่าก็ปรากฏตัวอีกครั้ง นั่งอยู่บนกราบเรือสีเงินลำเล็กๆ บนหัวเขาก็สวมหมวกไม้ไผ่สานที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ไหนสักแห่ง

ซิงอ้านตั้งสติขณะที่หางตาของเขากระตุกบิดเบี้ยว เขาอยากจะพุ่งเข้าไป แต่เขาถูกเวทปิดผนึกที่ลอยอยู่ในห้วงอวกาศกีดขวางเอาไว้

ผู้เฒ่าฉีกยิ้มให้แก่เขา เผยให้เห็นปากอันไร้ลิ้น เขาทำท่าปาดคอตนเอง และเรือสีเงินลำเล็กๆ ก็ลอยจากไป

ซิงอ้านโกรธจนเต้นเร่า แต่เขาพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้เฒ่านี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เขาดูเหมือนจะเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง

รอยยิ้มนี้ ข้าต้องเคยเห็นมันมาก่อน ต้องเคยเห็น…

เขาสงบใจลงและโยนรอยยิ้มของผู้เฒ่านั้นทิ้งไปจากความคิด เขาเพ่งสมาธิกับการเสาะหาเส้นทางออก แต่ขณะที่เขากำลังจะไขยันต์ผนึกแรก รอยยิ้มของฉินมู่ก็พลันปรากฏวาบในจิตของเขาและซ้อนทับกับรอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้ เขาพลันว้าวุ่นและถูกยันต์ผนึกตบกระเด็นไป

รอยยิ้มของฉินมู่และผู้เฒ่าใบ้ซ้อนทับกันเกือบจะไร้ที่ติ ความแตกต่างเดียวก็คือรอยยิ้มฉินมู่ให้ความรู้สึกสัตย์ซื่อจริงใจ ขณะที่รอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้นั้นมีความกลอกกลิ้งซุกซน!

“ข้า…” โลหิตเทวะของซิงอ้านกระอักขึ้นมาในคอ แต่ก็ถูกเขาฝืนข่มมันลงไป “ข้าจะไม่โกรธ ข้าจะไม่มีโทสะ ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้เขาทำลายจิตเต๋าของข้า ข้า–อ๊อก”

เขาฝืนไม่ไหวอีกต่อไปและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ด้วยสีหน้าอันซีดเทาพ่ายแพ้ เขาก็แผดเสียงร้องคำรามด้วยความเดือดดาล “หมอเทวดาฉิน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”

ฉินมู่ตามแสงอันนำทางเขาและเดินออกไปจากแดนโบราณวินาศ ระหว่างการเดินทางของเขา เขาไปยังชายแดนทางใต้ของสันตินิรันดร์ ที่นั่นมีแมลงและงูพิษมากมาย และผู้คนก็บางตา ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไร ก็ยิ่งรกร้างมากขึ้นเท่านั้น

ในที่สุด หลังจากรุ่งเช้ามาได้สักหน่อย แสงนำทางก็ก่อขึ้นมาเป็นบานประตูอันไม่ใหญ่มากมายตรงหน้าเขาบนยอดเขาแห่งหนึ่ง

มันไม่มีประตูแสงอื่นๆ บนยอดเขาเล็กแห่งนั้น ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นแต่ภูเขาร้างและแดนเถื่อน ไม่มีผู้คนอยู่ที่นี่ มีแต่ภูมิประเทศอันว่างเปล่า

กิเลนมังกรโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ เมื่อเขาเห็นพระอาทิตย์ขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะลิงโลดขึ้นมา “จ้าวลัทธิ เช้าแล้ว ได้เวลาอาหารล่ะ…”

ฉินมู่ผลักประตูเปิด และมันเปิดขึ้นด้วยแสงสว่างที่ส่องมาจากข้างใน เขาเดินเข้าไปในแสงสว่างนั้น

กิเลนมังกรรีบรุดตามเขาไป เงาร่างของพวกเขาหายวับ และประตูแสงก็หรี่มัวลงไปทุกที จนกระทั่งจางหายไปในที่สุด

สักพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ปรากฏบนดินแดนอันเถื่อนร้าง ทิวทัศน์ว่างเปล่าที่เขาเห็นเมื่อครู่ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ได้

ตรงหน้าเขาคือโถงวังศักดิ์สิทธิ์อันพังถล่มลงมาโดยมีหมอกคลี่คลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ซ่อนอยู่ในหมอกคือป้ายจารึกนามอันมีหลุมศพอยู่ข้างหลังพวกมัน กำแพงพังและผนังผุกร่อนได้ทำให้ฉินมู่สะท้านถึงขั้วหัวใจ

ในที่ไกลๆ มีราชวังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวในหมอก

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าพลางมองไปรอบๆ พื้นที่นี้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ทิวทัศน์เดียวในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ก็มีแต่หลุมศพ

เขาไปยังหลุมศพแรกและมองไปที่ป้ายหินหลุมศพ บนนั้นเขียนไว้: แม่ทัพประจิมแห่งสภาสวรรค์เว่ยหมิง ข้างๆ ป้ายหลุมศพคือโล่อันอาบย้อมไปด้วยเลือด

ฉินมู่ไปยังหลุมศพที่สองอันมีข้อความ: นายพันหน่วยองค์รักษ์พยัคฆ์กล้าแห่งสภาสวรรค์ติ่งอวิ๋นเหอ ข้างใต้ป้ายหลุมศพคือหมวกเกราะ

เขาเดินต่อไปด้วยความเงียบ แม้แต่กิเลนมังกรที่ร่ำร้องถึงอาหารเช้าก็ไม่กล้าส่งเสียง เขาหดหางจุกตูด และแอบแง้มฝาหีบเปิดเพื่อมุดหลบเข้าไปในนั้น ไม่กล้าจะโผล่หน้าออกมา

ฉินมู่ตรวจดูป้ายหินหลุมศพไปทีละอันๆ แต่หลายป้ายนั้นแม้แต่จะจารึกนามไว้ก็มิได้จารึก บุคคลที่ปักป้ายหลุมศพพวกนี้อาจจะไม่ทราบของพวกเขา

หลุมศพอันมีชื่อและไม่มีชื่อ สร้างเส้นทางอันนำไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมอก

ยากที่จะกล่าวว่าฉินมู่ใช้เวลานานเท่าไรถึงมาใกล้มันในที่สุด ข้างหน้าเขา มีกระท่อมหญ้าฟางสร้างเอาไว้อยู่ ข้างในนั้นคือโครงกระดูกแห้งผากที่นั่งคอตกห้อย ข้างๆ เขาคือหลุมศพที่พังลงไป แม้ว่าจะเหลือเพียงแค่กระดูก ฉินมู่ก็มองเห็นได้ว่าบุคคลผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ กระดูกข้อนิ้วบนมือของเขาทั้งหนาและใหญ่ ดังนั้นเขาน่าจะเชี่ยวชาญในวิชามุทรา ฝ่ามือ และหมัด

ฉินมู่ปัดฝุ่นออกจากหลักจารึกหินและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ถ้อยคำบนนั้นคือ: กษัตริย์มนุษย์ฉีคัง พบว่าตนไม่สำเร็จสิ่งใดในชีวิต ข้าจึงละอายเกินกว่าที่จะตั้งป้ายหินหลุมศพให้ตนเองและละอายเกินกว่าจะไปพบหน้าบรรพชน ข้าจะตายในกระท่อมฟางนี้และไม่กลบฝังกระดูกสังขาร

ฉินมู่เปิดหีบออก และนำเอาเทียน เงินกระดาษ และเครื่องเซ่นไหว้ออกมา เขาจุดธูปและเครื่องเซ่นไหว้ทั้งหลายให้แก่กษัตริย์มนุษย์ฉีคังด้วยความเคารพ

เขาเดินออกไปจากกระท่อมฟาง และเห็นอีกกระท่อมอยู่ใกล้ๆ ข้างในนั้นมีแขนขาที่ถูกตัดอยู่จำนวนหนึ่งใกล้ๆ กับป้ายหลุมศพที่ร่วงล้ม บนนั้นมีแค่คำว่าซูที่ขีดเขียนไว้ด้วยกระบี่ มันถูกเขียนไว้ได้เพียงครึ่งเดียวก่อนที่กระบี่หักจะปักคาทิ้งไว้ในป้ายหินหลุมศพ ปล่อยให้ตัวอักษรนั้นค้างคา

ฉินมู่มองไปที่แขนและขาขาดเหล่านั้น ที่จุดถูกตัด มันคือรอยแผลกระบี่ และหางตาของเขาก็สั่นระริก เขาจึงสักการะเซ่นไหว้

“ผู้ใหญ่บ้าน”

เขารู้ว่าผู้ใหญ่บ้านได้มาที่นี่ครั้งหนึ่งและต้องการจบชีวิตของตนเอง แต่ในเมื่อเขายังมิได้ส่งมอบลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ต่อไป เขาจึงหักใจทำไม่ได้ เพราะเช่นนั้น เขาจึงฝังเอาไว้เพียงแค่แขนและขาที่ขาดของเขา

เขาถึงกับไม่กล้าเขียนชื่อของตนเอวไว้ ในเมื่อเขายังมิได้ส่งต่อมรดกยุทธต่อไปในตอนที่จารึก

ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สาม และพบเห็นโครงกระดูกอันสูงเพียงห้าคืบ นั่นคือกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน

บนป้ายหลุมศพ มีคำง่ายๆ ไม่กี่คำ

กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน พ่ายแพ้ให้แก่เหนือฟ้า ข้าไม่มีหน้ากลบฝังตนเองและไปพบอาจารย์ของข้า ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องสักการะเซ่นไหว้ข้า

ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สี่อันเขาพบโครงกระดูกอีกโครง มันถือตะกร้าดอกไม้ไว้ในมือ

กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ ข้าไม่ประสบความสำเร็จใดเลยในชีวิต และข้าละอายที่ล้มเหลวต่อการสั่งสอนของอาจารย์ข้า…

ฉินมู่เข้าไปยังกระท่อมฟางทุกๆ หลังเพื่อเซ่นไหว้สักการะ เขาได้ประจักษ์ประวัติศาสตร์สองหมื่นปีของโถงกษัตริย์มนุษย์ เขาได้พบกับกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดในยมโลกอันพวกเขาล้วนแต่ด่าทอและทุบตีอาจารย์ของตน ดูจะไม่ชอบขี้หน้ากันนัก แต่ทว่า ที่นี่ในกระท่อมหญ้าฟางเหล่านี้ ฉินมู่มองเห็นความเคารพต่ออาจารย์ และความพิไรรำพันต่อความล้มเหลวของพวกเขา

เขามายังสุดทางโถงกษัตริย์มนุษย์และเห็นแผ่นหลังคนผู้หนึ่ง

…………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท